ศาสนาของฉัน
  จำนวนคนเข้าชม  11931

ศาสนาของฉัน

“คัมภีร์ (อัลกุรอาน) เราได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าซึ่งมีความเจริญ เพื่อพวกเขาจะได้พินิจพิจารณาอายาตต่างๆ ของอัลกุรอาน และเพื่อปวงผู้มีสติปัญญาจะได้ใคร่ครวญ” (Al-Quran 38:29)

 
          หลังจากที่ไพลินได้อ่านทำให้คิดใคร่ครวญถึงข้อความต่างๆ ถ้าสิ่งที่ได้อ่านนั้นมาจากพระเจ้า เพราะนั่นคือความจริงตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งพิสูจน์ออกมาตรงกับคัมภีร์อัลกุรอาน ฉะนั้นพระเจ้าต้องมีจริง พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ แล้วพระองค์อยู่ที่ไหน แต่ถ้าข้อความที่อ่านมาไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้วใครสามารถที่จะแต่งบทความเหล่านี้ได้เพราะผ่านมาตั้ง 1,400 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าเลย และไม่เคยคิดที่จะเชื่อด้วย ไพลินคิดเสมอว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของฉันเอง “ตัวกูของกู” ไม่มีใครให้อะไรเราได้ไพลินมักคิดเช่นนี้เสมอ แต่เมื่อได้อ่านการเปรียบเทียบของคัมภีร์อัลกุรอานกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทำให้รู้สึกว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้อย่างแน่นอนในศาสนาอิสลามนี้


“ผู้ใดไม่เอ็นดูเมตตาผู้อื่นเขาก็จะไม่ได้รับความเอ็นดูเมตตา (จากอัลลอฮ์)”(บันทึกโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)


          หลายสิ่งที่ได้พบได้เห็นในประเทศมุสลิมมีนทำให้เกิดความประทับใจ ถ้าประเทศไทยไม่มีสถานเริงรมย์ ไม่มีปัญหาอาชญากรรม ไม่มีการประท้วง เป็นประเทศที่สงบสุขเหมือนแต่ก่อนคงจะมีความสุขไม่น้อย ทุกวันนี้ผู้หญิงส่วนมากในประเทศไทยทำงานกันหนักและเหนื่อยมาก และทำไมผู้หญิงถึงชอบทำงานในตำแหน่งที่ควรจะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย พวกเธอออกมาทำงานนอกบ้านกลับบ้านต้องทำงานบ้านดูแลสามีและลูกๆ ดูแลพ่อแม่สามีหรือพ่อแม่ตนเอง ทำไมนะพวกเธอถึงเก่งและกล้าหาญกันอย่างนี้ ทำไมนะถึงมีความทรหดอดทนกันอย่างนี้ พวกเธอทำเพื่ออะไร? ศาสนาอิสลามสอนให้ผู้หญิงอยู่บ้านดูแลลูกๆเพื่อให้อยู่ในกรอบที่ดีงามเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผู้ชายมีหน้าที่ทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูภรรยาและครอบครัว ถ้าภรรยาต้องการสิ่งของจำเป็นสิ่งไหนสามีจะเป็นผู้หาซื้อให้ ภรรยาอยากไปไหนสามีจะเป็นผู้ที่ดูแล คุ้มครองพาไป


“ ทุกๆคนมีหน้าที่รับผิดชอบและเขาจะถูกสอบสวนในความรับผิดชอบของเขา ผู้นำมีหน้าที่รับผิดชอบ เขาจะถูกสอบสวนในสิ่งที่เขารับผิดชอบ สามีมีหน้าที่รับผิดชอบ เขาจะถูกสอบสวนในสิ่งที่เขารับผิดชอบ ”(บันทึกโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)


          ไพลินถามมุสลิมมีนว่าทำไมศาสนาอิสลามถึงไม่ให้ผู้หญิงทำงาน มุสลิมมีนบอกว่าศาสนาอิสลามนั้นเปรียบผู้หญิงเหมือน  “ ไข่มุก ” ที่ต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง ผู้ชายเปรียบเหมือนเปลือกหอยคอยปกป้องคุ้มครองไข่มุกที่อยู่ภายในมิให้ได้รับอันตราย เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่พวกเขาจะต้องคอยดูแลและรักษา ไม่ให้ใครมาทำร้ายได้โดยเด็ดขาด


