การยืนหยัดท่ามกลางฟิตนะฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  6963

 

การยืนหยัดท่ามกลางฟิตนะฮฺ

 

ดร.อับดุรเราะซาก บิน อับดุลมุหฺสิน อัล-บัดรฺ


 

        ผู้ที่มีศรัทธาและหลักยึดมั่นที่ถูกต้องนั้น ได้เรียนรู้จากหลักคำสอนของศาสนาซึ่งให้บทเรียนและข้อคิดมากมาย อันจะเป็นแรงเสริมช่วยให้เขายืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางสถานการณ์(ฟิตนะ)ใด ๆ ก็ตาม และส่วนหนึ่งจากบทเรียนที่ผู้ศรัทธาได้เรียนรู้จากหลักคำสอนของศาสนา เช่น 


 

♣ ประการแรก 

 

         เขารู้และมั่นใจโดยปราศจากข้อสงสัย ว่าผู้ที่สร้างและบริหารจัดการสรรพสิ่งในจักรวาล คืออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีหุ้นส่วนใด ๆ เทียบเคียงพระองค์ เขาตระหนักดีว่าพระองค์เท่านั้น คือผู้มีอำนาจสิทธิขาดในกิจการต่าง ๆ ของจักรวาลนี้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นและเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งในชั้นฟ้าและบนผืนดิน สิ่งใดที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เกิดย่อมเกิดขึ้น สิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เกิด ก็มิอาจเกิดขึ้นได้ พระองค์คือผู้ทรงมีอำนาจปกครองชั้นฟ้าและแผ่นดิน และทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง


♣ ประการที่สอง 

 

        อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงรับประกันและทรงสัญญาว่า พระองค์จะทรงปกป้องช่วยเหลือผู้ศรัทธา ซึ่งแน่นอนว่าคำสัญญาของพระองค์นั้นย่อมเป็นความจริง โดยพระองค์ได้ตรัสถึงข้อเท็จจริงประการนี้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า
 

        "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย หากพวกเจ้าสนับสนุน (ศาสนาของ) อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงสนับสนุนพวกเจ้า และจะทรงตรึงข้อเท้าของพวกเจ้าให้มั่นคง ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ความพินาศหายนะจะได้แก่พวกเขา และพระองค์ได้ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล"
 

 (มุหัมมัด: 7-8)

และพระองค์ตรัสว่า
 

"และแน่นอนอัลลอฮฺจะทรงช่วยผู้ที่สนับสนุน(ศาสนาของ)พระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง" 

(อัลหัจญ์: 40)

ในอีกอายะฮฺหนึ่งพระองค์ตรัสว่า

"(นั่นคือ) สัญญาของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺจะไม่ทรงบิดพลิ้ว สัญญาของพระองค์ แต่ส่วนมากของมนุษย์นั้นไม่รู้" 

(อัรรูม: 6)


♣ ประการที่สาม 

        อัลลอฮฺทรงสัญญาไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะประสบกับความต่ำต้อย และจะถูกทำลายจนพินาศย่อยยับ โดยพระองค์จะทรงให้จุดจบของพวกเขาเหล่านั้นเป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับผู้ที่หวังจะได้รับบทเรียน ดังที่พระองค์ตรัสว่า


"เหตุร้ายเหล่านั้นจงประสบแก่พวกเขาเถิด" 

(อัตเตาบะฮฺ: 98)

        นอกจากนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนนับไม่ถ้วนตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็ได้ยืนยันข้อสรุปดังกล่าวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ อัลลอฮฺทรงประวิงเวลาแก่เหล่าผู้อธรรม แต่พระองค์มิทรงลืมที่จะลงโทษพวกเขา และเมื่อถึงเวลาพระองค์ก็ทรงลงโทษอย่างเฉียบพลันจนไม่ทันตั้งตัว

"และเช่นนี้แหละคือการลงโทษของพระเจ้าของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงลงโทษหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อธรรม

แท้จริงการลงโทษของพระองค์นั้นเจ็บแสบสาหัส"

 (ฮูด: 102)


♣ ประการที่สี่ 

      ผู้ศรัทธาตระหนักดีว่าชีวิตของคนคนหนึ่งจะจบลงก็ต่อเมื่อสิ้นอายุขัยที่ได้รับการกำหนดไว้ ไม่อาจมีผู้ใดตายก่อนหรือหลังกำหนดเวลาได้

"สำหรับทุกประชาชาติย่อมมีเวลากำหนด เมื่อเวลาของพวกเขามาถึง พวกเขาจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าสักระยะหนึ่งไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็มิได้" 

(ยูนุส: 49)

