วงจรแห่งจริยธรรม
  จำนวนคนเข้าชม  9409

 

 

วงจรแห่งจริยธรรม

 

        ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาในเอกภาพแห่งพระองค์อัลลอฮ์ ทั้งหลาย จำเป็นที่เราท่านทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตามสิ่ง ที่พระองค์และเราะซูลของพระองค์ทรงใช้ และจะต้องละทิ้งสิ่งที่พระองค์และเราะซูลของพระองค์ทรงห้าม

          ในทุกๆศาสนานั้นย่อมมีหลักปฏิบัติที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของศาสนานั้นๆ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าศาสนาอิสลามก็มีครรลองแห่งการจงรักภักดีเป็นการเฉพาะที่ผู้นับถือจะต้องปฏิบัติตาม และถือเป็นศาสนกิจที่ที่ถูกกำหนดขึ้นในหมู่พวกเขาโดยตรงไม่เกี่ยวข้องกับศาสนิกอื่น แต่หลักคำสอนด้านจริยธรรมหาใช่ส่วนหนึ่งจากด้านดังกล่าวไม่ เพราะ มุสลิมย่อมต้องหยิบยื่นสิ่งดีงามอันปราศจากความคลุมเคลือให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาใด หรือ ลัทธิใด

          ดังนั้นความสัจจะจึงเป็นหน้าที่ ที่มุสลิมต้องปฎิบัตต่อมุสลิมด้วยกัน และผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ในทำนองเดียวกัน ความโอบอ้อมอารีย์ การรักษาสัญญา ความสุภาพ และความร่วมมือกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ดังกล่าวนี้ล้วนเป็นสิ่งทีมุสลิมจำเป็นต้องปฏิบัตต่อเพื่อนร่วมโลกทั้งสิ้น

          อัลกุรอานได้กำชับให้เราชาวมุสลิมอย่าได้เข้าไปพัวพันกับพวกยิว และคริสเตียน ในข้อโต้เถียงอันเป็นเหตุให้เกิดข้อทะเลาะวิวาท และจะไม่เกิดผลดีแก่ศาสนาเลย พระองค์อัลลอฮ์ทรงได้มีพระดำรัสไว้ในซูเราะห์ อัลอังกะบูต อายะฮที่  46 ว่า

ولاتجادلوا اهل الكتاب إلا بالتي هي احسن إلا الذين ظلموامنهم وقولوا

آمنابالذي انزل إليناوانزل إليكم وإلهناوإلهكم واحدونحن له مسلمون

" และเจ้าทั้งหลายอย่าได้โต้แย้งกับชาวคัมภีร์ (ยิว คริสต์) เว้นไว้ด้วยหลักการที่สวยงามที่สุด นอกจากพวกที่ฉ้อฉลจากหมู่พวกนั้น

และพวกเจ้าจงกล่าวว่า เราศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกลงมายังเรา และสิ่งที่ถูกลงมายังพวกเจ้า และพระเจ้าของเรากับพระเจ้าของพวกท่านก็คือพระเจ้าเดียวกัน

และพวกเรายอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ "

          และช่างเป็นเรื่องประหลาดต่อการที่ผู้เจริญรอยตามท่านศาสดามูซา และ อีซา จะเข้าไปปะทะกับบรรดามุสลิมในการโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า


قل اتحاجوننافي الله وهوربناوربكم ولنااعمالناولكم اعمالكم ونحن له مخلصون


" เจ้าจงประกาศเถิด หรือเจ้าทั้งหลายจะโต้เถียงกับเราในเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮ์  

ทั้งๆที่พระองค์เป็นพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลายด้วย

และสำหรับพวกเราก็คือการงานของเรา และสำหรับพวกท่านก็คือการงานของพวกท่าน

ต่างคนต่างก็รับผิดชอบการงานของตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกันประการใดๆ และพวกเราเป็นผู้ประพฤติธรรมโดย บริสุทธิ์ต่อพระองค์  "

          ได้มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในยุคของท่านศาสดามูฮัมมัด

 

