ความรักของผู้ศรัทธา
  จำนวนคนเข้าชม  12947

ความรักของผู้ศรัทธา


อาจารย์ มูฮำมัด แสงเราะห์หมัด


السلام عليكم ورحمة الله وبركاته


         พี่น้องศรัทธาชนที่เคารพรักทุกท่าน ขอนำท่านทั้งหลายไปสู่จุดยืนอันมั่นคงของพวกเรา ด้วยการมีความยำเกรงต่อ  อัลเลาะห์  อย่างมั่นคง   และมีความเข้มข้นมากขึ้นเป็นลำดับ  อันความยำเกรงต่อ อัลเลาะห์ นั้น ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เราจะประกาศด้วยกับลมปาก แต่ความยำเกรงเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเราที่จะส่งผลออกมา สะท้อนถึงพฤติกรรม ว่าเรานั้นปฏิบัติตามสิ่งที่เป็นพระบัญชาใช้ของพระองค์อัลเลาะห์ มากน้อยเพียงไร และในขณะเดียวกัน มันได้สะท้อนออกมาถึงพฤติกรรม ว่าเรานั้นได้ ละ เลิก จากสิ่งที่เป็นการทรยศต่อ   อัลเลาะห์ มากน้อยแค่ไหน


          ท่านพี่น้องที่เคารพรัก ณ วันนี้ ถือเป็นความโปรดปรานแห่งพระองค์อัลเลาะห์ ที่มีต่อพวกเราอย่างแท้จริง ที่พระองค์นั้นได้ทำให้เราได้มีชีวิตอยู่จนกระทั่งได้รับกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ผลิ ฤดูที่พระองค์อัลเลาะห์ มีพระประสงค์ให้เป็นฤดูเกิดของท่านศาสดามุฮัมมัด ของเรา เป็นฤดูที่อัลเลาะห์ต้องการที่จะส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่า ในฤดูนี้จะมีบุรุษที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น บุรุษที่จะนำโลกจากความมืดมิด ไปสู่ความสว่างไสว ด้วยกับปัญญา สว่างไสวไปด้วยรัศมีแห่งการศรัทธา    แต่อยากที่จะบอกพวกเราในฐานะที่เป็นผู้ศรัทธา จะต้องมีจุดยืนอย่างไร ต่อท่านศาสดามูฮำมัด  โดยหน้าที่ที่พระองค์อัลเลาะห์ ได้มอบหมายให้กับท่านศาสดามูฮำมัด ของเรานั้น ในซูเราะห์ الأحزاب ในอายะห์ ที่ ๔๗ ได้กล่าวเอาไว้ว่า

  يَأَيُّهَا النَّبِيُّ إِنَّا أَرْسَلْنَاكَ شَاهِدًا وَّمُبَشِّرًا وَّنَذِيْرًا وَّدَاعِيًا إِلَى اللهِ بِإِذْنِهِ وَسِرَاجًا مُّنِيْرًا وَبَشِّرِاْلمـُؤْمِنِيْنَ بِأَنَّ لَهُمْ مِّنَ اللهِ فَضْلاً كَبِيْرًا (الأحزاب : 47-45)

 

โอ้ นะบีเอ๋ย! แท้จริง เราได้ส่งเจ้ามาเพื่อให้เป็นพยาน
 (แก่ประชาชาติของเจ้าและประชาชาติทั้งมวลว่า บรรดานะบีของพวกเขาได้เผยแผ่สาสน์แห่งพระเจ้าของพวกเขาแล้ว )

และผู้แจ้งข่าวดี (แก่บรรดามุอฺมินว่า จะได้รับการตอบแทนด้วยสวนสวรรค์ )

และผู้ตักเตือน (แก่พวกปฏิเสธศรัทธาว่า จะได้รับการลงโทษด้วยนรกญะฮันนัม)

และเป็นผู้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ ตามพระบัญชาของพระองค์
 ( เรียกร้องมวลมนุษย์ไปสู่การให้เอกภาพ การจงรักภักดี และการอิบาดะฮฺต่อพระองค์) และเป็นดวงประทีปอันแจ่มจรัส

และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า แท้จริง สำหรับพวกเขาจะได้รับความโปรดปรานอันใหญ่หลวงจากอัลลอฮฺ
 (คือจะได้รับการประทานให้อย่างกว้างขวางมากมายในสวนสวรรค์จากอัลลอฮฺ)

 

