บทพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับอัลกุรอาน
  จำนวนคนเข้าชม  34809

บทพิสูจน์ความเป็นจริงเกี่ยวกับ อัลกุรอาน

                                        
                                    


“ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (Al-Quran 1:1)


          จะมีหนังสือซักกี่เล่มในโลกของเรา ที่กล้าแสดงออกถึงความมั่นใจในข้อมูลที่มีอยู่ในนั้น อย่างคัมภีร์อัลกุรอาน ? ดังที่อัลลอฮ์   ได้กล่าวไว้ว่า


“ คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆ ในนั้น เป็นทางนำสำหรับผู้ยำเกรงทั้งหลาย”(Al-Quran 2:2)


          หลายครั้งเกิดความสงสัยในคำสอนและหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลาม แต่มุสลิมจะให้คำตอบเพียงสั้นๆ ถึงเหตุผลที่ทำไมเราต้องทำอย่างนั้นหรือไม่ทำอย่างนี้ว่า เพราะถูกบัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ในฐานะมุสลิมแล้วเราต้องทำตามทุกอย่างที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ เพราะเป็นคัมภีร์จากผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างหรือที่มุสลิมเรียกว่า อัลลอฮ์   เพียงคำตอบสั้นๆ แค่นี้ทำให้หลายต่อหลายคนเกิดความสงสัย แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าคัมภีร์อัลกุรอานมาจากอัลลอฮ์   จริง ที่สำคัญ จะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันไม่เคยถูกดัดแปลง ขณะที่ความจริงไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดในโลกนี้ ถ้าต้องการหาซื้ออัลกุรอานแล้ว จะมีเพียงแบบเดียวเท่านั้น อาจจะต่างกันตรงที่ขนาดของตัวเล่ม หน้าปก ขนาดของกระดาษ แต่อย่างไรก็ตามจะไม่มีใครสามารถหาซื้อแบบฉบับที่ต่างจากนี้ได้เลย  สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในเยอรมันได้พิสูจน์มาแล้ว หลังจากสุ่มหาตัวอย่างอัลกุรอานกว่าสองหมื่นเล่ม ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอานที่มาจากแหล่งใดก็ตามไม่พบความแตกต่างของมันเลยแม้แต่อักษรเดียว


“ แท้จริงเราได้ประทานข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน “ (Al-Quran 15:9)


          บางคนอาจจะพยายามหาเหตุผลมาลบล้างข้อสงสัยในเรื่องนี้ แต่อย่างไรเสีย ก็ยังคงมีความสงสัยในประเด็นแรกอยู่ดี ที่ว่าเราจะเชื่อได้อย่างไร ว่ามันถูกประทานมาจากพระเจ้าอัลลอฮ์   จริงๆ เพราะฉะนั้นสมมุติฐานที่ควรตั้งไว้เพื่อหาทางพิสูจน์คือ

เป็นไปได้หรือไม่ ที่อัลกุรอานมาจากมนุษย์ ?

          นี่เป็นเหตุผลเดียวและเหตุผลหลักที่ต้องการชี้ให้เห็นว่า มันเป็นการยากมาก หรือพูดสั้นๆ ว่า เป็นไปไม่ได้ที่อัลกุรอานถูกแต่งขึ้นโดยมนุษย์ และมุสลิมทุกคนได้ยอมรับอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า อัลกุรอานมาจากอัลลอฮ์   เท่านั้น


“ พวกเขาไม่พิจารณาดูคัมภีร์อัลกุรอานบ้างหรือ? และหากว่าอัลกุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮ์แล้ว แน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย” (Al-Quran 4:82)


          หลายคนเคยเรียนวิชาเกี่ยวกับศาสนามาบ้างไม่มากก็น้อย และไม่ว่าจะเรียนจากโรงเรียนอะไร ในประเทศอะไรก็ตาม บ่อยครั้งครูผู้สอนจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและอัลกุรอานไว้ว่า ท่านนะบีมูฮัมมัด   เป็นผู้ค้นพบและเป็นผู้เขียนอัลกุรอาน ไม่แน่ใจว่า จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า ท่านเป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือ จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไร สำหรับผู้ไม่รู้หนังสือคนหนึ่งสามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ได้ โดยที่ไม่ผิดทั้งไวยากรณ์ทางภาษาและไม่พบแม้แต่ข้อมูลเดียวที่ขัดกับหลักความเป็นจริง เช่น ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่ส่วนใหญ่เพิ่งถูกค้นพบไม่นาน เมื่อห้าร้อยปีที่ผ่านมา ในขณะที่อัลกุรอานมีอายุกว่า 1400 ปีมาแล้ว!