         ชาวยิวคนหนึ่งได้มาทวงหนี้ต่อท่านศาสดา โดยเขากล่าวว่า โอ้ชาวบานีอับดุลมุตฎอลิบ พวกท่านเป็นชนที่ล่าช้าต้องการใช้หนี้ อุมัร อิบนิ ค้อตฏอบ จึงเห็นควรจะต้องอบรมสั่งสอนผู้ที่มาดูหมิ่นเกียรติยศของท่านศาสดา เสียแล้ว ท่านจึงได้ชักดาบมาหมายจะฆ่าชายคนนั้นแต่ท่านศาสดาก็ได้ห้ามปรามท่านอุมัรไว้ พลางกล่าวว่า

"ฉันและเขาประเสริฐยิ่งกว่าเจ้าด้วยการใช้วิธีอื่น นอกเหนือจากสิ่งนี้ (หมายถึงการใช้ดาบหรือความรุนแรง)

 ท่านน่าจะใช้ให้เขาทวงหนี้ด้วยคำพูดที่ไพเราะ และใช้ให้ฉันใช้หนี้เขาโดยดี "

 

         อิสลามได้กำชับให้ผู้ศรัทธามีความเป็นธรรม แม้กระทั่งคนชั่ว และผู้ปฏิเสธการศรัทธา(กาเฟร) ก็ตามท่านศาสดา ได้กล่าวว่า


عن ابي هريرة قال قال رسول الله صل الله عليه وسلم دعوةالمظلوم مستجابة وإن كان فاجرا ففجوره على نفسه رواه احمد

" การวิงวอนของผู้ที่ถูกอธรรมจะถูกตอบรับ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนชั่วก็ตาม เพราะความชั่วของเขาก็จะตกแก่ตัวของเขาเอง"

 

           จากตัวบทฮะดีษนี้แสดงให้เห็นว่า อิสลามห้ามมิให้มุสลิมก่อความชั่วร้ายต่อชนศาสนิกอื่น  เช่นเดียวกันอิสลามยังส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์กับเครือญาติ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธศาสนาอิสลามก็ตาม เพราะการที่เรายึดมั่นกับสัจธรมอันเที่ยงแท้ ไม่ได้หมายถึงการปลดเปลื้องจากครอบครัว และเครือญาติ พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงดำรัสไว้ในซูเราะฮ์อัลลุกมานว่า

وصاحبهمافي الدنيامعروفا واتبع سبيل من اناب إلي ثم الي مرجعكم فانبئكم بماكنتم تعلمون

" และเจ้าจงปรนนิบัติคนทั้งสองในโลกนี้ อย่างมีคุณธรรมและเจ้าจงประพฤติตามแนวทางของผู้ที่กลับคืนมายังข้าเถิด

หลังจากนั้นพวกเจ้าก็ต้องกลับคืนมายังข้า (เหมือนกัน) และข้าก็จะแจ้งให้พวกเจ้าทราบถึง (ผลตอบแทน) ตามที่พวกเจ้าเคยปฏิบัติไว้ "

 

          ที่กล่าวมานั้นเป็นการกล่าวถึงในแง่ตัวบุคคล ส่วนทางด้านสังคมอิสลามได้ยืนยันถึงการคงอยู่ของประชาชาติต่างๆความเจริญรุ่งเรืองการยืนหยัดอยู่อย่างเข้มแข็งของพวกเขา จะได้รับค้ำประกัน(การอนุเคราะห์ช่วยเหลือ) หากประชาชาติต่างๆถูกหล่อหลอมสู่การดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรม เพราะเมื่อศีลธรรมเสื่อมรัฐประเทศชาติก็จะเสื่อมถอยตามไปด้วย พระวัจนะของท่านศาสดา ทีมีต่อกลุ่มชนและวงศ์วานของท่านได้ยืนยันถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยตำแหน่งฐานะและเกียรติยศของพวกเขาในคาบสมุทรอาหรับ ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำ แต่ทว่าท่านนะบี ได้ปรารภกับพวกเขาว่า อำนาจการปกครองของพวกเขาจะไม่ยืนยงตลอดไปได้ นอกจากด้วยจริยธรรมที่ดีงามเพียงประการเดียวเท่านั้น

