อับดุลลอฮ์ กับ อับดุนนะบีย์ 4
  จำนวนคนเข้าชม  3170

อับดุลลอฮ์ กับ อับดุนนะบีย์ 4

อับดุนนบีย์ : คุณอับดุลเลาะฮ์  คุณปฏิเสธการ“ชะฟาอะฮ์”ของท่านเราะซูล และไม่ยอมรับการขอ “ชะฟาอะฮ์”กระนั้นหรือ ?

อับดุลเลาะฮ์ : ฉันมิได้ปฏิเสธการ “ชะฟาอะฮ์”  และฉันไม่ยอมรับการขอ “ชะฟาอะฮ์”  ของตัวฉันเอง แต่ท่านนะบี คือผู้ที่ทำการขอชะฟาอะฮ์จากอัลลอฮ์  และฉันหวังในการชะฟาอะฮ์ของท่าน  แต่การให้ “ชะฟาอะฮ์” ทั้งหมดนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น

ดังที่พระองค์ตรัสว่า

 “ ( มุฮัมมัด ) จงกล่าวเถิดว่า การอนุญาตให้ได้ขอความช่วยเหลือ ( ชะฟาอะฮ์ ) ทั้งหมดนั้น เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ โดยสิ้นเชิง  แต่เพียงพระองค์เดียว ”    ( อัซซุมัร / 44 )

         และการชะฟาอะฮ์จะเกิดขึ้นไม่ได้  นอกจากภายหลังจากที่อัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้มีขึ้นเท่านั้น  ดังที่อัลลอฮ์  ตรัสว่า

 “ ผู้ใดเล่าคือผู้ที่จะอนุมัติให้มีการขอความช่วยเหลือ ( ชะฟาอะฮ์ ) ให้แก่ผู้ใดได้ ณ  อัลลอฮ์ นอกจาก ด้วยพระอนุมัติของพระองค์เท่านั้น ”   ( อัลบะกอเราะฮ์ / 255 )

        และไม่มีใครจะได้รับความช่วยเหลือ นอกจากอัลลอฮ์ ทรงอนุมัติให้แก่เขาแล้วเท่านั้นเช่นกัน        

ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า

 “ พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขอความช่วยเหลือผู้ใด  เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัยให้เท่านั้น ”        ( อัลอัมบิยาอ์ / 28 )    
 
          และพระองค์จะไม่ทรงพอพระทัย  นอกจากผู้ที่ให้เอกภาพแด่พระองค์เท่านั้น  ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 “ และผู้ใดแสวงหาศาสนาอื่นใด  นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว  จะไม่มีวันถูกรับจากเขาเป็นอันขาด  และในโลกอาคิเราะฮ์  เขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน ”    ( อาละอิมรอน / 85 )
    
          การให้ “ชะฟาอะฮ์” ทั้งมวลนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์  และจะไม่มี “ชะฟาอะฮ์” ใดเกิดขึ้นได้  เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากพระองค์  แม้กระทั่งผู้เป็นนะบี หรือใครอื่นก็ตาม  และไม่มีผู้ใดจะได้รับอนุมัติ  นอกจากผู้ที่ให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ เพียงองค์เดียว จึงเป็นที่ชัดเจนว่า ชะฟาอะฮ์ทั้งหมดเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว  และฉันก็ต้องการได้รับการชะฟาอะฮ์จากพระองค์ด้วยเช่นกัน

“ ข้าแต่อัลลอฮ์ ขอพระองค์อย่าได้หักห้ามการ “ชะฟาอะฮ์” ของท่านนะบีไปจากข้าพระองค์เลย  ข้าแต่อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงให้ท่านนะบี ได้เป็นผู้ขอ “ชะฟาอะฮ์” ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ”

อับดุนนบีย์  : ตกลงเราเห็นพ้องกันที่ว่า   ไม่อนุญาตให้ขอสิ่งใดจากผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครอบครองสิ่งนั้น  และท่านนะบี    อัลลอฮ์ ทรงอนุญาตให้ทำการขอ “ชะฟาอะฮ์” ได้       ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงประทานให้  เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของชะฟาอะฮ์นั้น  ด้วยเหตุนี้  จึงอนุญาตให้ขอจากท่านนะบี จากสิ่งที่ท่านมิได้เป็นเจ้าของ  แล้วไม่ถือว่าเป็นการตั้งภาคี (ชิริก) แต่ประการใดกระนั้นหรือ  ! ?