“และอัลกุรอานนี้มิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนกข้อบัญญัติต่างๆ ในนั้น ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้นซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก หรือพวกเขากล่าวว่า เขา(มุฮัมมัด) เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกเจ้าจงนำมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกร้องผู้ที่พวกเจ้าสามารถนำมาได้ นอกจากอัลลอฮ์ หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง”  (Al-Quran 10:37-38)


เป็นไปได้หรือไม่ ที่อัลกุรอาน มาจากมนุษย์  ?

 


ฟาห์โร กับการเสียชีวิตกลางทะเล


“ และเราได้ให้บะนีอิสรออีลข้ามทะเลพ้นไป ดังนั้น ฟิรเอาวน์ (ฟาห์โร) และพลพรรคของเขาได้ติดตามพวกเขา(บะนีอิสรออีล)ไปโดยอธรรม และเป็นศัตรูจนกระทั่งเมื่อการจมน้ำได้ประสบกับเขา เขากล่าวว่า ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากผู้ที่วงศ์วานอิสรออิลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันคือหนึ่งในหมู่ผู้นอบน้อม  บัดนี้ และแน่นอนเจ้าเป็นผู้ทรยศก่อนหน้านี้ และเจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย  ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจะได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา” (Al-Quran 10: 90-92)


          Dr. Maurice Bucaille เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของฝรั่งเศส เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ การเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นของเขา ทำให้เขาได้รับการติดต่อให้ทำการศึกษามัมมี่ของ Merneptah (Pharaoh) ที่ถูกค้นพบขึ้น ซึ่งเขาได้ตัดสินใจรับคำเชิญดังกล่าว และในระหว่างการเยือนประเทศซาอุดิอาระเบียนั้น เขาได้รับทราบข้อมูลในอัลกุรอาน ในโองการที่อัลลอฮ์   ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าร่างที่ไร้วิญญาณของฟาห์โรจะถูกรักษาไว้ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์หรือสิ่งเตือนใจแก่ชนรุ่นหลัง แน่นอนข้อมูลดังกล่าวนี้ สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากแก่นักวิทยาศาสตร์อย่าง Dr. Maurice Bucaille ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิล ในส่วนที่เกี่ยวกับฟาห์โรที่ได้ตายจากการถูกกลืนด้วยทะเลในสมัยของศาสดาโมเสส ที่เขาแปลกใจเพราะมันไม่เคยได้รับการยืนยันมาก่อนในเรื่องราวถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับการตายดังกล่าว นักวิชาการศาสนาบางท่านยังเกิดความสงสัยด้วยซ้ำว่าเรื่องราวการตายของฟาห์โรที่ถูกกลืนไปในทะเลนั้นอาจจะเป็นเพียงนิทาน แต่ในทางกลับกัน เขากลับพบว่า อัลกุรอานนั้น

  1. ยืนยันถึงเรื่องราวการตายของฟาห์โรในยุคของศาสดาโมเสสว่า ตายจากการถูกกลืนลงไปในทะเล

   2. สัญญาว่าร่างอันไร้วิญญาณของฟาห์โร (มัมมี่) จะถูกนำขึ้นมา

   3. มัมมี่ดังกล่าวจะกลายเป็นสัญลักษณ์ เป็นสิ่งเตือนใจต่อชนรุ่นหลัง 

   4. แต่เรากลับไม่รู้ตัว

          เรื่องราวของกษัตริย์ฟาห์โร ลูกชายของ Rameses II (ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์)ท่านนี้ เสียชีวิตจากการถูกกลืนลงไปในทะเล หลังจากพยายามตามล่าศาสดาโมเสสและผู้ติดตามชาวบะนีอิสรออีลในตอนนั้น ในยุคที่อัลกุรอานถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องราวของฟาห์โรท่านนี้ เราจะไม่พบข้อมูลเดียวกันนี้ที่ไหนเลยยกเว้นในคัมภีร์ไบเบิล ที่ได้กล่าวใน Exodus ไว้ว่า

 “and the waters returned, and covered the Chariots, and the horsemen, and all the host of Pharaoh that came into the sea after them; there remained not so much as one of them”
(Exodus 14:28)
 

สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ ในส่วนของการตายของฟาห์โร ที่ได้กล่าวใว้ในอัลกุรอานว่า


“ ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล เพื่อจะได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา” (Al-Quran 10: 92)