“โลกนี้เป็นความสุข และความสุขที่ดีที่สุดของโลกนี้ก็คือ สตรีที่ดี มีคุณธรรม”(บันทึกโดย มุสลิม)


          เมื่อผู้หญิงเปรียบเสมือนสิ่งที่ล้ำค่า นั่นคือสาเหตุที่ผู้หญิงมุสลิมทุกคนจะต้องคลุมฮิญาบเพื่อไม่ให้พวกเธออวดโฉมและเป็นที่รู้จักหมายปองของมนุษย์ที่มีจิตใจใฝ่ต่ำ ความงามของภรรยาผู้ที่เป็นสามีเท่านั้นถึงจะได้เชยชม ศาสนาอิสลามนั้นได้ปกป้องผู้หญิงไม่ให้โดนทำร้ายแม้เพียงสายตา 


“สตรีทีดี่สุดคือ ทุกครั้งที่ท่านมองยังนาง ท่านเกิดความประทับใจ ท่านกำชับใช้นาง นางก็เชื่อฟังท่าน และเมื่อท่านอยู่ลับหลังนาง นางรักษาตัวของนาง(ไม่ให้เกิดฟิตนะฮ์)และรักษาทรัพย์สินของท่าน” (บันทึกโดย ฏ็อบรอนีย์)


          ผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านนั้นการงานจะต้องเหมาะสม โดยไม่ทำให้ลำบากและไม่สูญเสียเวลาในการดูแลครอบครัว แต่โดยมากแล้วผู้ชายจะให้ผู้หญิงอยู่บ้านดูแลลูกๆเพื่อให้ความรักและความอบอุ่นและที่สำคัญต้องเป็นผู้ที่สอนและให้ความเข้าใจในเรื่องศาสนาอิสลามกับลูกๆในเบื้องต้น   แล้วไพลินไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมานะ ! ทำไมถึงไม่ได้เป็นไข่มุกเหมือนกับพวกเธอบ้างนะ โถ ! ไพลิน ผู้หญิงที่น่าสงสาร

    


“สตรี”ทั้งหลายพวกเธอไม่ต้องการสิ่งนี้หรือ  ความเป็น “แม่”
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดของคำว่ามนุษย์  แม้แต่บุรุษผู้เก่งกาจยังไม่สามารถ
ที่จะเป็นในสิ่งนี้ได้ ไม่มีใครมาเรียกพวกเขาว่าแม่ได้
แม้นว่าพวกเขาจะแปลงเพศให้เหมือนผู้หญิง
 พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะให้กำเนิดทารกน้อยได้
พวกเขาไม่มีวันได้ใช้คำๆ นี้โดยเด็ดขาด เพราะพระองค์อัลลอฮ์   
 มิได้เห็นความสำคัญของบุรุษในฐานะ “แม่” แม่ผู้ยิ่งใหญ่ 
แม้แต่บุรุษที่ยิ่งใหญ่ยังออกมาจากมดลูกของเหล่าสตรี

และเติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของสตรี

เพราะฉะนั้นสตรีทั้งหลายจงภูมิใจในสิ่งที่พระองค์ทรงมอบหน้าที่นี้ให้เธอเพียงผู้เดียวเถิด

 “แม่” มันคือคำที่ยิ่งใหญ่นัก
ฉันเชื่อว่านี่คืออาชีพเดียวที่ผู้หญิงทุกคนอยากเป็น
ไม่ว่าจะเหนื่อยยากแค่ไหน พวกเธอจะอดทน เพียงแค่คำพูดเดียว
ที่เธออยากได้ยินตลอดกาล “แม่”

 

“ผู้ใดที่อัลลอฮ์ประทานหญิงที่ดีแก่เขา พระองค์ก็ได้ทรงช่วยให้เขาปฏิบัติครึ่งหนึ่งของศาสนาไปแล้ว ดังนั้น เขาจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ในส่วนที่เหลือเถิด”  (บันทึกโดย ฮากิม)