อับดุลเลาะฮ์ : ถูกแล้ว เป็นคำพูดที่ถูกต้อง  หากอัลลอฮ์มิทรงห้ามคุณไว้เช่นนั้น  เพราะพระองค์อัลลอฮ์ ตรัสว่า

“ดังนั้น พวกเจ้าอย่าได้วิงวอนขอต่อผู้ใดร่วมกับอัลลอฮ์เป็นอันขาด ” ( อัลญิน / 18 )

         การขอให้ช่วยเหลือ (ชะฟาอะฮ์) นั้นเป็นดุอาอ์  และผู้ที่ประทาน“ชะฟาอะฮ์”ให้แก่ท่านนบี    คือ อัลลอฮ์ ผู้ทรงห้ามคุณ  มิให้ขอ“ชะฟาอะฮ์”จากผู้ใดนอกจากพระองค์ การขอ “ชะฟาอะฮ์” นั้นจะให้แก่ท่านนะบี      และ บรรดามลาอิกะฮ์ ได้รับ “ชะฟาอะฮ์” บรรดา “อัฟร็อฏ” หมายถึง  เด็ก ๆ ที่ตายไปก่อนจะบรรลุศาสนภาวะ  ต่างได้รับสิทธิ์ในการขอ  “ชะฟาอะฮ์” จากอัลลอฮ์  บรรดา “ เอาว์ลิยาอ์ ” ได้รับสิทธิ์ในการขอ “ชะฟาอะฮ์” จากอัลลอฮ์  แล้วคุณจะพูดได้หรือไม่ว่า  แท้จริง อัลลอฮ์ทรงประทาน “อัชชะฟาอะฮ์” ให้กับพวกเขา  ดังนั้น  จึงไปวอนขอต่อพวกเขาเหล่านั้นได้ ?

          หากคุณบอกว่า “ใช่”การกล่าวเช่นนั้นเท่ากับว่า เป็นการกลับไปสักการะ ( อิบาดะฮ์ ) ต่อบรรดาคนดี ๆ คนซอลิฮ์  ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงแจ้งไว้ในคัมภีร์ของพระองค์

          และหากคุณบอกว่า “ ไม่ใช่ ” คำพูดของคุณก็เป็นเท็จ เชื่อไม่ได้  เพราะอัลลอฮ์ทรงประทาน    การ“ชะฟาอะฮ์”ให้กับพวกเขา  และฉันก็ขอสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงให้กับพวกเขาจากพวกเขาเท่านั้น

อับดุนนบีย์ : แต่ทว่าผมมิได้ให้สิ่งใดมาเป็นภาคี ( ชิริก ) กับอัลลอฮ์แต่อย่างใด  เพียงแต่มุ่งสู่บรรดาคนซอลิฮ์  มิใช่เป็นการทำชิริกแต่อย่างใด !

อับดุลเลาะฮ์ : คุณรู้และยืนยันแล้วมิใช่หรือว่า  แท้จริง อัลลอฮ์ทรงห้ามการทำ “ชิริก” ยิ่งกว่าห้าม     การทำ “ซินา”  และแท้จริง อัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยให้กับการทำ “ชิริก” ?

อับดุนนบีย์ : ถูกต้องแล้ว แน่นอน  ผมยืนยันเช่นนั้น

อับดุลเลาะฮ์ : แต่ขณะนี้คุณกลับปฏิเสธเรื่อง “ชิริก” ที่อัลลอฮ์ทรงห้ามด้วยตัวของคุณเอง  คุณจะสาบานต่ออัลลอฮ์ไหมว่า  คุณจะชี้แนะให้ฉันทราบว่า  อะไรคือการทำ “ชิริก” ต่ออัลลอฮ์ ที่คุณมิได้กำลังทำอยู่ ?  และคุณปฏิเสธว่าตัวคุณมิได้ทำ ?

อับดุนนบีย์ : “ชิริก” คือการสักการะบรรดาเจว็ดรูปปั้น  และการผินหน้ามุ่งสู่สิ่งเหล่านั้น  ขอจากสิ่งเหล่านั้น  และกลัวสิ่งเหล่านั้น

อับดุลเลาะฮ์ : อะไรคือความหมายของคำว่า  สักการะ ( อิบาดะฮ์ ) ต่อบรรดาเจว็ดรูปปั้น?  คุณคิดว่าพวกนั้นต่างเชื่อว่า  บรรดาต้นไม้  ก้อนหิน สามารถสร้างให้ปัจจัย ( ริสกีย์ )  และบริหารจัดการ    สิ่งที่พวกเขาวิงวอนขอใช่หรือไม่ ?  เปล่าเลย ! เพราะนี่เป็นสิ่งที่อัลกุรอานปฏิเสธ 