          จากนัยยะแห่งโองการนี้ ทำให้ได้ทราบถึงภาระหน้าที่ที่อัลเลาะห์ ได้ส่งท่านนะบีมายังโลกมนุษย์ นั่นคือ เพื่อเป็นสักขีพยาน ใครที่จะไปอ้างตนในวันกิยามะห์ว่า เขาไม่เคยรู้เรื่องของอิสลามไม่ได้ เพราะอัลเลาะห์ได้ให้ท่านมาประกาศสัจธรรมให้แก่ชาวโลกได้รับทราบแล้ว หน้าที่ของท่านนบี  มีหน้าที่ที่จะบอกข่าวดี ข่าวที่จะทำให้เกิดความสุขแก่ผู้ที่เชื่อ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แต่ในขณะเดียวกัน จะเป็นผู้ที่บอกสิ่งที่เป็นข่าวร้าย เป็นเรื่องของการลงโทษทัณฑ์ ต่อผู้ที่ปฏิเสธ และหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่อีกอันหนึ่งของท่าน คือ การเชิญชวนมนุษยชาติทั้งหลายไปสู่พระองค์อัลเลาะห์ ท่านนบี จึงเป็นเสมือนกับดวงประทีปอันยิ่งใหญ่ที่ให้ความสว่างไสวแก่ชาวโลก


          ท่านพี่น้องที่เคารพรัก จากภาระหน้าที่ ๕ ประการ ที่โองการนี้ได้กล่าวถึงนั้น เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ ที่ท่านศาสดามูฮำมัด ต้องแบกรับไว้ และตลอดระยะเวลา ๒๓ ปีเศษ ท่านได้ทำภาระหน้าที่สำเร็จลุล่วงไปทุกประการ ด้วยความเสียสละ ด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยการทุ่มเท ด้วยความเพียรพยายาม แล้วก็ด้วยชีวิต


         ท่านพี่น้องที่เคารพรัก ท่านไม่ประสงค์สิ่งใดในการทำหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านหวังเพียงที่จะให้พวกเรานั้นได้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ได้รู้ถึงเส้นทางชีวิต ที่เดินไปสู่อาคิเราะห์ ว่าจะเลือกใช้เส้นทางใด ในการที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างรอดปลอดภัย เพราะฉะนั้นแล้ว จากสิ่งที่ท่านศาสดาได้มีความทุ่มเทตรงนี้ จุดยืนของผู้ศรัทธาทั้งหลาย จึงต้องมอบความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่แท้จริงให้กับท่านรอซูล  ของเราอย่างเต็มที่

         การรักท่านศาสดาไม่ได้หมายถึง การประกาศด้วยกับลมปาก ไม่ได้หมายถึงการที่เราได้พยายามปฏิบัติตัวแสดงออกในเชิงของการทำ เมาลิด แต่ความรักที่มีต่อท่านศาสดามันจะต้องฝังอยู่ในหัวใจของเรา ให้มากกว่าความรักที่มีต่อสิ่งอื่นใดทั้งหมด เพราะความรักที่เรามีต่อท่านศาสดานั้น ถือว่าเป็นเงื่อนไขประการหนึ่งของการศรัทธา  การศรัทธาของเราจะถือว่ายังไม่มีความสมบูรณ์ ยังใช้ไม่ได้ถ้าหากว่ายังไม่เกิดความรักต่อท่านศาสดาอย่างแท้จริง

        ในครั้งหนึ่งท่านศาสดาได้พูดอบรมบอกกับซอฮาบะห์ทั้งหลาย ท่านอะนัสได้เล่าว่า แท้จริงท่านรอซูล ได้เคยกล่าวซึ่งมีใจความโดยสรุปว่า       

 “คนหนึ่งคนใดของพวกเจ้านั้น จะยังไม่เป็นผู้ศรัทธาอย่างสมบูรณ์แบบ จนกว่าข้า (ท่านศาสดา) จะเป็นที่รักยิ่งของเขา

ยิ่งกว่าลูก ยิ่งกว่าผู้ให้กำเนิด และยิ่งกว่ามวลมนุษยชาติทั้งหลายทั้งมวล”

          จากคำสอนของท่านตรงนี้ แสดงว่า ความรักของเราที่ต้องมอบให้กับท่านศาสดานั้น จะต้องเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมดในโลกนี้ แม้กระทั่งลูกของเราซึ่งเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ ยิ่งกว่าแม่ ยิ่งกว่าพ่อ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่เราจะต้องให้ความเคารพ และให้ความรักต่อท่าน และก็ยิ่งกว่ามนุษย์คนใดทั้งหมด นีjคือหน้าที่ที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธาเลยทีเดียว


          ในครั้งหนึ่งที่ท่านอุมัร อิบนุ ค็อตต้อบ رضي الله عنه เมื่อได้รับอิสลามใหม่ ๆ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม ท่านมีจุดยืนที่มีความจงเกลียดจงชังท่านรอซูล  มากที่สุด ในขณะที่ยังไม่ได้รับอิสลาม แต่หลังจากที่อัลเลาะห์ได้ฮิดายะห์ให้เข้ารับอิสลามแล้ว มูฮำมัดกลายเป็นบุคคลที่อุมัรรักมากที่สุด จนกระทั่งท่านอุมัร ได้ประกาศบอกกับท่านนบีมูฮำมัด ของเรา ในวันหนึ่งว่า
 
โอ้มูฮำมัด ท่านคือเป็นบุคคลที่รักยิ่งสำหรับฉัน ยิ่งกว่าทุกสิ่งในโลกนี้ ไม่มีสิ่งที่ฉันจะรักไปกว่าท่าน ไม่มีแล้ว ยกเว้นตัวของฉันเอง ซึ่งที่อยู่ระหว่างสองสีข้างของฉัน

     ท่านนบี  ได้ตอบอุมัรไปว่า “คนหนึ่งจะยังไม่ถือเป็นผู้ศรัทธา จนกว่าฉัน จะเป็นผู้ที่รักยิ่งของเขา ยิ่งกว่าตัวของเขาเสียอีก”

     อุมัรเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า “ขอสาบานด้วยผู้ซึ่งที่ได้ประทานพระคัมภีร์ให้แก่ท่าน ท่านคือบุคคลที่รักยิ่งที่สุดของฉัน ยิ่งกว่าตัวฉันที่อยู่ระหว่างสองสีข้างของฉันเสียอีก”

     ท่านนบี  จึงกล่าวว่า “บัดนี้ โอ้อุมัร ท่านถือว่าเป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริงแล้ว”

         ดังนั้นจากคำสนทนาของท่านอุมัรที่กล่าวบอกกับท่านนบีถึงความรักของท่าน ที่มีต่อท่านนบี นั้น ท่าน นบี ปฏิเสธในช่วงแรก เพราะว่าอุมัรยังยกเว้นอยู่ว่า รักน้อยกว่าตัวเอง การรักนบี ต้องรักมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด

 

       ซึ่งนักวิชาการได้ประมวลและได้คัดออกมาว่า สิ่งที่เราจะแสดงออกถึงความรักต่อท่านนบี  ว่าเรารักจริงหรือไม่นั้น อยู่ที่ว่าเราจะถือคำสั่งของนบี  สำคัญกว่าของคนอื่นหรือไม่ คำพูดของนบี  ต้องเป็นคำพูดที่มาก่อนคนอื่นใดทั้งหมด พฤติกรรมของท่านนบี  จะต้องเป็นพฤติกรรมที่เราจะลอกเลียนแบบได้ดีที่สุด ทุกอย่างที่เป็นคำพูดคำสอนเราพยายามปฏิบัติตามในซุนนะห์ ในแบบฉบับที่ท่านได้กระทำเอาไว้  พระผู้เป็นเจ้า ได้ส่งรอซูลมาเป็นมนุษย์เดินดินเหมือนกับพวกเรา เพื่อที่พวกเรานั้นจะได้ปฏิบัติตามได้ในทุกเรื่อง


         ท่านรอซูล  ไม่ได้เป็นนักพรต นักบวช ท่านมีครอบครัว เพื่อมาเป็นตัวอย่างว่าการที่เราจะปฏิบัติต่อครอบครัวต้องทำอย่างไร ? ส่งมาเพื่อให้เป็นผู้นำศาสนจักร ก็ให้ดูว่าผู้นำทางศาสนาจะต้องวางตัวอย่างไร ? และในขณะเดียวกัน ก็ให้เป็นผู้นำทางอณาจักรทำหน้าที่การปกครอง  ก็เพื่อให้ผู้นำทั้งหลายได้ถือเป็นแบบฉบับในด้านการปกครอง ให้มีพ่อให้มีแม่ เพื่อจะได้ดูว่า คนที่เป็นลูกต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างไร ? ให้ท่านมีลูก เพื่อที่จะให้ทำเป็นตัวอย่าง ว่าคนที่เป็นพ่อต้องทำอย่างไร ?  ให้มีหลาน และทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ในตัวของท่านศาสดามูฮำมัด  มีแบบอย่างครบวงจร ที่มุสลิมจะต้องลอกเลียนแบบ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งใดที่ เราควรที่จะรัก ไม่มีสิ่งใดที่เราควรจะถือเป็นแบบอย่าง นอกจากท่านนบีมูฮำมัด เท่านั้น

