เทศกาลตรุษจีน
  จำนวนคนเข้าชม  7540

เทศกาลตรุษจีน

 

“ และอัลลอฮ์ ตรัสว่าพวกเจ้าอย่ายึดถือพระเจ้าสององค์ แท้จริงพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นเฉพาะข้าเท่านั้นที่พวกเจ้าต้องเกรงกลัว ”  (Al-Quran 16:51)


          หลังจากที่ได้รับศาสนาอิสลามไม่นาน ก็ถึงเทศกาลตรุษจีนซึ่งทุกปีต้องไปไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษ เนื่องจากยุซรอมีเวลาในการศึกษาคัมภีร์อัลกุรอานทำให้ได้รับรู้และเริ่มที่จะเข้าใจศาสนาอิสลามอย่างมีระบบทำให้มีความรู้สึกลึกซึ้งมาก จนเกรงกลัวที่จะทำสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงห้ามปรามไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน พระเจ้ามีเพียงอัลลอฮ์  เพียงพระองค์เดียว ไม่มีใครสมควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์ ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือได้นอกจากพระองค์เท่านั้น เมื่อได้ใคร่ครวญและเปรียบเทียบ การทำความเคารพพระองค์นั้นไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหาร ไม่ต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เกิดมลพิษ ไม่ต้องกลัวอุบัติเหตุในการเดินทางไกลไปไหว้ที่หลุมศพ แล้วเราจะเคารพสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ทำไม ?


“ และเมื่อบรรดาผู้ตั้งภาคีได้มองเห็นเจว็ดของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเราเหล่านี้คือเจว็ดของเราซึ่งพวกเราได้เรียกร้อง(ให้บูชา) อื่นจากพระองค์ ดังนั้นพวกมันได้กล่าวตอบว่า แท้จริงพวกท่านนั้นเป็นผู้โกหก ”   (Al-Quran 16:86)


“ พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า มันไม่อาจให้คำตอบแก่พวกเขา และมันไม่สามารถให้โทษและให้คุณแก่พวกเขาเลย ”  (Al-Quran 20:89)


          ยุซรอได้ปรึกษาพี่น้องมุสลิมว่าจะทำอย่างไรดี แต่ใครจะให้คำตอบได้ดีที่สุดนอกจากพระองค์ แม้จะยังละหมาดไม่ค่อยเป็นและยังไม่เข้าใจในท่าทางอย่างชัดเจน อีกทั้งยังปฏิบัติไม่ถูกต้องนัก แต่จิตใจนั้นได้ส่งไปถึงพระองค์และขอความช่วยเหลือจากพระองค์ให้ทรงหาทางออกและคำตอบให้กับยุซรอ ยุซรอกังวลมากเพราะแถวบ้านนั้นไม่มีผู้นับถือศาสนาอิสลาม ไม่เคยเห็นมุสลิมะห์ที่คลุมฮิญาบ และประเพณีชาวจีนกับอิสลามนั้นอยู่ตรงข้ามกันเลยทีเดียว ทุกอย่างเหมือนเป็นบททดสอบแรกที่พระองค์กำลังทดสอบ


“ แน่นนอนเราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากความกลัว และความหิวและด้วยความสูญเสีย (อย่างใดอย่างหนึ่ง) จากทรัพย์สมบัติ ชีวิต และพืชผล และเจ้าจงแจ้งข่าวดีกับบรรดาผู้อดทนเถิด ”  (Al-Quran 2:155)


          แล้วพระองค์ได้ส่งหัวใจที่เข้มแข็งและกล้าที่จะเผชิญกับความจริง ยุซรอตัดสินใจที่จะบอกแม่ เพราะความศรัทธาจึงไม่สามารถทำให้กลับไปทำในสิ่งที่ผิดต่อหลักการทางศาสนาอิสลามได้ ยุซรอไม่ชอบฝืนใจ ไม่ชอบโกหกตนเองและผู้อื่น ที่สำคัญไม่สามารถโกหกพระองค์ได้อย่างแน่นอน ก่อนถึงตรุษจีนเพียง 2 วัน ยุซรอกลับไปช่วยเก็บล้างทำความสะอาดจัดเตรียมอาหารใส่ในตู้เย็นไว้ให้พร้อมทุกอย่าง และนึกในใจว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่จะทำเพื่อรูปเคารพ และรูปปั้นจอมปลอมเหล่านั้น


“และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้าและต่อวันปรโลกนั้นพวกเขาเชื่อมั่น ชนเหล่านี้คือผู้ที่ (ตั้ง) อยู่บนคำแนะนำที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา และชนเหล่านี้คือผู้ที่บรรลุผล”   (Al-Quran 2:4-5)


หลังจากทำงานทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตัดสินใจบอกแม่

“แม่ ไพลิน (ชื่อเดิม) เปลี่ยนศาสนาแล้วนะไพลินนับถือและเคารพในศาสนาอิสลาม”

แม่โมโหยุซรอมากถามว่า “ทำไม? เพราะอะไร?” ขณะนั้นความรู้ที่มีอยู่ยังไม่สามารถที่จะอธิบายอะไรได้ บอกแต่เพียงว่ายุซรอศึกษาและศรัทธาในศาสนาอิสลาม

แม่       : อิสลามนับถืออะไร

ยุซรอ   : อิสลามนับถือพระเจ้า

แม่      :  พระเจ้ารูปร่างหน้าตาอย่างไร ตัวตนเป็นอย่างไร 

ยุซรอ   :ไม่มีใครเห็นว่าพระเจ้ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และไม่มีใครเห็นว่าพระเจ้าตัวตนเป็นอย่างไร แต่ยุซรอเชื่อมั่น และศรัทธาต่อพระองค์

แม่      : ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีแล้วทำไมต้องเปลี่ยนด้วย เราเคารพกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ  ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนเลย


“ และเมื่อได้ถูกกล่าวกับพวกเขาว่าจงปฏิบัติสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาเถิดพวกเขาก็กล่าวว่ามิได้ เราจะปฏิบัติสิ่งเราได้พบบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้น และแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องก็ตามกระนั้นหรือ ? ”(Al-Quran 2:170)


          ใช่สิ่งนั้นคือความรู้สึก ความเชื่อและความศรัทธาเมื่อความศรัทธาได้เปลี่ยนไป จึงไม่สามารถทำให้กลับเหมือนเดิมได้ แม่ไม่สามารถพูดให้กลับมาศาสนาเดิมเลยได้แต่นึกว่า “มันคงบ้าไปแล้ว” หรือที่ใครๆ มักจะบอกว่า “ผีอิสลามเข้า” แล้วทุกอย่างได้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์  วันตรุษจีนยุซรอมาช่วยทำอาหารตอนเช้าเสร็จแล้วได้ออกไปจากที่นั่น โดยที่ไม่อยู่ร่วมในพิธีกรรมต่างๆ ทุกคนในครอบครัวไม่เข้าใจว่ายุซรอเปลี่ยนศาสนาเพราะอะไร แต่ทุกคนไม่เคยที่จะถามหรือให้โอกาสได้อธิบายว่าทำไมถึงต้องอิสลาม และศาสนาอิสลามเป็นอย่างไร


“ เปล่าเลยรูปปั้นเหล่านั้นจะปฏิเสธการคารพบูชาของพวกเขา และพวกมันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา”   (Al-Quran 19 : 82)


“แท้จริงพวกท่านบูชารูปปั้น อื่นจากอัลลอฮ์ และพวกท่านกุการมุสาขึ้น แท้จริงบรรดาที่พวกท่านบูชาอื่นจากอัลลอฮ์นั้น มันไม่มีอำนาจที่จะให้เครื่องยังชีพแก่พวกท่าน ดังนั้นจงขอเครื่องยังชีพจากอัลลอฮ์เถิด และจงเคารพภักดีพระองค์ และจงขอบคุณต่อพระองค์ ยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไป ”  (Al-Quran 29 : 17)