มีรายงานจากท่านอนัส อิบนุ มาลิก กล่าวไว้ว่า

          พวกเราเคยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีทั้งชาวมูญาฮิรีน และชาวอันศอร และท่านศาสดาได้มุ่งหน้ามายังพวกเรา ทุกคนพยายามหลีกทางให้กับท่าน เพราะหวังว่าท่านศาสดาจะมานั่งข้างๆเขาหลังจากนั้นท่านศาสดาไปหยุดยืนอยู่ที่ประตูโดยจับทั้งสองด้านของบานประตูพลางกล่าวว่า

"โอ้ บรรดาผู้นำชาวกุเรชทั้งหลายพวกท่านได้รับการแต่งตั้งให้ทำภารกิจอันยิ่งใหญ่และสำหรับบรรดาผู้ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าว มีสิ่งที่พวกเขาพึงกระทำสามประการ

เมื่อพวกเขาถูกขอความเมตตา พวกเขาต้องให้ความเมตตา

เมื่อพวกเขาปกครองพวกเขาต้องให้ความเป็นธรรม

และเมื่อพวกเขาให้สัญญาเขาจะต้องปฏิบัติตามสัญญา

ฉะนั้น เมื่อผู้ใด ไม่กระทำตามดังกล่าว เขาจะถูกสาปแช่ง จากอัลลอฮ์  มลาอิกะฮและพวกมนุษย์ทั้งหลาย "

 

          จากฮาดีษนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีเกียรติยศใดๆสำหรับประชาชาติ รัฐ และครอบครัว นอกจากการประพฤติที่ดีงาม และเป็นสิ่งที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ อันสูงส่ง ดังนั้นหากว่าผู้ปกครองชูป้ายอัลอิสลาม และ อัลกุรอาน แต่ว่าเมื่อประชาชน พิจารณาดูแล้ว พบว่าเขาไม่เป็นธรรมในการปกครองและการชี้ขาดตัดสินไม่ให้ความเมตตาในยามทุกข์ร้อน และไม่ปฏิบัติตามสัญญาในขณะที่เขาอยู่ในนามของอัลอิสลาม และอัลกุรอานนั้นเท่ากับเขาถอด(ปลด)ตัวของเขาเองออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติ และกลับกลายเป็นผู้ที่สมควรจะถูกประจานไปทั่วฝากฟ้าและพื้นแผนดิน

รายงานจากท่านฮาซัน มีความว่า

"เมื่ออัลลอฮ์ ทรงมีพระประสงค์ที่จะประทานความดีงามแก่ชนกลุ่มหนึ่ง พระองค์จะทรงให้ปราชญ์ (ผู้มีความรู้)ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำพวกเขา และจะทรงบันดาลให้ทรัพย์สินเป็นของบรรดาผู้ที่โอบอ้อมอารีย์

และเมื่ออัลลอฮ์ ทรงประสงค์ให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้นแก่กลุ่มชนใด พระองค์จะให้ผู้โฉดเขลา ดำรงค์ตำแหน่ง เป็นผู้นำพวกเขา และจะทรงบันดาลทรัพย์สินให้บรรดาผู้ตระหนี่ถี่เหนียว "

และส่วนหนึ่งของคำกล่าวของอิหม่าม อิบนุ ตัยมียะฮ์

"แท้จริงอัลลอฮ์  จะสถาปนารัฐที่มีความเป็นธรรม ถึงแม้รัฐนั้นเป็นกาเฟร(ผู้ปฏิเสธ) ก็ตาม

และพระองค์จะไม่ทรงสถาปนารัฐที่มีความอธรรม ถึงแม้รัฐนั้นจะเป็นมุสลิมก็ตาม "

 

          จริยธรรมในอัลอิสลาม ที่มาจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน และ ซุนนะฮ์ของท่านศาสดา นั้นคือ ทุกส่วนของชีวิตทางศาสนา และทางโลก ฉะนั้นหากประชาชาติใดที่ได้รับส่วนแบ่งแห่งความสูงส่งในการติดต่อกับอัลลอฮ์ เบาบาง หรือเกียรติยศ ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ตกต่ำ นั่นก็หมายความว่าความประเสริฐ และ จริยธรรมของพวกเขาก็ย่อมตกต่ำและเสื่อมลงไปด้วย

 

 


ชมรมนักวิชาการปทุมธานี