อับดุนนบีย์ : ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ! แต่ทว่า  ผู้ใดที่มุ่งวิงวอนขอต่อต้นไม้  ก้อนหิน  หรืออาคาร  สิ่งก่อสร้างบนกุบูร  หรืออื่น ๆ  พวกเขาอยู่ในสภาพที่กำลังวิงวอนขอ และมีการเชือดเพื่อสิ่งเหล่านั้น  และนั่นเป็นการทำให้ได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งอย่างแท้จริง  และอัลลอฮ์ จะประทานความจำเริญ (บะรอกะฮ์) ให้เราอันเนื่องจากเขา   นี่คือ การอิบาดะฮ์ต่อบรรดาเจว็ดรูปปั้น ตามที่ผมหมายถึง !
 
อับดุลเลาะฮ์ : ถูกต้องแล้ว  และนี่คือการกระทำที่มีต่อก้อนหิน  สิ่งก่อสร้าง  และเหล็ก ซึ่งอยู่  บนกุบูร  และที่อื่น ๆ  และคำพูดที่ว่า การตั้งภาคี (ชิริก) คือ การอิบาดะฮ์ต่อบรรดาเจว็ดรูปปั้น !  การทำชิริกหมายถึง  ผู้ที่กระทำเช่นนั้นใช่หรือไม่ ?  และการมุ่งไปสู่คนดี ๆ ( คนซอลิฮ์ )  และพึ่งพาอาศัยวิงวอนขอดุอาอ์ต่อพวกเขา  ไม่ได้เข้าอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าการตั้งภาคี ( ชิริก ) ด้วยกระนั้นหรือ ?

อับดุนนบีย์ : ใช่แล้ว  นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ

อับดุลเลาะฮ์ : ถ้าอย่างนั้นคุณไปอยู่เสียที่ไหน  ในเมื่อมีอายาตอัลกุรอานมากมายที่อัลลอฮ์ตรัสห้ามมิให้   ยึดติดอยู่กับบรรดาคนซอลิฮ์  และผูกผันอยู่กับบรรดามลาอิกะฮ์  และคนอื่น ๆ ฯลฯ  และยังถือว่าผู้ใดที่กระทำการดังกล่าว เท่ากับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กุฟร )  ดังที่ได้เคยบอกกับคุณมาก่อนหน้านี้แล้ว

อับดุนนบีย์ : แต่ผู้ที่วิงวอนขอต่อบรรดามลาอิกะฮ์และบรรดานะบีย์  พวกเขามิได้ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กาฟิร ) ด้วยกับสาเหตุเช่นนี้  แต่พวกเขาถูกถือว่าเป็น กาฟิร  เพราะพวกเขาพูดว่า บรรดามลาอิกะฮ์นั้นเป็นพระธิดาของอัลลอฮ์  และ “ อัลมะซี๊ฮ์ ” เป็นพระบุตรของอัลลอฮ์ต่างหาก  และเรามิได้พูดว่า “ อับดุลกอดิร ” เป็นพระบุตรของอัลลอฮ์  และก็ไม่ได้พูดว่า “ ซัยนับ ” เป็นพระธิดาของอัลลอฮ์อีกด้วย !

อับดุลเลาะฮ์ : สำหรับการสืบสายโลหิตไปถึงอัลลอฮ์  นั่นเป็นการปฏิเสธศรัทธา (กุฟรฺ)    ชัดเจนอยู่แล้ว  เพราะอัลลอฮ์ ตรัสว่า

 “ ( มุฮัมมัด ) จงกล่าวเถิดว่า  พระองค์คืออัลลอฮ์  ผู้ทรงเอกะ  อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง ”   ( อัลอิคลาศ / 1-2 )                              
 
          คำว่า “ อัลอะฮัด ” คือ หนึ่งเดียว หรือ  เอกะ  ไม่มีภาคีเคียงคู่ใด ๆ
 
          คำว่า “ อัซซอมัด ” คือ เป็นที่พึ่งพิง  ดังนั้น  ผู้ใดที่ปฏิเสธไม่ยอมรับการพึ่งพาพระองค์  ก็เท่ากับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ( กุฟรฺ )  และแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับในตอนท้ายซูเราะฮ์ก็ตาม   อัลลอฮ์ ตรัสว่า