       สิ่งต่าง ๆ ล้วนมีกำหนดเวลาที่แน่นอน อายุขัยก็ของคนเราก็เช่นกัน ต่างคนต่างมีกำหนดเวลาที่รออยู่ ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกำหนดได้ แม้ว่าซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ที่มีระบบป้องกันแน่นหนาก็ตาม ดังที่พระองค์ตรัสว่า

"ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ความตายย่อมมาถึงพวกเจ้า และแม้ว่าพวกเจ้าจะอยู่ในป้อมปราการอันสูงตระหง่านก็ตาม" 

(อันนิสาอ์: 78)

      เมื่อความตายมาถึงย่อมไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ แม้จะหลบซ่อนตัวในคฤหาสน์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ชั้นลับใต้ดิน หรือบนป้อมปราการอันสูงตระหง่านระฟ้าก็ตามที


♣ ประการที่ห้า 

       การยืนหยัดในหลักการศาสนาอย่างเคร่งครัด และการมีความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺอย่างแรงกล้า ทำให้ผู้ศรัทธาไม่หวาดหวั่นสั่นไหวต่อคำโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ ที่ศัตรูอุปโลกน์ขึ้นเพื่อให้เกิดความกลัวเกรง เมื่อใดที่ถูกข่มขู่ให้กลัวผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ ก็ยิ่งทำให้แรงศรัทธา ความมั่นใจ และการมอบหมายพึ่งพิงที่เขามีต่ออัลลอฮฺเพิ่มสูงขึ้น ดังเช่นบรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ซึ่งอัลลอฮฺตรัสถึงสภาพของพวกท่านว่า


         "บรรดาผู้ที่เมื่อผู้คนได้กล่าวแก่เขาว่า แท้จริงมีผู้คนได้ชุมนุมเพื่อมุ่งร้ายพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงกลัวพวกเขาเถิด แล้วมันได้เพิ่มการศรัทธาแก่พวกเขา และพวกเขากล่าวว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ที่พอเพียงแก่เราแล้ว และเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม และแล้วพวกเขาก็ได้กลับมาพร้อมด้วยความกรุณาจากอัลลอฮฺ และความโปรดปราน (จากพระองค์) โดยมิได้มีอันตรายใด ๆ ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้ปฏิบัติตามความพอพระทัยของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่"

 (อาล อิมรอน: 173-174)


ท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวในหะดีษซึ่งบันทึกโดยอัลบุคอรีย์ (เลขที่ 4563) ว่า คำว่า

(  حَسۡبُنَا ٱللَّهُ وَنِعۡمَ ٱلۡوَكِيلُ )     “อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ที่พอเพียงแก่เราแล้ว”

       นั้นเป็นคำที่อิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม กล่าวขณะที่ท่านถูกจับโยนเข้าไปในเปลวเพลิง และยังเป็นคำกล่าวของมุหัมมัด เมื่อครั้งที่มีผู้มาแจ้งข่าวแก่ท่านว่า


(  إِنَّ ٱلنَّاسَ قَدۡ جَمَعُواْ لَكُمۡ فَٱخۡشَوۡهُمۡ )    “แท้จริงมีผู้คนได้ชุมนุมสำหรับพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงกลัวพวกเขาเถิด”


♣ ประการที่หก 

       ผู้มีศรัทธาที่ถูกต้องนั้น จะพึ่งพิงและมอบหมายต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวในทุก ๆ เรื่อง จะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นนอกจากพระองค์ อัลลอฮฺ ตรัสว่า


"และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้พอเพียงแก่เขา" 

(อัฏเฏาะลาก: 3)

และพระองค์ตรัสว่า

"และแด่อัลลอฮฺนั้นพวกเจ้าจงมอบหมายเถิด หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา" 

(อัลมาอิดะฮฺ: 23)

และพระองค์ตรัสว่า

"และเจ้าจงมอบหมายต่อพระผู้ทรงดำรงชีวิตตลอดกาล ผู้ซึ่งไม่ตาย" 

(อัลฟุรกอน: 58)

       ด้วยเหตุนี้ ดุอาอ์บทหนึ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวขอดังที่ปรากฏรายงานจากท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา คือ

       "โอ้อัลลอฮฺ ต่อพระองค์เท่านั้นที่ฉันยอมศิโรราบ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ฉันเชื่อมั่นศรัทธา ฉันมอบหมายทุกการกระทำของฉันต่อพระองค์ ยังพระองค์เท่านั้นที่ฉันมุ่งแสวงหา และฉันต่อสู้ปกป้องศาสนาด้วยหลักฐานความกระจ่างจากพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ ฉันขอความคุ้มครองด้วยเกียรติยศความยิ่งใหญ่ของพระองค์ มิให้พระองค์ทรงทำให้ฉันหลงผิด พระองค์คือผู้ทรงดำรงชีวิตตลอดกาลไม่มีวันตาย ในขณะที่ญินและ มนุษย์ทั้งปวงล้วนต้องตาย" 

(บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 7383 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2717)


         ตลอดหน้าชีวประวัติอันงดงามของท่านนบี มีเหตุการณ์มากมายที่บ่งบอกอย่างชัดเจนยิ่งถึงความเชื่อมั่นอันแรงกล้าที่ท่านมีต่ออัลลอฮฺ และการพึ่งพิงพระองค์อย่างเต็มรูปแบบ ดังเรื่องราวที่ได้รับการบันทึกจากท่านญาบิรฺ บิน อับดิลลาฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ซึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านร่วมรบกับท่านนบี ขณะที่อยู่ระหว่างหุบเขาหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ก็เป็นเวลาเที่ยงวันซึ่งแดดร้อนจัด ท่านเราะสูล จึงหยุดพัก ผู้คนจึงพากันแยกย้ายไปหลบใต้ร่มเงาต้นไม้ ส่วนท่านเราะสูล นั้นหลบอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งมีใบแน่นหนา โดยท่านแขวนดาบของท่านไว้กับต้นไม้ แล้วพวกเราก็นอนหลับไปครู่หนึ่งทันใดนั้น เราก็ได้ยินเสียงท่านเราะสูล ตะโกนเรียกพวกเรา เมื่อเราไปถึงก็เห็นชายชาวชนบทคนหนึ่งอยู่กับท่าน แล้วท่านก็กล่าวว่า

        “ชายผู้นี้ชักดาบของฉันไปขณะที่ฉันกำลังนอนหลับ เมื่อฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้น ก็เห็นมันอยู่ชูตระหง่านอยู่ในเงื้อมมือของเขา แล้วเขาก็กล่าวถามฉันว่า ‘ใครจะช่วยเหลือท่านให้รอดพ้นจากข้าได้’ ฉันจึงตอบว่า อัลลอฮฺ (สามครั้ง)”

โดยที่ท่านมิได้ลงโทษชายผู้นั้นแต่อย่างใด แล้วท่านก็นั่งลง 

(บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 2913 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 843)

        นี่คือตัวอย่างของการยืดหยัดที่มั่นคงยิ่ง และเป็นการไว้วางใจอย่างสมบูรณ์แบบต่ออัลลอฮฺ ทั้งนี้ พระองค์คือผู้ทรงปกป้องคุ้มครองที่ดีเยี่ยม และคือผู้ทรงเมตตากรุณายิ่งกว่าผู้ใด


♣ ประการที่เจ็ด 

      ผู้ศรัทธาตระหนักดีว่าการมอบหมาย (ตะวักกุล) ที่แท้จริงนั้น จะสำเร็จสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ


     1. การที่หัวใจยึดติดและหวังพึ่งพิงอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว ดังที่อิบนุลก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้เคยกล่าวไว้ กระทั่งไม่มีพื้นที่เหลือในหัวใจสำหรับความหวังที่จะพึ่งพาสิ่งอื่นที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จหรือปัจจัยเกื้อหนุนต่าง ๆ ให้เหลือแต่เพียงความรู้สึกสงบนิ่งอุ่นใจ เมื่อได้พึ่งพาแต่เพียงอัลลอฮฺ สิ่งบ่งชี้ของข้อนี้ คือการที่ผู้ศรัทธาไม่สนใจว่าจะมีตัวช่วยหรือปัจจัยเกื้อหนุนใด ๆ หรือไม่ ดังนั้น การที่ปัจจัยเหล่านั้นจะมีอยู่หรือหายไปก็มิได้ส่งผลต่อความมั่นคงในหัวใจเขาแต่อย่างใด เพราะเขามิได้หวังพึ่งพิงสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺ


     2. ไม่ละเลยสิ่งที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จ ดังจะเห็นว่าท่านนบีมุหัมมัด ผู้เป็นสุดยอดตัวอย่างของการมอบหมายต่ออัลลอฮฺยิ่งกว่าผู้ใด ก็กระทำสิ่งที่เป็นสาเหตุอย่างไม่บกพร่อง ในสมรภูมิอุหุดท่านสวมใส่ชุดเกราะทับซ้อนกันถึงสองชั้น เมื่อครั้งเดินทางอพยพไปยังนครมะดีนะฮฺ ท่านก็ได้จ้างวานชายมุชริก (ผู้ตั้งภาคี) ซึ่งนับถือศาสนาเดียวกับชนเผ่าของท่านเป็นผู้นำทาง นอกจากนี้ ท่านยังเก็บตุนอาหารไว้สำหรับครอบครัวของท่าน เมื่อท่านเดินทางไกลเพื่อทำสงครามญิฮาด หัจญ์ หรืออุมเราะฮฺ ท่านก็จะเตรียมเสบียงสัมภาระไปด้วย บรรดาเศาะหาบะฮฺก็มีแนวปฏิบัติที่ไม่แตกต่างกัน พวกท่านเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มอบหมายอย่างแท้จริง