“ความสุขของมนุษย์มี 3 ประการ และ ความทุกข์ของมนุษย์ก็มี 3 ประการ ความสุขคือ หญิงที่ดี บ้านที่ดี และพาหนะที่ดี ความทุกข์คือ หญิงที่ไม่ดี บ้านที่ไม่ดี และพาหนะที่ไม่ดี”(บันทึกโดย อะห์มัด) 


          ถ้าไพลินได้เกิดมาในครอบครัวมุสลิมคงไม่เหนื่อยอย่างทุกวันนี้ ตอนนี้คงมีครอบครัวที่มีความสุขดูแลสามีและลูกๆ คงจะมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเด็กๆ ไพลินอยากเห็นผู้หญิงออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของการทำหน้าที่แม่ ให้ผู้ชายทั้งหลายได้ทำหน้าที่เลี้ยงดูผู้หญิงให้เหมาะสมกับความแข็งแรงที่พระองค์ทรงประทานมาให้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงหลายคนทำงานเก่งกว่าผู้ชายอีก แต่พวกเธอหารู้ไม่ว่าตำแหน่งต่างๆที่คิดว่าได้เงินเยอะนั้น จริงๆแล้วถ้าผู้ชายทำหน้าที่ในตำแหน่งเดียวกันนั้น เขาจะได้อัตราเงินเดือนที่สูงและมากกว่าผู้หญิง  นี่แหละคือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงจ้างผู้หญิงทำงาน เพราะผู้หญิงเรียกร้องเพื่อที่จะทำงานกันมาก จึงทำให้คุณค่าและราคาตกต่ำลง และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ชายไม่มีงานทำ ผู้หญิงบางคนจึงต้องหาเลี้ยงผู้ชาย โถ ! น่าสงสารพวกเธอจัง


“ และขอสาบานด้วย ผู้ที่ทรงบังเกิดเพศชายและเพศหญิง แท้จริงการงานของพวกเจ้านั้นย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน ”   (Al-Quran 92:2-3)


          สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจคือความรู้สึกถึงการมีพระเจ้า พระองค์อัลลอฮ์    ด้วยความที่ต้องการหาเหตุผลของสิ่งต่างๆ ชอบที่จะตั้งคำถามและหาคำตอบบุคคลที่นับถือศาสนาอิสลามตั้งแต่เกิดนั้นจะไม่ไปนับถือศาสนาอื่นอย่างเด็ดขาด ส่วนผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วยเหตุผลบางประการแล้วไม่ได้ศึกษาหลักการอิสลามอย่างถ่องแท้และไม่เข้าใจความหมาย ในคัมภีร์อัลกุรอาน ทำให้บางคนหันกลับศาสนาเดิมแต่มีให้เห็นไม่มากนัก เพราะพระองค์ทรงบอกไว้ว่า


 “ แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธากัน แล้วยังได้ทวี การปฏิเสธศรัทธาขึ้นอีกนั้น การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาจะไม่ถูกรับเป็นอันขาด และชนเหล่านี้แหละคือผู้หลงทาง ” (Al-Quran 3:90)


“ ถ้าเช่นนั้นแน่นอนเราจะให้เจ้าลิ้มรส (การลงโทษ) สองเท่าในชีวิตนี้ และสองเท่าเมื่อยามตาย แล้วเจ้าจะไม่พบผู้ช่วยเหลือแก่เจ้าให้พ้นจาก (การลงโทษ) เรา ” (Al-Quran 17:75)