           เรื่องราวเกี่ยวกับการอนุรักษ์ศพของฟาห์โรในรูปของมัมมี่ที่สมบูรณ์แบบนั้น ไม่เคยทราบและไม่เคยค้นพบมาก่อน ทั้งๆ ที่ข้อมูลดังกล่าวถูกกล่าวถึงในอัลกุรอานนานกว่า 1400 ปีมาแล้ว เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้นที่ความจริงดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นให้เห็นต่อสายตาประชาคมโลก ในปี ค.ศ. 1898  ศาสตราจารย์ Loret  คือท่านแรกที่ค้นพบร่างมัมมี่ของฟาห์โรยุคศาสดาโมเสส 3000 กว่าปีที่ผ่านมา ศพของฟาห์โรนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าอยู่ภายในสุสานของ Necropolis ณ Thebes ซึ่งเป็นที่ที่ ศาสตราจารย์ Loret ค้นพบและได้ทำการวิจัยตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1912 การวิจัยของเขายืนยันว่า ฟาห์โรดังกล่าวเป็นฟาห์โรที่น่าจะรู้จักศาสดาโมเสส สิ่งที่หลงเหลืออยู่จากยุคของฟาห์โรท่านนี้ ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์   มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์และเป็นสิ่งเตือนใจแก่หมู่มนุษย์ ในปี ค.ศ. 1975 Dr. Maurice Bucaille ได้ทำการวิจัยศพของฟาห์โรท่านนี้เพิ่มเติม การค้นพบของเค้าสร้างความมั่นใจให้เขาสามารถป่าวประกาศออกไปอย่างดีใจและประหลาดใจว่า “สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลที่พิสูจน์ได้ทางหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคัมภีร์ทางศาสนา จะค้นพบถึงอุทาหรณ์ที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของฟาห์โร ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการเยือนห้องเก็บศพมัมมี่ ในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ เมืองไคโร”  และที่สำคัญในส่วนของข้อความที่ว่า


“...และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่างๆของเรา “ (Al-Quran 10:92)


           คงไม่ทำให้เราประหลาดใจเกินไปหากได้สังเกตถึงอากัปกิริยาของผู้เข้าชมมัมมี่ดังกล่าวที่ไม่มีความตระหนักถึงความเป็นจริงที่แฝงอยู่ในร่างมัมมี่นั้นเลย นอกเสียจากความสนุกสนานและความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการชมของโบราณชิ้นหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเขาทำการศึกษาอัลกุรอานเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ จนในที่สุด เขาได้ข้อสรุปว่า อัลกุรอาน เป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากมนุษย์  จนทำให้ในที่สุดเขาตัดสินใจ เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม

 


Embryology


          ถ้อยคำในอัลกุรอานเกี่ยวกับการกำเนิดและพัฒนาการของมนุษย์มีกล่าวไว้หลายที่ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามมีเพียงนักวิทยาศาสตร์ยุคหลังๆ ที่เกิดความประทับใจและเข้าใจในข้อมูลต่างๆ เหล่านั้น ทั้งๆ ที่อัลกุรอานถูกประทานมานานกว่าพันสี่ร้อยปีมาแล้ว อัลกุรอานมีปาฏิหาริย์ในตัวของตัวเอง ในสมัยที่ท่านนะบีมุฮัมมัด   ของเรายังมีชีวิตอยู่ นอกจากผู้คนที่เปลี่ยนเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวท่านที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์ และไม่เคยพูดปดแล้ว เราทราบดีว่า ยุคนั้นผู้คนมีความเชี่ยวชาญทางภาษาหรือบทกวีอาหรับ หลายต่อหลายคนรู้สึกแปลกใจและประทับใจในความงามทางภาษาตลอดจนความหมายของอัลกุรอาน จนทำให้พวกเขาเกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์    เพราะเข้าใจดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ซึ่งไม่รู้หนังสืออย่างท่านนะบีมุฮัมมัด  จะเป็นเจ้าของถ้อยคำในอัลกุรอานอันสวยงามและไพเราะยิ่งนั่นเอง  มุสลิมทุกคนเชื่อว่า อัลลอฮ์    ไม่ได้ส่งเราะซูลท่านสุดท้ายหรือท่านนะบีมุฮัมมัด   มาเพื่อชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่ง แต่ส่งท่านมาเพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาของพระองค์ (อิสลาม) ต่อทุกๆ กลุ่มชนและสำหรับมนุษยชาติยุคสุดท้ายนั่นเอง ในขณะที่ศาสดาก่อนหน้านั้นได้ถูกส่งมาเพื่อชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งเป็นการเฉพาะ ตามที่ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานตอนหนึ่งว่า


“ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า ทำไมจึงไม่มีปาฏิหาริย์จากพระผู้อภิบาลของเขาถูกประทานลงให้แก่เขา แท้จริงเจ้า(มุฮัมมัด) เป็นผู้ตักเตือนเท่านั้นและสำหรับทุกๆหมู่ชนย่อมมีผู้ชี้แนะแนวทาง”  (Al-Quran 13: 7)