       ดังนั้น ผู้ใดปฏิเสธที่จะกระทำสิ่งที่เป็นสาเหตุและปัจจัยเกื้อหนุนต่าง ๆ ถือว่าการตะวักกุลมอบหมายของเขาไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ส่วนผู้ใดยึดติดกับสาเหตุเหล่านั้น ก็ไม่นับว่าเป็นผู้ที่มอบหมายต่ออัลลอฮฺ  ประเด็นดังกล่าวนี้เป็นอย่างที่อุละมาอ์บางท่านกล่าวไว้ว่า

        “การหมกมุ่นพึ่งพาแต่สาเหตุและปัจจัยต่างๆ นั้น ถือเป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺลักษณะหนึ่ง ส่วนการปฏิเสธบทบาทและการมีส่วนของมูลเหตุในการนำไปสู่ผลอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ถือเป็นความบกพร่องของสติปัญญา ในขณะที่การปฏิเสธและไม่ยึดติดพึ่งพามูลเหตุต่าง ๆ อย่างสิ้นเชิงนั้น ถือเป็นการทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ที่ถูกต้องก็คือ การมอบหมายพึ่งพิงและความหวังต่ออัลลอฮฺนั้น ต้องเป็นความหมายที่ก่อเกิดมาจากผลแห่งหลักเตาฮีด สติปัญญา และบทบัญญัติศาสนาไปพร้อม ๆ กัน”


♣ ประการที่แปด 

        นอกจากนี้ ท่ามกลางเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ นานา ที่ล้วนเป็นสถานการณ์อันโกลาหลยุ่งยาก ผู้ศรัทธาจะพบว่าหัวใจของเขามีความต้องการอย่างแน่วแน่ ที่จะมุ่งหน้าเข้าหาอัลลอฮฺ และมีความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์ เขาจะเข้าหาพระองค์ด้วยการขอดุอาอ์ ด้วยความหวังว่าพระองค์จะทรงช่วยให้พี่น้องมุสลิมรอดพ้นจากฟิตนะฮฺความวุ่นวายและทุกข์ภัยบททดสอบต่าง ๆ ทั้งนี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงอยู่ใกล้กับปวงบ่าวของพระองค์ ทรงได้ยินคำวิงวอนขอของพวกเขา พระองค์จะทรงตอบรับดุอาอ์ของพวกเขา ทรงให้ความช่วยเหลือบ่าวผู้ประสบทุกข์ และทรงขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนของพวกเขา

"และมีผู้ใดอีกเล่าที่จะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น" 

(อันนัมลฺ: 62)

        แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสามารถกระทำสิ่งดังกล่าวได้นอกจากอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังนั้น ผู้ใดวิงวอนขอพระองค์ด้วยใจที่บริสุทธิ์แน่วแน่ และเปี่ยมด้วยความความหวัง พระองค์ก็จะทรงตอบรับคำวิงวอนขอนั้น และทรงทำให้เขาสมหวัง เพราะพระองค์ทรงอยู่ใกล้กับปวงบ่าว และทรงตอบรับคำวิงวอนขอ ทั้งนี้ เป็นไปได้ว่าทุกข์ภัยความเดือดร้อนและการทดสอบต่าง ๆที่ประสบแก่มุสลิมโดยทั่วไป อาจจะได้รับการขจัดปัดเป่าด้วยผลของดุอาอ์ที่ดี ซึ่งขอโดยคนดีมีคุณธรรมในช่วงเสี้ยวเวลาที่ผู้ขอรู้สึกว่าไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากพระองค์ หรือในช่วงเวลาที่ดุอาอ์เป็นที่ตอบรับ ดังนั้น ดุอาอ์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


        อัลลอฮฺเท่านั้นคือผู้ที่เราวิงวอนขอ ให้ทรงคุ้มครองเราและพี่น้องมุสลิมทั้งหลายจากฟิตนะฮฺความวุ่นวายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนสัมผัสได้ หรือสิ่งที่ซ่อนเร้นมองไม่เห็น ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ ทรงให้เหล่าทหารหาญของพระองค์เป็นผู้มีเกียรติ และทรงทำให้ข้าศึกศัตรูทั้งหลายพ่ายแพ้ด้วยพระเดชานุภาพของพระองค์เพียงผู้เดียว 

 

 

 

แปลโดย : อัสรัน นิยมเดชา / Islamhouse