 “ อัลลอฮ์ มิได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร  และไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเป็นพระเจ้าเคียงคู่ร่วมกับพระองค์  ถ้าเช่นนั้น  พระเจ้าแต่ละองค์ย่อมจะต้องเอาสิ่งที่ตนสร้างไปเสียหมด  และแน่นอน พระเจ้าบางองค์ในหมู่พวกเขา   ก็จะมีอำนาจเหนือกว่าอีกบางองค์  อัลลอฮ์ นั้นทรงมหาบริสุทธิ์ยิ่ง  เกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวอ้าง ”  ( อัลมุอฺมินูน / 91 )

          ดังนั้น การปฏิเสธศรัทธาทั้งสองประการนั้นย่อมแตกต่างกัน  และหลักฐานคือ บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร) ด้วยกับการวิงวอนขอต่อ “ ล๊าต ” ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเป็นคนซอลิฮ์มาก่อน   พวกเขาไม่ถือเอาว่า “ ล๊าต ” นั้น เป็นพระบุตรของอัลลอฮ์

         บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่สักการะบูชา “ ญิน ” พวกเขาก็ไม่ได้ถือเอาพวกญินเป็นพระบุตรของอัลลอฮ์ ด้วยเช่นกัน

          ในทำนองเดียวกัน  บรรดามัซฮับทั้งสี่  ได้ระบุไว้ในบทที่ว่าด้วยข้อตัดสินชี้ขาด  (ฮุก่ม) สำหรับผู้ตกศาสนา “ มุรตัด ” สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม  กล่าวคือ  เมื่อมุสลิมคนใดอ้างว่าอัลลอฮ์ทรงมีพระบุตร  เขาผู้นั้นก็สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม  คือตก “ มุรตัด ” นั่นเอง

          และถ้าเขาตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ ( ทำชิริก ) แน่นอนเท่ากับเป็นการสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม( มุรตัด )  เป็นการจำแนกออกจากกันได้เป็นสองอย่างนี้

อัลดุนนบีย์ :  แต่ทว่าอัลลอฮ์ ตรัสว่า

 “ พึงรู้เถิดว่า  แท้จริง บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ ทรงรักนั้น  ไม่มีความกลัวใด ๆ สำหรับพวกเขา  และพวกเขาก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจใด ๆ ”    ( ยูนุส / 62 )

อับดุลเลาะฮ์ : เราเห็นด้วยเพราะมันเป็นความจริง  แต่พวกเขามิได้อิบาดะฮ์ต่อพวกนั้น  และเราก็มิได้ปฏิเสธเว้นแต่ว่าจะมีการอิบาดะฮ์พวกเขาร่วมกับอัลลอฮ์ และนำเอาพวกเหล่านั้นมาเป็นภาคี (ชิริก) ต่อพระองค์  ซึ่งถือเป็นการทำชิริก ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นหน้าที่ที่คุณจะต้องรักพวกเขาและปฏิบัติตาม  ให้เกียรติ และจะต้องไม่ปฏิเสธเกียรติคุณ ( กะรอมะฮ์ ) ของบรรดาผู้เป็นที่รักของอัลลอฮ์ (เอาว์ลิยาอ์) ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธเกียรติคุณของบรรดาผู้ที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์ นอกจากพวกที่ทำ“บิดอะฮ์”เท่านั้น  ศาสนาของอัลลอฮ์ นั้นอยู่ตรงกลางทั้งสองข้าง  ระหว่างแสงสว่างนำทางกับความหลงผิด และระหว่างความจริงกับความเท็จ !

อับดุนบีย์  :  บรรดาผู้ที่อัลกุรอานระบุนั้น  พวกเขามิได้กล่าวปฏิญาณว่า  “ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ ”  และยังปฏิเสธไม่ยอมรับท่านเราะซูล  ว่าเป็นนะบี ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ     และปฏิเสธอัลกุรอาน     และถือว่าอัลกุรอานนั้น  เป็นเวทย์มนต์คาถา (ซิฮี๊ร) อีกด้วย

          ขณะที่เราปฏิญาณว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และท่านนะบีมุฮัมมัดนั้น  เป็นเราะซูลของอัลลอฮ์  เราเชื่อในอัลกุรอาน  ศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพ  ละหมาด และถือศีลอด แล้วพวกท่านจะให้เราไปเหมือนกับพวกนั้นได้อย่างไรกัน ?


Part 1 >>>> Click          Part 2 >>>> Click          Part 3>>>> Click          Part 4 >>>> Click


Part 5 >>>> Click          Part 6 >>>> Click

แปลโดย  อ.มาลิก  โยธาสมุทร


จากข้อเขียนของ  ดร. มุฮัมมัด  บินสุลัยมาน  อัลอัชก็อรฺ