มหาบุรุษแห่งโลก
  จำนวนคนเข้าชม  10232

มหาบุรุษแห่งโลก

 

ชมรมนักวิชาการปทุมธานี

ท่านพี่น้องผู้แสวงหาความโปรดปรานจากเอกองค์อัลลอฮฺ ทุกๆท่าน

 

          หากเราจะพิจารณาว่าใครเป็นคนดี เราต้องดูที่ความดีของเขา แต่ถ้าเราจะหาคนเก่งเราต้องดูที่ความสามารถ โดยธรรมดาแล้วมนุษย์จะมีดีไม่ครบทุกอย่างในตัว บางคนอาจจะดีอย่าง ไม่ดีอย่าง เก่งอย่าง ไม่เก่งอย่าง ซึ่งเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ แต่ ณ เวลานี้ผมจะกล่าวถึงมนุษย์ที่ดีที่สุดในโลก นั้นก็แสดงว่าท่านต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน มีความเก่งกล้า ความเพียบพร้อมในตัว ท่านผู้นั้นคือใครครับ ?

         หากท่านคิดยังไม่ออก ผมขอเสนอท่าน ศาสดามูฮัมหมัด บุตรชายของอับดุลเลาะห์ มารดา คือท่านหญิง อามีนะห์ จากเผ่ากุรอยซ์ แห่งบนี ฮาซิม ต้นตระกูลของท่านสืบเชื้อสายมาจากท่านนบี อิบรอฮีม  ซึ่งท่านนบีอิบรอฮีมเคยขอพรต่อเอกองค์อัลลอฮฺไว้ว่า .... ربناوابعت الحكيم(ซูเราะห์บากอเราะห์ อายะห์ 129 )

"โอ้องค์พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดส่งศาสนทูต ผู้หนึ่งที่มาจากเผ่าพันธุ์ของพวกเรามาในหมู่พวกเรา

เขาจะทำการสาธยายโองการต่าง ๆ ของท่านเหนือพวกเขา และเขาจะทำการสอนคัมภีร์ และวิทยปัญญาแก่พวกเขา

และทำให้พวกเขามีความบริสุทธิ์ แท้จริงท่านเป็นผู้ทรงยิ่งใหญ่ อีกทั้งปรีชาญาณยิ่ง"

 

         โอ้ศรัทธาชนที่รักทั้งหลาย วิถีการดำเนินชีวิตก่อนการกำเนิดของท่านศาสดา ที่เรียกว่า ยุค ญาฮีลียะห์นั้น อยู่ในสภาพที่ฟอนเฟะ เต็มไปด้วยกระแสแห่งความปั่นป่วน ไร้คุณธรรม ความคิดและสติปัญญาถูกแช่แข็ง โดยที่ไม่มีการรู้จักคิดใคร่ครวญ ถึงสัจธรรมและความเป็นจริงต่าง ๆ จากสภาพสังคมที่อยู่ในความมืดมนเช่นนั้น และแล้วในปี ค.ศ. 570 ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนรอบีอุ้ลเอาวั้ล พระองค์อัลลอฮฺ  ก็ได้ทรงส่งศาสดา  มาเพื่อเป็นทางนำ เป็นจุดกำเนิดแห่งรัศมี ปลดสติปัญญาออกจากพันธนาการการทำตามบรรพบุรุษอย่างไม่ลืมหูลืมตา เป็นผู้นำพาความโปรดปรานของพระองค์ ต่อสิ่งถูกสร้างทั้งมวล

         ท่านศาสดา  เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่ได้รับความเอ็นดูจากอ้อมอกแห่งบุพการีเฉกเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ท่านถือกำเนิดจากครอบครัวที่ยากจน และได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจาก ครอบครัวที่ยากจนเช่นกัน