         นอกจากมันเป็นเงื่อนไขของการศรัทธาแล้ว การที่เรามีความรักต่อท่านนบี อย่างหมดใจ รักอย่างที่สุด มันเป็นสิ่งที่จะมาเกื้อหนุน ทำให้เรานั้นได้สัมผัสและลิ้มรสความอร่อย ลิ้มรสความหอมหวลของการศรัทธา การอีหม่าน

         ดังนั้นการที่เราจะสร้างความหอมหวล รสชาติของความศรัทธานั้น จะต้องสร้างสิ่ง ๓ ประการต่อไปนี้ เราได้รับการหอมหวลในการศรัทธา ท่านนบี  บอกไว้ว่า

 “มีสิ่ง ๓ ประการด้วยกัน ใครที่สิ่ง ๓ ประการนี้อยู่ในตัวของเขา เขาจะพบกับความหอมหวลแห่งการศรัทธา

ประการที่ ๑ การที่อัลเลาะห์และรอซูลของพระองค์นั้นเป็นที่รักยิ่งของเขา ยิ่งกว่าสิ่งใดนอกจาก ๒ สิ่งนี้ทั้งหมด

ประการที่ ๒ ถ้าจะรักใครสักคนหนึ่ง อย่าไปรักเขา เว้นแต่รักเพราะอัลเลาะห์

ประการที่ ๓ เขานั้นมีความรังเกียจที่จะกลับคืนไปสู่ความเป็นปฏิเสธ หลังจากที่  อัลเลาะห์ได้ทำให้เขาได้รอดพ้นจากการเป็นผู้ปฏิเสธ  ดังเช่นที่เขานั้นมีความรังเกียจต่อการที่จะถูกจับโยนลงไปในไฟนรก


          เวลานี้อัลเลาะห์  ให้เรานั้นหลุดพ้นจากการเป็นกาเฟร ด้วยการทำให้เราเกิดมามีพ่อ มีแม่เป็นมุสลิม  อัลฮัมดุลิ้ลลาห์ และหลายคนเป็นมุอัลลัฟ เป็นมุสลิมใหม่ เท่ากับ   อัลเลาะห์ ได้ทำให้เขาหลุดพ้นจากการที่จะเป็นผู้ปฏิเสธ เขามีความรังเกลียด ไม่ชอบที่จะหวลกลับไปสู่การปฏิเสธอีก เหมือนดังเช่นที่เขานั้นไม่ชอบเลย ที่จะถูกโยนลงไปสู่ไฟนรก ๓ สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องต่อสู้กับนัฟซู จะต้องสร้าง จะต้องปลูกขึ้นมาในหัวใจของเรา  ซึ่งวันใดที่เราสามารถจะเพาะและปลูกสิ่งต่าง ๆ ทั้ง ๓ ประการนี้ ในหัวใจได้ เมื่อนั้นเราจะพบกับความอร่อย ความหอมหวานของการศรัทธา ชนิดที่เราจะไม่ยอมแลกกับสิ่งใดอีกเลย  ถ้ายิ่งพินิจพิเคราะห์แล้วจะพบว่าไม่มีใครที่เราควรจะรัก  ยิ่งไปกว่า อัลเลาะห์ และ รอซูล

         อัลเลาะห์ เป็นผู้ให้ทุกสิ่งกับเรา การที่เราจะรักใครสักคนในดุนยานี้ บางทีก็รักเพราะเขาหยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับเรา   ถ้าเอาประเด็นนี้เป็นสาเหตุแห่งความรัก  เรายิ่งต้องรัก อัลเลาะห์ มากที่สุด เพราะ  อัลเลาะห์ให้ทุกอย่าง ท่านนบี  ก็เป็นห่วงเป็นใย มีความรัก ทุ่มเท เสียสละ จนกระทั่งเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ก็เพื่อพวกเรา เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่มีใครที่เราควรรักมากที่สุดในโลกดุนยานี้ นอกจากอัลเลาะห์  และรอซูล  เท่านั้น

 


        ขอฝากกับพวกเราทุกคน ได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่เป็นซุนนะห์ของท่านรอซูล อย่างเคร่งครัด ฉะนั้นคงจะต้องศึกษากันต่อไปว่า แล้วซุนนะห์ของท่านนั้นมีอะไรบ้าง และอย่าเลือกปฏิบัติซุนนะห์บางอย่าง แล้วก็ทิ้งบางอย่าง เพราะซุนนะห์ของท่านนบีที่ทำเป็นแบบฉบับไว้นั้น ล้วนแล้วแต่ ทรงคุณค่าทั้งสิ้น

 

คุตบะห์วันศุกร์ ณ มัสยิดท่าอิฐ