          ด้วยเหตุที่หลักคำสอนที่เผยแพร่โดยท่านนะบีมุฮัมมัด   นั้นสำหรับมนุษยชาติยุคสุดท้าย ข้อมูลต่างๆ จึงต้องเหมาะสมต่อทุกยุคทุกสมัยนับจากวันที่ท่านเริ่มเผยแพร่ศาสนา โดยปกติแล้วสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องยืนยันว่าศาสดานั้นๆ เป็นผู้ที่อัลลอฮ์   ส่งมาเผยแพร่ศาสนาของพระองค์คือปาฏิหาริย์ที่พระองค์มอบให้เป็นสิทธิพิเศษ ดังเช่น กรณีของท่านนะบีมูซา อะลัยฮิสลามหรือโมเสสท่านเคยทำให้นักมายากลเชื่อมาแล้วในเรื่องของไม้เท้าของท่าน และกรณีของท่านนะบีอีซา อะลัยฮิสลามหรือเยซู คือท่านสามารถทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพได้ และจะพบว่าปาฏิหาริย์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ใช้ในการยืนยันถึงเรื่องที่ท่านเผยแพร่สำหรับกลุ่มชนยุคนั้นๆเท่านั้น ในทางกลับเพราะท่านนะบีมุฮัมมัด    เป็นเราะซูลท่านสุดท้าย ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งที่อัลลอฮ์   มอบให้กับท่านนะบีมุฮัมมัด   เพื่อสามารถใช้เป็นเครื่องมือพิสูจน์และยืนยันได้ว่าท่านเป็น ศาสนทูตที่ถูกส่งมาจากอัลลอฮ์   จริง จึงต่างจากปาฏิหาริย์ที่มอบให้แก่เราะซูลท่านอื่นๆ เพราะปาฏิหาริย์นั้นต้องร่วมสมัย ต้องสามารถทำให้คนสัมผัสได้ ไม่เว้นแม้แต่หลังจากที่ท่านจากไปแล้ว นอกจากนั้นมันจะต้องอยู่คู่กับเราจนวันสุดท้ายหรือวันสิ้นโลกนั่นเอง และนั่นก็คืออัลกุรอานที่ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน ถ้อยคำต่างๆยังสามารถสร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนที่สนใจและศึกษามันอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการกำเนิดและพัฒนาการของมนุษย์


“....พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้าในครรภ์มารดาของพวกเจ้า เป็นการบังเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ ในความมืดสามชั้น...” (Al-Quran 39:6)
 

“ทำไมพวกเจ้าจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ และโดยแน่นอนพระองค์ทรงสร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน” (Al-Quran 71: 13-14)


          ข้อมูลในอัลกุรอานข้างต้นมีอยู่สองตอนหลักๆ ตอนแรกคือ วิวัฒนาการของมนุษย์ในขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งจะพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนจากรูปหนึ่งสู่อีกรูปหนึ่ง จากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ บุคคลแรกที่แสดงภาพของลูกอ่อนในครรภ์มารดาคือ Leonardo da Vinci ในศตวรรษที่ 15 โดยประมาณศตวรรษที่ 2 นั้น Galen ได้อธิบายถึงข้อมูลของรกและเยื่อบุในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “On the Formation of the Foetus’’ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ยากสำหรับแพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์ในยุคเดียวกันกับศาสดามุฮัมมัด   (ศตวรรษที่ 7) จะทราบและให้ข้อมูลดังกล่าวแก่ท่าน ถึงแม้ว่า Aristotle ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวอ่อนไก่ประมาณศตวรรษที่ 4      ก่อนคริสตศักราชแล้วก็ตาม สรุปแล้วครั้งแรกที่เราทราบข้อมูลดังกล่าว ไม่น่าจะก่อนศตวรรษที่ 15 และหลังจากมีการค้นพบกล้องจุลทรรศน์ โดย Leeuwenhoek ในศตวรรษที่ 17 ทำให้สามารถอธิบายถึงข้อมูลเรื่องพัฒนาการเป็นขั้นๆ ของตัวอ่อนไก่เป็นครั้งแรก ในศตวรรษที่ 20 พัฒนาการของตัวอ่อนมนุษย์ถูกอธิบายโดย Streeter (1941) เป็นครั้งแรกและ O’Rahilly (1972) ศึกษาเพิ่มเติมจนทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากขึ้น


          ข้อมูลในตอนที่สองคือ “...ในความมืดสามชั้น...”  Professor Keith L. Moore (จากภาควิชากายวิภาค มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา) ได้ให้ข้อมูลเราในเรื่องนี้ว่า น่าจะหมายถึงสามชั้นที่ประกอบไปด้วย anterior abdominal wall (ผนังหน้าท้อง) uterine wall (ผนังมดลูก) และ amniochorionic membrane (ถุงน้ำคร่ำ)