          เมื่อไพลินเริ่มรู้สึกถึงการมีอยู่ของพระเจ้าและอยากศึกษาอัลกุรอานให้ถ่องแท้  แต่จะทำอย่างไร ไพลินโทรศัพท์ทางไกลไปบอกมุสลิมมีนว่าไพลินศึกษาอิสลามอยู่ มุสลิมมีนดีใจมากเขาบอกว่าเขาโชคดีมาก ไพลินยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงดีใจอย่างมากและทำไมเขาถึงต้องโชคดีด้วย ไพลินได้ถามว่าถ้าเปลี่ยนศาสนาจะต้องทำอย่างไร เพราะไพลินไม่มีความรู้ ไม่มีเพื่อนที่เป็นมุสลิมในประเทศไทย และมุสลิมบางส่วนในประเทศไทยไม่ได้ทำให้อยากที่จะศึกษาศาสนาอิสลามหรือเพราะไม่ได้เห็นมุสลิมที่ดีก็เป็นได้ มุสลิมมีนแนะนำให้ไปที่สถานทูตเพราะที่นั่นจะได้รับหนังสือและเอกสารที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่เที่ยงตรงมาศึกษา


“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า จะไม่ประสบแก่เราเป็นอันขาด นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้แก่เราเท่านั้น ซึ่งพระองค์เป็นผู้คุ้มครองเรา และแด่อัลลอฮ์นั้น มุมินทั้งหลายจงมอบหมายเถิด” (Al-Quran 9:51)


          ไพลินเดินทางไปที่สถานทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย โดยไม่รู้เกี่ยวกับวิธีการเข้ารับศาสนาอิสลามเลย  เจ้าหน้าที่ที่สถานทูตคงจะเป็น “งง”ว่ามาได้อย่างไร แต่พวกเขาให้การต้อนรับอย่างดีและดีใจเช่นกันเมื่อรู้ว่าไพลินต้องการเปลี่ยนศาสนา ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงยินดีกันมากมายอย่างนั้น ที่นั่นทำให้ไพลินมีความรู้สึกอบอุ่น ไพลินได้กล่าว ชะฮาดะ ซึ่งเป็นคำกล่าวในการปฏิญาณตนเข้ารับศาสนาอิสลาม ไม่มีพิธีรีตองอะไรเลย แค่กล่าวว่า

                

                      

“อัชฮะดุ อันลา อิลาฮะ อิ้ลลัลลอฮฺ วะอัชฮะดุอันนะ มุฮัมมะดัร เราะซูลลุ้ลลอฮ์ ”


“ข้าขอปฎิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าที่ได้รับการเคารพสักการะอื่นใดนอกจาก
อัลลอฮ์และมุฮัมมัด   เป็นบ่าวและเป็นเราะซูลของพระองค์”    
        


“ใครก็ตามที่เปลี่ยนการนับถือสู่อิสลาม บาปก่อนๆ ที่เคยกระทำไว้ทั้งหมดได้ถูกลบทิ้งไปเสียแล้ว” (บันทึกโดย มุสลิม)


          อาจารย์ที่ประจำอยู่ที่สถานทูตแนะนำให้ไปเรียนศาสนาเพิ่มเติมที่มูลนิธิสันติชนซึ่งเป็นโครงการอบรมผู้สนใจอิสลามเบื้องต้น และอาจารย์ตั้งชื่อใหม่เป็นภาษาอาหรับว่า ยุซรอ ซึ่งแปลว่าความสะดวก เป็นคำหนึ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานเป็นคัมภีร์แห่งความสะดวกในการปฏิบัติ  ยุซรอได้รับคัมภีร์อัลกุรอานมาศึกษาตามที่อยากได้ เมื่อยุซรอเริ่มเปิดและศึกษาคัมภีร์อัลกุรอาน ได้มีความรู้สึกที่แตกต่างหลายๆ อย่างเข้ามา


“ และเมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอานเราได้กางม่านที่ถูกซ่อนไว้ กั้นระหว่างเจ้าและบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลก ”(Al-Quran 17:45)


          จิตใจที่เคยฟุ้งซ่าน วุ่นวายและสับสนกลับเริ่มที่จะนิ่ง และสงบ จิตใจเริ่มจดจ่ออยู่กับคัมภีร์อัลกุรอาน มีข้อความหลายๆ อย่างที่ไม่อยากจะเชื่อแต่มันคือความจริงที่ผู้ไร้ศรัทธาไม่มีใครยอมรับ เมื่ออ่านถึงบทหนึ่งทำให้ได้รับรู้ว่าทำไมพระองค์ถึงได้หยั่งรู้จิตใจของยุซรอได้อย่างลึกซึ้งอย่างนี้ เพราะในขณะนั้นยุซรอกำลังนึกคิดอย่างนั้นจริงๆ