          การเปลี่ยนศาสนาทำให้ได้พิสูจน์สัจธรรมและความจริง ยุซรอบอกกับทุกคนว่าแค่เปลี่ยนศาสนาทุกอย่างเหมือนเดิม แต่นั่นไม่สามารถทำให้ใครๆยอมรับได้ เพราะคำว่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม คำๆเดียวทำให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดกันขนาดนี้เชียวหรือ เพราะอะไร?  อิสลามไปทำอะไรให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ พวกเขาจึงได้เกลียดชังกันนัก พวกเขาเพียงได้รับรู้แค่คำบอกเล่าของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน โดยไม่เคยศึกษาหาความจริงกัน พวกเขาตัดสินกันเพียงแค่การรับฟังต่อๆกันมาเท่านั้นเองหรือ


“คือผู้ให้แผ่นดินเป็นที่นอน และฟ้าเป็นอาคาร แก่พวกเจ้า และทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วได้ทรงให้บรรดาผลไม้นั้นออกมา เนื่องด้วยน้ำนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าให้มีผู้เท่าเทียมใดๆขึ้น สำหรับอัลลอฮ์ โดยที่พวกเจ้าก็รู้กันอยู่” (Al-Quran 2:22)


“ และผู้ใดบอดในโลกนี้ ดังนั้นเขาก็จะบอดในปรโลกด้วย และหลงทางอย่างไกลยิ่ง ” (Al-Quran 17:72)


           มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทีละน้อยๆโดยไม่รู้ตัว เปลี่ยนในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยปฏิบัติ  ไม่ออกไปเที่ยวเตร่เฮฮาเดินห้างสรรพสินค้าโดยไม่จำเป็น เสื้อผ้าที่ใส่แบบหวือหวาเปลี่ยนมาใส่เสื้อแขนยาวตัวหลวม จากที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยหันมาประหยัด ไม่โดนโฆษณาชวนเชื่อหลอกให้เสียเงิน เรื่องอาหารไม่กินหมูโดยเด็ดขาด โดยปกติแล้วยุซรอจะไม่กินเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงเพราะระยะหลังเวลาทานเนื้อหมูจะหายใจไม่สะดวก ไม่รู้ว่าทำไม?ได้ทดลองหลายครั้งเคยหยุดกินสักพักกลับมากินต่อยังเกิดอาการดังกล่าวเลยเลิกกินหมู แต่หลังจากนี้ต้องเลิกอย่างเด็ดขาดไม่ใช่แค่เขี่ยทิ้งแม้แต่ถูกก็ไม่ได้ เพื่อนที่เคยนัดไปทานข้าวก็หายไปเพราะต้องเลือกร้านอาหารอิสลาม แรกๆจะไม่เคร่งครัดเท่าไหร่เพราะเกรงใจเพื่อนเพียงแต่อย่าสั่งอาหารที่ใส่หมู แต่ระยะหลังไม่สามารถหลอกตนเองได้อีกต่อไปและพระองค์ทรงมองดูยุซรอตลอดเวลา


“ มนุษย์เอ๋ย ! จงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดีจากสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือ ศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า ” (Al-Quran 2:168)


“ ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร  และสัตว์ที่เปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน (ขณะเชือด)...…”   (Al-Quran 5:3)


          ทำไมอิสลามถึงไม่กินหมู ? เป็นคำถามของทุกคนที่มิใช่มุสลิม จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้นเมื่อนำเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแพะ มาวางไว้ที่อุณหภูมิปกติ เนื้อหมูจะเกิดปฏิกิริยาการเน่าเสียก่อนเนื้อชนิดอื่นๆ เมื่อมีแมลงวันมาตอมและไข่ไว้ ไข่ของแมลงวันจะเติบโตได้รวดเร็วกว่าในเนื้อสัตว์ชนิดอื่น เราจะเห็นหนอนไต่ยั้วเยี้ยในเนื้อหมูได้อย่างรวดเร็ว ในเนื้อหมูมีความชื้นและไขมันสูงซึ่งเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคชนิดต่างๆ ไขมันในเนื้อหมูได้ห่อหุ้มพยาธิไว้เหมือนเกาะป้องกันอย่างดี เพื่อไม่ให้โดนทำลายจากความร้อนที่มีไม่มากพอที่จะฆ่าพวกมัน เพราะฉะนั้นเราจะเห็นผู้ที่ต้องตายเพราะกินเนื้อหมูดิบๆเป็นประจำ และแพทย์ได้ออกมาเตือนว่าอย่าทานเนื้อหมูดิบเด็ดขาดแต่บางคนยังชอบที่จะเป็น หมูทดลอง บางครั้งความตายมันก็ไม่น่ากลัวสำหรับบางคน แล้วชีวิตหลังความตายพวกเขากลัวกันบ้างไหม


“ ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมันเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์ ” (Al-Quran 6:118)


          เรื่องหมูๆ ที่ไม่หมู “สุกร” เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่พฤติกรรมของเพศผู้จะเชิญชวนให้ตัวผู้ตัวอื่นร่วมเพศกับตัวเมียของมันด้วยความยินดี หรือมันคือการสำส่อนทางเพศนั่นเอง ทุกวันนี้พฤติกรรมของมนุษย์บางกลุ่มเปลี่ยนแปลงคล้ายหมูเพราะมีคำกล่าวไว้ว่า“กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น ” คงไม่ผิดนักเมื่อมองสังคมทุกวันนี้ และมีกลุ่มหนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมทางเพศที่ชอบแลกเปลี่ยนคู่นอนกัน ชื่อทางภาษาอังกฤษว่า “swingging” มันก็คือการสำส่อนทางเพศ ความสกปรกโสมมของสังคม ความไร้ยางอายของมนุษย์ที่ได้รับมาจากการกินอาหาร แล้วพระองค์สร้างหมูมาทำไม ? พระองค์สร้างมันมาเพื่อทดสอบมนุษย์  ทดสอบในคำสั่งที่พระองค์ทรงบอกว่า “ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร”  แต่พระองค์มิใช่จะห้ามขนาดที่ทำให้มนุษย์ต้องอดหรือตาย ถ้าไม่มีอย่างอื่นนอกจากเนื้อหมูเป็นอย่างสุดท้ายที่จะกินเพื่อปะทังชีวิต เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ผู้นั้น พระองค์ทรงอภัยและทรงเมตตาเสมอ


“และพวกเขาคิดว่าจะไม่มีการทดสอบใดๆเกิดขึ้น แล้วพวกเขาจึงได้ตาบอด และหูหนวก แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และพวกเขาก็ตาบอดแล้วหูหนวกอีก คือจำนวนมากในหมู่พวกเขา และอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นสิ่งที่พวกเขากระทำกัน”  (Al-Quran 5:71)


          จิตใจที่เคยแข็งกร้าวของยุซรอแต่มักบอกตนเองว่าเป็นจิตใจที่เข้มแข็ง แท้จริงแล้วช่างอ่อนแอเสียนี่กะไรถูกมารร้ายชัยฏอนหลอกลวงมานานโดยที่ไม่สามารถล่วงรู้แผนการของพวกมันได้เลย การเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อจิตใจได้เห็นถึงสัจธรรมจึงทำให้มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต ที่มิใช่การหลอกลวงหรือภาพลวงตา พระองค์ทรงเปิดหัวใจให้ได้รับรู้สิ่งต่างๆให้ได้รู้ว่าชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูของมนุษย์ผู้ศรัทธา เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ไปคบหาพวกมันและหลีกให้พ้น


“ พึงทราบเถอะว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้อก้อนหนึ่งเมื่อมันดีร่างกายนั้นก็ดีด้วย แต่เมื่อมันเสียร่างกายก็เสียด้วย เนื้อก้อนนั้นก็คือหัวใจ ”  (บันทึกโดย บุคอรีย์ และ มุสลิม)  


          ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเพราะเคารพและศรัทธาในคำสั่งของพระองค์อัลลอฮ์   และเกรงกลัวพระองค์ กลัวที่จะต้องตกนรกไปเป็นเพื่อนกับเหล่าชัยฏอน  มารร้ายทั้งหลาย