          ในเยาว์วัย ท่านเป็นเด็กที่ดีมีสัมมาคาราวะต่อผู้ใหญ่ มีความมานะอดทน ทำงานตามผู้ปกครองสั่ง เมื่อท่านโตเป็นหนุ่ม ท่านน่ารัก ซื่อสัตย์ ค้าขายด้วยความบริสุทธิ์ ท่านเป็นพ่อค้าที่ไม่เอาเปรียบซื้อขายตรงไปตรงมา  ไม่ยักยอกทรัพย์สินของผู้ว่าจ้าง เป็นที่พอใจต่อผู้พบเห็นท่านจนได้ฉายานามว่า อัล อามีน ผู้ซื่อสัตย์ เมื่อท่านแต่งงานท่านก็เป็นสามีที่ดี และรักภรรยา เมื่อท่านมีบุตร ท่านก็เลี้ยงดูลูกของท่านด้วยความรัก  ดูแลลูกเป็นอย่างดี

          เมื่อเข้าสู่วัยฉกรรจ์ พระองค์อัลลอฮฺ  ก็ได้ทรงคัดเลือกท่านให้ทำหน้าที่ชี้นำมนุษยชาติและแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต ขณะที่ท่านอายุ 40 ปี ท่านได้รับวะฮีให้ปฏิรูปสังคม และเผยแพร่สัจธรรมอันถูกต้อง ให้มนุษย์ได้รู้จักเกียรติ และสิทธิมนุษยชน ซึ่งในยุคนั้นผู้คนต่างเอารัดเอาเปรียบกัน ความอธรรมได้ครอบงำไปทั่ว สังคมจมปลักอยู่กับความชั่วช้า

          ท่านศาสดา  ได้เผยแพร่ ยืนหยัดบนสัจธรรม ท่ามกลางความลำบาก นานาประการ ท่านทั้งหลายคงจะทราบกันดีว่า ชาวมักกะห์ยุคนั้น ป่าเถื่อน ดื้อรั้น ยืนกราน ขัดขวาง ต่อต้านด้วยวิธีการต่าง ๆทั้งข่มขู่ รังควาญ และกลั่นแกล้ง ท่านศาสดา ถูกขว้างปาจนกระทั่งหลั่งเลือด ท่านเป็นผู้ที่มีใจปรานี ห่วงใย แม้กระทั่งผู้ที่จะมาทำร้าย และหวังให้มนุษย์เป็นผู้หลุดพ้นจากความหลงผิด ไม่เคยวิงวอนขอความหายนะให้เกิดขึ้นต่อศัตรู ชอบที่จะขออภัย และให้อภัยแก่ผู้อื่น สนองตอบความชั่วร้ายของผู้อื่นด้วยความดีงาม มีความอดทนอย่างสูงต่อการทดสอบของพระองค์อัลลอฮฺ ที่มีมากมายเหลือคณานับ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นผู้นำแห่งมวลบรรดาร่อซู้ลทั้งหมด

 

          ท่านศาสดา เคยได้รับแรงกดดัน การทดสอบด้วยกลวิธี เล่ห์เพทุบาย ทั้งเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ท่านได้ละทิ้งการเรียกร้องไปสู่ อัลอิสลาม แต่ท่านศาสดากลับกล่าวผ่านผู้เป็นลุงของท่านคือ อบูตอเล็บ ว่า

 “ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ  โอ้ผู้เป็นลุงของฉัน

หากพวกเขานำดวงอาทิตย์ มาวางไว้ในมือขวาของฉัน และเอาดวงจันทร์ มาวางไว้ในมือซ้าย

เพื่อที่จะให้ฉันทิ้งหน้าที่ในการประกาศศาสนา ฉันก็จะไม่ละทิ้งอย่างเด็ดขาด

จนกว่าพระองค์อัลลอฮฺ จะทำให้บรรลุผล หรือไม่ก็จนกว่าชีวิตของฉันจะหาไม่ “

นี่เป็นความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญส่วนหนึ่งของท่าน