“ และพวกเขากล่าวว่า อัลกุรอานเป็นนิยายของประชาชาติสมัยก่อนๆ ที่เขียนกันขึ้น แล้วถูกนำมาอ่านให้ขึ้นใจ ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น ” (Al-Quran 25:5)


          ยุซรอไม่เคยได้อ่านคัมภีร์ศาสนามาก่อน แต่ก่อนนั้นจะมีหนังสือศาสนาที่แต่ละวัดแต่ละองค์กรได้จัดทำขึ้นมากันเอง พระที่เทศนาส่วนมากจะสรุปและย่อความเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจง่ายๆ และเทศน์แตกต่างกันไปในแต่ละวิธีการ  ถ้าอยากฟังเทศน์ต้องไปที่วัดหรือตามงานบุญต่างๆ เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันจึงหาเวลาในการฟังธรรมนั้นยาก  มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีสติปัญญา รู้จักค้นหาเหตุผลและคำตอบของสิ่งต่างๆ ยุซรอต้องการค้นหาคำตอบด้วยตนเองเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่ออ่านอัลกรุอานทำให้รู้สึกถึงการมีคัมภีร์ของพระเจ้า ยุซรออ่านคัมภีร์อัลกุรอาน โดยตรงไม่ต้องไปนั่งฟังใครเพื่อบอกเล่า เพราะการบอกหรือสอนต่อนั้นบางทีข้อมูลที่ได้ไม่ตรงกับเนื้อหาในคัมภีร์ เราควรจะศึกษาเนื้อหาในคัมภีร์ก่อนที่จะได้รับฟังคำอธิบายจากผู้มีความรู้ทั้งหลาย และนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้อ่านให้เข้าใจอย่างแท้จริง และเพื่อให้ได้รู้ว่านักวิชาการที่พูดสอนเราอยู่นั้น เขาอยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรงจริงหรือไม่


“ แท้จริง อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่ ” (Al-Quran17:9)


          การประพฤติปฏิบัติตนของมุสลิมในประเทศไทยนั้นแตกต่างกันมาก ยุซรอเคยมีเพื่อนมุสลิมสมัยเรียนแต่เขาดื่มเหล้า มีรุ่นน้องที่แต่งงานกับมุสลิมและเปลี่ยนศาสนาเขายังทานหมู ส่วนภรรยาที่เป็นมุสลิมโดยกำเนิดไม่เห็นคลุมฮิญาบ แล้วอะไรคือข้อปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักศาสนากันแน่  เมื่อได้อ่านคัมภีร์อัลกุรอานทำให้ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นและรับรู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี นั่นคือการทำความชั่ว ไม่ควรที่จะประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง การนับถือศาสนาอิสลามนั้นใช่ว่าเป็นมุสลิมแล้วทุกคนจะได้เข้าสวรรค์เลย พระองค์ทรงยุติธรรมเสมอ ถ้าพี่น้องมุสลิมกระทำความชั่วต้องตกนรกเหมือนกัน แม้มีโอกาสที่จะพำนักในสวรรค์แต่ต้องได้รับผลกรรมที่ตนเองได้กระทำความชั่วมาก่อน แล้วถึงจะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะได้พำนักในสวรรค์หรือไม่


“พระองค์จะทรงประทานความรู้ให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดที่ได้รับความรู้แน่นอนเขาก็ได้รับความดีอันมากมาย และไม่มีใครจะรำลึก นอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญา”(Al-Quran 2:269)