          ข้อมูลอัลกุรอานต่อไปนี้เป็น การอธิบายพัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน  คำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ในการเรียกตัวอ่อนในแต่ละขั้นตอนนั้นเป็นคำอ่านภาษาอาหรับก่อน และจะให้คำอธิบายตอนท้าย ด้วยเหตุผลที่ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการอรรถาธิบายอัลกุรอาน ไม่สามารถหาคำแปลที่ตรงและ สั้นที่สามารถคงความหมายของคำนั้นๆ ในอัลกุรอานได้


“ แล้วเราทำให้เขา (มนุษย์) เป็น นุฏฟะฮ์ อยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก)” (Al-Quran 23:13)


“ แล้วเราได้ทำให้ นุฏฟะฮ์ เป็น อะละเกาะฮ์ แล้วเราทำให้ อะละเกาะฮ์ กลายเป็น มุฏเฆาะห์ แล้วจาก มุฏเฆาะห์ กลายเป็นกระดูก แล้วเราได้หุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้พัฒนาต่อจากนั้นให้กลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮฺทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเป็นเลิศแห่งผู้สร้างทั้งหลาย”  (Al-Quran 23:14)


“ แล้วทรงทำให้พวกเขามีสัดส่วนที่สมบูรณ์ และทรงเป่ารัวะห์ (วิญญาณ)ที่พระองค์สร้างมันขึ้นเข้าไปในเขา และทรงให้พวกเจ้าได้ยินและได้เห็นและให้มีจิตใจ(สติปัญญา) ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าขอบคุณ” (Al-Quran 32:9)


“ โอ้มนุษย์เอ๋ย! หากพวกเจ้ายังอยู่ในการสงสัยแคลงใจ เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพแล้วไซร้ แท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้าจากดิน แล้วจากนุฏฟะฮ์ แล้วจากอะละเกาะฮ์ แล้วจากมุฏเฆาะห์ ทั้งที่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์และไม่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์เพื่อเราจะได้ชี้แจงพวกเจ้า และเราได้ให้การตั้งครรภ์เป็นที่แน่นอนอยู่ในมดลูกตามที่เราประสงค์ จนถึงเวลาที่กำหนดไว้ แล้วเราได้ให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก ....”  (Al-Quran 22:5)


          ความสนใจในการทำความเข้าใจถึงความหมายและคำแปลของคำศัพท์ต่างๆ ที่มีอยู่ในอัลกุรอานไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยที่ท่านศาสดามุฮัมมัด   ยังมีชีวิตอยู่ เหล่าเศาะฮาบะฮ์ก็เคยถามคำถามท่านศาสดามุฮัมมัด  เกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์และสำหรับคำตอบหรือคำอธิบายต่างๆ เหล่านั้นถูกบันทึกในรูปของฮะดิษต่างๆ ในจำนวนนั้นคือ


“ศาสดามุฮัมมัด  กล่าวว่า ในแต่ละคน ทุกๆ ส่วนประกอบของเขาเริ่มมีการรวบรวมขึ้นในครรภ์มารดาโดยใช้เวลาสี่สิบวัน ..”  (บันทึกโดย บุคอรีย์และมุสลิม)


“ถ้าสี่สิบสองคืนผ่านช่วงเอมบริโอไป อัลลอฮ์   จะส่งมลาอิกะฮ์ มาเพื่อทำให้เป็น รูปร่าง และให้การได้ยิน การมองเห็น เนื้อ และกระดูก...”  (บันทึกโดย มุสลิม)


          หลังจากทำความเข้าใจในความหมายรวมๆ ของอายะฮ์ต่างๆ แล้วจะเห็นว่าได้มีศัพท์เฉพาะที่อัลลอฮ์   ใช้เรียกตัวอ่อนในแต่ละขั้นตอนไว้สามแบบหลักๆ ด้วยความช่วยเหลือของผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการอรรถาธิบายอัลกุรอาน คำที่ขีดเส้นใต้ไว้ข้างบนสามารถแปลเป็นภาษาที่เราเข้าใจง่ายต่อไปนี้ :

นุฏฟะฮ์  แปลว่า อสุจิ แต่คำแปลที่ให้ความหมายที่ตรงกับคำว่า นุฏฟะฮ์ มากกว่านั้นควรจะเป็นคำว่า zygote หรือเซลล์ที่เกิดจากการรวมตัวของเซลล์สืบพันธ์ของเพศชายและเพศหญิง


 