         ท่านศาสดายืนหยัดเผยแพร่อยู่ในเมืองมักกะห์เป็นระยะเวลา 13 ปี และได้อพยพไปสู่นครมาดีนะห์ ทิ้งถิ่นกำเนิด ทิ้งบ้านเรือน ทิ้งทรัพย์สินไปยังต่างเมือง ด้วยศรัทธาที่เต็มเปี่ยมที่มีต่อพระองค์อัลลอฮฺ ท่านได้ก่อตั้งประเทศขึ้นบนกฎระเบียบและหลักการอัลอิสลามในระยะเวลา 10 ปี

 

         ในด้านศาสนจักร : ท่านศาสดาได้บำเพ็ญกรณียกิจเผยแพร่ศาสนาอย่างแสนลำบาก ยากเข็ญ เสียสละทั้งกำลังกายกำลังทรัพย์ จนสัจธรรมแห่งอัลอิสลามได้เจิดจรัสขึ้น

 

         ในด้านการเมืองการปกครอง : ท่านเป็นนักปกครองชั้นยอด ท่านได้รวมอาณาจักร ชนชาติอาหรับซึ่งเคยแตกแยกกันมาเป็นร้อยศตวรรษ ให้หันมาร่วมมือสามัคคี อยู่ภายใต้หลักภารดรภาพเดียวกันได้อย่างน่ายกย่อง

 

         ในด้านเศรษฐกิจและพาณิชย์ : ท่านได้ใช้ประสบการณ์จากการค้าขาย มาปรับปรุงและแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจของประเทศซึ่งเป็นดินแดนทะเลทราย ให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า และธุรกิจนานาประการ เป็นผลให้เกิดความสมบูรณ์ และเจริญสืบต่อจนถึงปัจจุบันนี้

 

          ในด้านต่างประเทศ : ท่านศาสดา ได้ปกครองขยายสัมพันธภาพ ระหว่างประเทศโดยสันติวิธี  ทั้งการทูต และพระราชสาส์น

 

         ในชีวิตของท่านมีสมรภูมิเกิดขึ้น 74 ครั้ง ท่านเข้าร่วมทั้งหมด 27 ครั้ง ท่านเป็นผู้ที่มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่เคยสร้างความเสียหายต่อผู้ใดแม้กับสิงสาราสัตว์ อีกทั้งบุคลิกภาพโดดเด่น มีจรรยามารยาที่ดีงามเป็นเลิศ และการถ่อมตนนั้นเป็นอาภรณ์ประดับกายของท่าน ผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสได้คลุกคลีจะเกิดความรู้สึกที่ดีต่าง ๆ นานา จนบางครั้งท่านดุจดังบิดามารดา บางโอกาสคล้ายผองเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่ที่ซื่อสัตย์ บางครั้งดุจดังครูบาอาจารย์ บางครั้งเป็นผู้นำ หรือแม่ทัพในสมรภูมิ ผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสอยู่ร่วมกับท่าน จะได้รับการต้อนรับอย่างเต็มความภาคภูมิ และเสมอภาค

         จากเศษเสี้ยวของชีวประวัติดังกล่าวนี้แหละ คือ ท่านศาสดา “ มูฮัมมัด  " ท่านนบีของพวกเรา ผู้เป็นมนุษย์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ผู้ซึ่งมีความสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน โดยที่มิมีใครเทียบเคียงได้ จนได้รับขนานนามว่า “ฮาบีบุ้ลเลาะห์” ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งอัลลอฮฺ 

 

          ยังไม่เพียงพออีกหรือ !? ที่เราและท่านทั้งหลายจะนำจริยวัตรของท่านมาเป็นแบบอย่าง ผู้เป็นเอกบุรุษ ผู้เป็นผู้นำแห่งบรรดารอซู้ล ศาสนทูต และผู้นำมนุษยชาติ

 

         ถึงเวลาแล้วมิใช่หรือ !? ที่เราและท่านทั้งหลายจะปรับเปลี่ยนกิจวัตรแห่งการดำเนินชีวิตของเรา ให้สอดคล้องกับครรลองที่ท่านศาสดาได้ปูทางเอาไว้ เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้หนึ่งที่ กำชัยชนะแห่งวิถีชีวิตของเรา ทั้งโลกดุนยานี้ และ โลกอาคิเราะห์