          ยุซรอเริ่มไปเรียนที่มูลนิธิสันติชน ซึ่งจะมีการอบรมหลักการศาสนาและสอนการนมาซหรือละหมาด  เดิมทีตอนที่ยังนับถือศาสนาพุทธ ยุซรอชอบที่จะสวดมนต์อยู่แล้วจึงพยายามที่จะเรียนขั้นตอนการละหมาด ซึ่งเป็นการเคารพสักการะ เข้าเฝ้าต่อพระองค์อัลลอฮ์    มิใช่แค่การนั่งสวดมนต์ ในแต่ละขั้นตอนของการละหมาดมีท่าทางที่บ่งบอกถึงการเคารพและการขอพรต่อพระองค์  ก่อนการละหมาดต้องทำความสะอาดร่างกายเสียก่อน เรียกว่า การอาบน้ำละหมาด ในแต่ละวันจะต้องละหมาดภาคบังคับ(ฟัรดู) 5 เวลา เพื่อทุกคนจะได้ระลึกถึงพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเห็นและรับรู้การกระทำของเราตลอดเวลา เมื่อระลึกถึงพระองค์นั้นทำให้ไม่กล้าที่จะทำความชั่วเพราะมีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์   เกรงว่าพระองค์จะเห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี และจะโดนจดลงในบันทึกเพื่อเป็นหลักฐานในวันกิยามะฮ์


“ความแตกต่างระหว่างมุสลิมกับกาฟิรคือ การนมาซ ดังนั้น ผู้ทิ้งนมาซ แน่นอนเขาได้เป็นกาฟิรฺแล้ว”   (บันทึกโดย  ติรมิซีย์)


          ยุซรอถามมุสลิมมีนว่าทำไมต้องละหมาดวันละ 5 เวลา ? มุสลิมมีนบอกว่าถ้าเราชำระร่างกายวันละ 5 เวลา ร่างกายจะสะอาดหรือไม่ ? การละหมาดคือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์   การรำลึกถึงพระองค์ การขออภัยต่อสิ่งที่ทำไปในแต่ละวัน เวลา นาที การขออภัยต่อความผิด คือการชำระร่างกายให้สะอาดนั่นเอง เพื่อทำให้รู้สึกสำนึกผิดขออภัยต่อพระองค์เพื่อชำระล้างจิตใจให้สะอาด พร้อมทั้งหันกลับไปทำความดีเพื่อพระองค์


“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จงสำนึกผิดต่ออัลลอฮ์ และจงขออภัยต่อพระองค์เถิดความจริงฉันสำนึกผิดวันหนึ่ง 100 ครั้ง”  (บันทึกโดย  มุสลิม)


          การละหมาดจะต้องก้มสุญูดคือการก้มให้หน้าผากและจมูกติดกับพื้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะใหญ่โตแค่ไหนคุณต้องก้มหัวเคารพต่อพระองค์ เพื่อให้ระลึกเสมอว่าอย่าทะนงตนหรือหยิ่งผยองเพราะทุกคนสุดท้ายต้องกลับไปหาพระองค์


 “ และข้ามิได้สร้าง ญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด  เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีข้า ” (Al-Quran 51:56)


“ และพวกเจ้าจงอาศัยความอดทน และการละหมาดเถิด และแท้จริงการละหมาดนั้นเป็นสิ่งใหญ่โต นอกจากบรรดาผู้ที่นอบน้อมถ่อมตนเท่านั้น ”  (Al-Quran 2:45)


          แต่ก่อนคิดว่ามุสลิมสกปรกคงไม่จริงแล้ว มุสลิมต้องทำความสะอาดร่างกายอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง และถ้าละหมาด(ซุนนะฮ์)มากกว่านั้นต้องอาบน้ำละหมาดทุกครั้งที่จะละหมาด และท่านนะบีมุฮัมมัด   ได้สอนให้มุสลิมทุกคนทำความสะอาดร่างกาย และจิตใจก่อนที่จะทำการละหมาด เข้าเฝ้าต่ออัลลอฮ์     แม้แต่สถานที่ต้องสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกตามหลักศาสนบัญญัติ


 “ท่านทั้งหลายจงยืน (แถวนมาซ) ให้เท่าๆ กันอย่าให้เหลื่อมล้ำกัน เพราะจะทำให้หัวใจของพวกท่านขัดแย้งกัน พวกท่านที่บรรลุศาสนะภาวะมีสติปัญญาเฉียบแหลมให้ยืนแถวถัดจากฉัน แถวถัดไปให้เป็นแถวของเด็ก”(บันทึกโดย  ติรมิซีย์)

Next>>>>Click