อะลัก หมายถึง ก้อนเลือดที่มีรูปร่างคล้ายปลิง คำว่า อะละเกาะฮ์ ในภาษาอาหรับหมายความว่า ปลิงหรือตัวดูดเลือดนั่นเอง เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า เมื่อนำไปเทียบกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเอมบริโอแล้ว จะเห็นว่าเป็นคำที่ตรงกับรูปร่างของตัวอ่อนในตอนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เอมบริโอของมนุษย์นั้น ช่วงที่มีอายุจาก 7 – 24 วัน เมื่อมันจะทำการเกาะไปที่ผนังมดลูกแล้ว มันจะมีวิธีการเกาะเหมือนเวลาปลิงเกาะผิวหนังคน ปลิงนั้นจะลำเลียงเลือดจากสิ่งที่มันเกาะ ส่วนเอมบริโอมนุษย์ในช่วงนั้นจะทำการลำเลียงเลือดจากผนังมดลูกของมารดาในทำนองเดียวกันกับปลิง

       

ภาพของเอมบริโอหรือ “มุฏเฆาะห์”

เป็นไปไม่ได้  เอมบริโอในวัยประมาณ 23-24 วัน ซึ่งเอมบริโอวัยนี้มีขนาดเล็กมากๆ จนไม่น่าจะมองเห็นรูปชัดเจนถึงกับให้ข้อมูลได้แม่นยำ

มุฏเฆาะห์ ก้อนเนื้อที่มีรูปร่างเหมือนหมากฝรั่งที่มีรอยเคี้ยว (chewed substance or chewed lump) ประมาณสัปดาห์ที่สี่ (28 วัน) รูปร่างของเอมบริโอจะมีรูปร่างเป็น มุฏเฆาะห์ ซึ่งจะเห็นเหมือนมีรอยฟันเป็นร่องๆ (ลองเคี้ยวหมากฝรั่งคาไว้แล้วเอามาดู น่าจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น)หลังจากอธิบายความหมายของศัพท์เฉพาะ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของตัวอ่อนในอัลกุรอานไปแล้ว ต่อไปนี้คือการลงรายละเอียดในส่วนของอายะฮ์นั้นๆ เริ่มด้วยประโยค


“...กลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง...“  (Al-Quran 23:14)


          การที่ตัวอ่อนเริ่มมีกระดูกและกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ใช้ในการจำแนกว่าตัวอ่อนกลายเป็นอีกรูปหนึ่ง นี่อาจจะหมายถึงเอมบริโอในช่วงประมาณสัปดาห์ที่แปด (56 วัน) ระยะนี้เราจะเห็นว่าตัวอ่อนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกร่างกายหลังจากแปดสัปดาห์เอมบริโอจะถูกเรียกว่า ลูกอ่อนในครรภ์หรือ Fetus  

             

“...ทรงให้พวกเจ้าได้ยินและได้เห็นและให้มีจิตใจ(สติปัญญา)...“  (Al-Quran 32:9)

 
          จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาการในส่วนของประสาทสัมผัสของเราในครรภ์มารดาเป็นไปตามลำดับอย่างที่อัลกุรอานได้กล่าวไว้ไม่มีผิดเพี้ยน  เริ่มด้วย การได้ยินโดยหูจะปรากฏก่อน จากนั้นจะเป็นส่วนของการมองเห็นหรือตา และจากนั้นถึงจะเป็นในเรื่องของสติปัญญาหรือความเข้าใจตามลำดับ ถ้าเราวิเคราะห์ในแง่ที่ว่าเรื่องลำดับของประสาทสัมผัสทั้งสามนั้นถูกต้องโดยความบังเอิญ มีความเป็นไปได้อยู่ไม่เกิน 20 เปอร์เซนต์ ที่คนเราจะมีโอกาสเรียงคำสามคำนี้ได้ถูกต้องและแม่นยำ


“…..ทั้งที่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์และไม่เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์เพื่อเราจะได้ชี้แจงเคล็ดลับแห่งเดชานุภาพแก่พวกเจ้า และเราได้ให้การตั้งครรภ์เป็นที่แน่นอน อยู่ในมดลูกตามที่เราประสงค์ จนถึงเวลาที่กำหนดไว้ แล้วเราได้ให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก ....”  (Al-Quran 22:5)


          จุดนี้คิดว่าไม่น่าจะต้องใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ประกอบในส่วนของความคิดเห็นของ Prof. Keith L. Moore ได้อธิบายไว้ว่า คำว่าบางส่วนสมบูรณ์บางส่วนยังไม่สมบูรณ์คือน่าจะตรงกับส่วนของเอมบริโอ ที่เนื้อเยื่อบางส่วนสามารถแยกแยะออกอย่างชัดเจนในขณะที่บางส่วนยังแยกแยะยังไม่ออก และคำว่า“...อยู่ในมดลูกตามที่เราประสงค์ จนถึงเวลาที่กำหนดไว้” เป็นที่ทราบกันดีว่าสตรีที่แท้งลูกมักจะแท้งกันช่วงที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณเดือนแรกๆ ในส่วนของหะดิษข้างต้นที่ให้ข้อมูลเป็นจำนวนวันที่ชัดเจนว่า “...ถ้าสี่สิบสองคืนผ่านช่วงเอมบริโอไป...“ Prof. Joe L. Simpson ให้ความสนใจข้อมูลตรงนี้เป็นพิเศษ เพราะจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ก่อนสี่สิบวันองค์ประกอบต่างๆของเอมบริโอยังไม่ให้ความชัดเจนจนหลังจากสี่สิบวันเท่านั้น ซึ่งสร้างความประหลาดใจต่อเขาเป็นอย่างมากในเรื่องของตัวเลขที่แม่นยำ (สี่สิบวัน)


          นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับรูปร่างและการเปลี่ยนแปลงของตัวอ่อนในระยะต่างๆแล้ว ยังมีข้อมูลในเรื่องอื่นๆอีกด้วย อย่างเช่น เรื่องของโครโมโซมซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ซึ่งเราทราบดีว่าโครโมโซมจากเพศชายเป็นตัวแปรหลักในเรื่องเพศ


          เพศหญิงมีโครโมโซมเป็น (XX) และเพศชายเป็น (XY) และถ้าไม่เพราะ “Y“ จากเพศชายเด็กคนนั้นก็จะเป็นเด็กผู้หญิงและเรื่องนี้มีกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า

 

“ เขามิได้เป็น นุฏฟะฮ์ ที่ออกมาดอกหรือ?. แล้วเขาได้เคยเป็น อะละเกาะฮ์แล้วพระองค์ทรงบังเกิดแล้วก็ทรงทำให้ได้สัดส่วนสมบูรณ์ แล้วพระองค์ทรงทำให้เขาเป็นคู่ เป็นเพศชายและเพศหญิง”  (Al-Quran75:37-39)


          ข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดและพัฒนาการของมนุษย์ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานถูกรวบรวมขึ้น (ประมาณ 25 อายะฮ์) จากนั้นได้แสดงให้ผู้เชี่ยวชาญทางกายวิภาคอย่าง Professor Marshall Johnson (อดีตศาสตราจารย์ทางกายวิภาค ของ Thomas Jefferson University Pennsylvania, USA) ในงาน  7th Saudi Medical Conference หลังจากนั้นได้ถามท่านว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ความแม่นยำในข้อมูลดังกล่าวเกิดจากความบังเอิญ? ท่านตอบว่า “ไม่” และได้ถามต่อไปว่าแล้วมันหมายความว่าอย่างไร?  “เป็นไปได้อีกทางคือศาสดามุฮัมมัด   ต้องมีกล้องจุลทรรศน์” เราทราบกันดีว่าถ้าจะให้มีความแม่นยำขนาดนี้ได้ท่านต้องมีกล้องจุลทรรศน์ที่มีความละเอียดมาก แน่นอน

          ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ศาสตราจารย์ท่านนี้ทำการศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าวเพิ่มเติมจนในที่สุดท่านให้ความคิดเห็นว่า อัลกุรอานไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการทางภายนอกอย่างเดียว ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางภายในด้วย รายละเอียดของตัวอ่อนในช่วง มุฏเฆาะห์ เป็นอะไรที่ท่านกล่าวเน้นเป็นพิเศษ  อัลกุรอานเป็นไปได้ทางเดียวคือมาจากอัลลอฮ์ 


           Prof. Keith L. Moore เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับเชิญให้วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น หลังจากที่ท่านศึกษาข้อมูลต่างๆที่มีในอัลกุรอาน เช่นในส่วนของ อะลัก ซึ่งใหม่สำหรับท่านมาก ท่านกล่าวว่า “ฉันไม่เคยนึกมาก่อน” ท่านตัดสินใจไปที่ภาควิชาสัตว์วิทยาเพื่อขอดูรูปของปลิง เมื่อท่านได้เห็นรูปร่างของปลิงแล้วมันช่างเหมือนกับรูปร่างของเอมบริโอเหลือเกิน จนท่านได้ตัดสินใจใส่รูปทั้งสองอย่างรวมไว้ด้วยกันในหนังสือเรื่องพัฒนาการของมนุษย์ที่ท่านแต่ง (The Developing Human, 3rd edition, 1982) หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไปในโตรอนโต สื่อมวลชนตื่นตัวมากจนหนังสือพิมพ์บางฉบับลงหัวข้อข่าวว่า “สิ่งมหัศจรรย์ที่ค้นพบในหนังสือสมัยโบราณ”บางคนถามไปว่า เป็นไปได้ไหมที่มีคนผ่าศพสตรีตั้งครรภ์เพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว? ท่านได้ตอบกลับไปว่า คุณลืมประเด็นหลักที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นมันอยู่ในระดับที่ต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น คุณคงไม่คิดหรอกนะว่าคนในยุคนั้นมีกล้องจุลทรรศน์จากนั้นเอามันไปศึกษาอย่างที่คุณอ้างไว้และจากนั้นได้ทำลายกล้องนั้นซะ เพราะมันเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ในความเป็นจริงแล้ว  “ มันเป็นไปได้ทางเดียวคือ ต้องมาจากพระเจ้าเท่านั้น ”


“ เราจะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเราในขอบเขตอันไกลโพ้น  และในตัวของพวกเขาเอง จนกระทั่งจะเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาว่า อัลกุรอานนั้นเป็นความจริง ยังไม่พอเพียงอีกหรือที่พระเจ้าของเจ้านั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง ”  (Al-Quran 41:53)

 

 

Blood circulation and the production of milk


“และแท้จริงในปศุสัตว์(*1*)ย่อมมีบทเรียนอย่างแน่นอนแก่พวกเจ้า(*2*) เราให้พวกเจ้าดื่มจากสิ่งที่อยู่ในท้องของมัน จากระหว่างมูลและเลือดเป็นน้ำนมบริสุทธิ์(*3*) เป็นที่โอชาแก่ผู้ดื่ม”  (Al-Quran 16:66)


(1)    คือ อูฐ วัว ควาย แพะ แกะ

(2)  ผู้มีสติปัญญาจะต้องใคร่ครวญดูว่า ในการให้บังเกิดและอำนวยความสะดวกนั้น เป็นการชี้แนะให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์ ความยิ่งใหญ่และความเป็นเอกภาพของพระองค์

(3)   นักปราชญ์ อัลซะมัถชะรีย์ กล่าวว่า อายะฮ์นี้มีข้อชวนคิดคือ อัลลอฮ์   ทรงให้มีนมขึ้นท่ามกลางมูลและเลือด ซึ่งนมได้ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยสองสิ่งนั้น และระหว่างนมกับสองสิ่งปิดกั้นด้วยเดชานุภาพของอัลลอฮ์    หนึ่งในสองสิ่งนั้นมิได้เข้าไปปะปนให้เปลี่ยนสีเปลี่ยนรส และเปลี่ยนกลิ่นแต่ประการใด มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮ์    ช่างเป็นเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเป็นความปรีชาญาณที่ละเอียดอ่อนยิ่งของพระองค์ ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ใคร่ครวญและพินิจพิจารณา


“ และแท้จริงในเรื่องปศุสัตว์ (อูฐ วัว แพะ แกะ) นั้นเป็นบทเรียนสำหรับพวกเจ้า เราให้พวกเจ้าดื่ม สิ่งที่อยู่ในท้องของมัน (*4*)(น้ำนม) และในตัวมันมีประโยชน์มากมาย (*5*)สำหรับพวกเจ้าและบางชนิดพวกเจ้าก็บริโภคมัน “ (Al-Quran 23:21)


(4)  น้ำนมที่อยู่ในท้องของมันกลั่นออกมาระหว่างอุจจาระ และเลือดของมัน จนเป็นนมบริสุทธิ์เป็นที่พอใจแก่ผู้ดื่ม

(5)  เช่นน้ำนมสำหรับดื่ม ขนของมันใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม ใช้ขี่เป็นพาหนะ และใช้บรรทุกสัมภาระต่างๆ


           หลังจากอัลกุรอานถูกประทานลงมา 600 ปี นักวิทยาศาสตร์มุสลิม อิบนุ นาฟีส เป็นคนแรกที่อธิบายเกี่ยวกับวงจรการไหลเวียนของเลือด และหลังจากนั้นอีก 400 ปี นาย William Harway เป็นคนที่ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ แก่ชาติตะวันตก


“ พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ ? และหากว่าอัลกุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮ์ แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย ”       (Al-Quran 4:82)


          ถ้าท่านทั้งหลายสนใจเกี่ยวกับข้อพิสูจน์อื่นๆทางวิทยาศาสตร์ ในคัมภีร์อัลกุรอานสามารถศึกษาหรือค้นหาเพิ่มเติมได้ที่ www.islam-guide.com เพราะมีเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่ผู้มีสติและปัญญาทั้งหลายควรได้ศึกษาหาความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริง


“พระองค์ทรงกำหนดดวงอาทิตย์ให้มีแสงจ้าและดวงจันทร์มีแสงนวล และทรงกำหนดให้มันมีทางโคจร เพื่อพวกท่านจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ อัลลอฮ์มิได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นเว้นแต่ด้วยความจริง พระองค์ทรงจำแนกสัญญาณต่างๆ สำหรับหมู่ชนผู้มีความรู้ แท้จริงการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และที่อัลลอฮ์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น แน่นอน เป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนที่มีความยำเกรง” (Al-Quran 10:5-6)

Next >>>>Click