“ สำหรับเขาแล้วมีมะลาอิกะฮ์ผู้เฝ้าติดตามทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา รักษาเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์จะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง และเมื่ออัลลอฮ์ทรงปรารถนาความทุกข์แก่ชนกลุ่มใดก็จะไม่มีผู้ตอบโต้พระองค์ และสำหรับเขาไม่มีผู้ช่วยเหลือนอกจากพระองค์ ” (Al-Quran 13:11)


          แต่ก่อนนั้นได้ตระเวนไปไหว้สิ่งที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์หลายที่มาก ยังนึกในใจเลยว่าตกลงใครจะช่วยฉันนะ? เมื่อรับรู้ว่าทุกอย่างถูกลิขิตและถูกกำหนดมาแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากได้รับการอนุมัติจากพระองค์ เพราะฉะนั้นจงทำความดีเพื่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ศาสนาอิสลามได้บอกให้มนุษย์ต้องทำดีกับมนุษย์ด้วยกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน นั่นเป็นหนทางที่จะได้บุญอย่างแน่นอน ศาสนาอิสลามนั้นได้สอนให้การทำดีเป็นเรื่องง่าย การทำความดีในศาสนาอิสลามเพียงแค่คิดดี พูดดี ก็ได้บุญแล้ว มะลาอิกะฮ์จะเป็นผู้จดบันทึกแม้เพียงแค่คิดพระองค์ก็ทรงรับรู้ แล้วอย่างนี้คิดที่จะทำชั่วได้อย่างไร ?


“พระองค์คือผู้ที่ได้สร้างสิ่งทั้งมวลในโลกไว้สำหรับพวกเจ้า ภายหลังได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า แล้วได้ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นเป็นเจ็ดชั้นฟ้า และพระองค์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง” (Al-Quran 2:29)


         ศาสนาอิสลามมีกฎระเบียบของการใช้ชีวิตไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไปคือ ไม่ใช่เสรีจนจะทำอะไรก็ได้ไม่แคร์ใครไม่รับผิดชอบอะไร ช่วงแรกรู้สึกอึดอัดเหมือนกันเพราะเป็นการดำเนินวิถีชีวิตที่แตกต่างจากแต่ก่อนมาก เรียกว่าหลังมือกับหน้ามือเลยก็ว่าได้ เป็นการบังคับตนเองให้อยู่ในกรอบโดยที่ไม่มีใครมาตีกรอบให้ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญยิ่งเพราะพวกชัยฏอนทั้งหลายจะเข้ามาหลอกล่อทำให้ไขว้เขวอย่างมาก มันจะทำให้เราสับสน เป็นช่วงที่ต้องการกำลังใจอย่างมากที่สุดแต่กำลังใจที่เข้มแข็งจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่มาจากพระองค์อัลลอฮ์   พระองค์ได้ให้กำลังใจอย่างมากมายกับยุซรอ สำหรับยุซรอนั้นได้มีสัญญาณบางอย่างมาจากพระองค์อัลลอฮ์   เป็นสิ่งที่ทำให้รับรู้ว่าพระองค์ได้รับยุซรอเข้ามาในศาสนาของพระองค์แล้ว และทรงอภัยบาปทั้งหมดให้กับยุซรอ เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอและผู้ทรงอภัยอย่างมากมาย พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ พระองค์อยู่ใกล้หัวใจมากที่สุด เมื่อนึกถึงพระองค์ครั้งใดน้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาทันที


  “ และถ้าเช่นนั้นแล้ว แน่นอนเราก็จะให้แก่พวกเขา ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวงจากที่เรานี้เอง และแน่นนอนเราจะแนะนำแก่พวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรง ”  (Al-Quran 4: 67-68)

                            

สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ให้มนุษย์ได้รำลึกถึงพระองค์
หรือท่านจะบอกว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ได้โปรดไตร่ตรองกันให้ดี ธรรมชาติเกิดจากอะไร
ใครเป็นผู้สร้างสรรค์ธรรมชาติ ได้งดงามขนาดนี้


“ส่วนหนึ่งจากการเป็นมุสลิมที่ดี คือการที่เขาละทิ้งสิ่งที่ไม่มีความหมายแก่เขา”(บันทึกโดย  ติรมิซีย์)

Next >>>>Click