การต่อสู้ในเดือนรอมาฏอน
  จำนวนคนเข้าชม  9938

การต่อสู้ในเดือนรอมาฏอน


อาจารย์อั๊ดนาน เชื้อผู้ดี


السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทั้งหลาย   ขอเราและท่านทั้งหลาย จงตั้งมั่นอยู่บนความ ตักวา  التقوى  ยำเกรงต่อ พระองค์ อัลลอห์ ด้วยการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ ละเว้นห่างไกลไม่กระทำ ในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม วันนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงกลางเดือนรอมาฏอน


          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทั้งหลาย เดือนรอมาฏอน เป็นเดือนที่ยิ่งใหญ่    เป็นเดือนแห่งการญิฮาด   เป็นเดือนแห่งการต่อสู้     น่าเสียดายเหลือเกินที่รอมาฏอนสำหรับมุสลิมในยุคหลังๆ เป็นแค่เพียง เดือนที่เราต้อง อดอาหาร   อดเครื่องดื่ม และอดอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นสิ่งที่ดีงามที่ควรกระทำ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ตัวเองได้ถือศีลอดแล้ว ถึงขั้นบางครั้งการละหมาด ยังคงปล่อยปะละเลย แม้กระทั่งการยับยั้งคำพูดในสิ่งที่ไม่ดี ก็ยังคงละเลย


         ท่านพี่น้องที่รักและเคารพทุกท่าน รอมาฏอน เป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกฝนในสิ่งที่ดีงาม และสิ่งที่เราจะต้องต่อสู้ เพื่อให้เรานั้นได้อยู่ในครรลองคลองธรรม ของศาสนา พวกเราต่อสู้โดยมิได้มีการเสี่ยงต่อการเสียชีวิต แค่เพียงต่อสู้กับนัฟซู ต่อสู้กับความอยาก ต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีในตัวเรา เรายังสู้ไม่ได้ ไฉนเลยเราจะไปต่อสู้กับเหล่า มุชรีกีน เหมือนบรรดาเหล่าอัครสาวกในอดีต


          ท่านพี่น้องที่รัก ในยุคที่ท่านรอซูลุลลอห์ และบรรดาเหล่าอัครสาวกของพระองค์นั้น ต้องเสี่ยงชีวิต ในช่วงของเดือน รอมาฏอน เพื่อพิทักษ์ อัล-อิสลามให้คงอยู่มาถึงยุคของพวกเรา นั่นคือ สงคราม บะดัร สงครามนี้เป็นการเผชิญหน้ากันทางการทหารเป็นครั้งแรกระหว่างมุสลิมกับมุชนีกีนมักกะห์ เป็นศึกสงครามขั้นแตกหักที่พระองค์ อัลเลาะห์ ได้ทำให้ อัล-อิสลาม มีความเกรียงไกร และพระองค์ได้เชิดชูเครื่องหมายแห่ง อัล-อิสลาม ให้สูงส่งขึ้น และได้ทำลายปราการอันแข็งแกร่งของการตั้งภาคีให้พินาศไปสิ้น

 

          การสู้รบนี้ได้ประทุขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันศุกร์ที่ 17 รอมาฏอน ฮิจเราะห์ศักราช 2 (ค.ศ.623หรือ พ.ศ. ๑๑๖๖) ท่านรอซูลุลลอห์ ได้จัดเตรียมกำลังพลเพื่อมุ่งหน้าสู่ทุ่งบะดัร ซึ่งอยู่ห่างจากนครมาดีนะห์ ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 150 กิโลเมตร กองทัพมุสลิม มีกำลังพลประมาณ 310 คน เป็นชาว อันซอร ประมาณ 250 คน ชาว มุฮายิรีน ประมาณ 60 คน กองทัพ มุสลิม มี อูฐ 70 ตัว ม้า 2 ตัว ท่าน รอซูลุลลอห์ และเหล่าวีรชนผู้กล้าหาญ ได้ออกเดินทางจากนคร มาดีนะห์ มุ่งหน้าสู่ทุ่ง บะดัร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 รอมาฏอน ฮิจเราะห์ศักราช 2 ก่อนออกเดินทางท่าน รอซูลุลลอห์ ได้มอบหมายให้ ท่าน อับดุลเลาะห์ อิบนิ อุมมิมักตูม ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ที่นคร มาดีนะห์


          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทุกท่าน สงครามครั้งนี้ เป็นสงครามที่มีการประจัญบานกันเป็นครั้งแรกระหว่างกองทัพ มุสลิม และกองทัพมุชริกีน ในส่วนของกองทัพฝ่าย มุชรีกีน มีกำลังพลถึง 950 คน มีอูฐถึง 700 ตัว และม้าอีก 100 ตัว ถ้าเราจะเปรียบเทียบกองกำลังของทั้งสองฝ่าย จะเห็นว่า กองทัพมุสลิม น่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เพระมีกำลังพลน้อยกว่า ถึง 3 เท่าตัว ท่าน รอซูลุลลอห์ ได้ปรึกษากับบรรดาเหล่าอัครสาวกของพระองค์ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไร เราไม่สามารถจะระดมกำลังพลให้มากกว่านี้ได้อีก เพราะจำนวนมุสลิม ที่เป็นนักรบมีเพียงเท่านี้ ท่านรอซูลุลลอห์ ได้ทำการมุเชาวาเราะห์(مشاورة)ปรึกษาหารือ กับบรรดาเหล่าอัครสาวก ท่านมิกดาร อิบนิ อัมร์ (المقدار بن عمرو) ซึ่งเป็นตัวแทนชาวมุฮายิรีน(المهاجرين) ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า

 

            “โอ้ศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์ จงทำตามที่อัลเลาะห์มีบัญชาใช้มายังท่านเถิด พวกเราจะอยู่พร้อมกับท่าน และ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า พวกเราจะไม่กล่าวกับท่านเหมือนอย่างที่พวก บนีอิสรออีล ได้เคยกล่าวแก่ นบีมูซา ว่า

* اِذْهَبْ أنْتَ وَرَبُّكَ فَقَاتِلَااِنَّاهَاهُنَاقَاعِدُوْنَ *

“โอ้มูซา เจ้าจงไปรบ กับพระเจ้าของเจ้าเถิด และจงต่อสู้ พวกเราจะนั่งอยู่ที่นี่ “

          แต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์ พวกเราจะกล่าวแก่ท่านว่า “ท่านจงไปกับพระเจ้าของท่านและจงทำสงครามเถิด พวกเราจะอยู่เคียงข้างท่าน”

นี่คือความคิดเห็นของซอฮาบะห์ที่เป็นตัวแทนของชาวมุฮายิรีน หลังจากนั้น ท่าน สะอัด อิบนิ มุอ๊าซ ได้ลุกขึ้นกล่าวในฐานะตัวแทนของชาวอันซอรบ้าง

* اِذْهَبْ أنْتَ وَرَبُّكَ فَقَاتِلَااِنَّامَعَكُمَامُقَاتِلُوْنَ *

 “เราศรัทธาและเชื่อมั่นต่อท่าน และเราขอปฏิญาณว่า สิ่งที่ท่านนำมานั้นเป็นสัจธรรม ดังนั้นท่านจงกระทำสิ่งที่ท่านต้องการเถิด เราพร้อมจะอยู่กับท่าน

ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า ถ้าแม้ท่านจะพาพวกเราข้ามทะเลไป เพื่อที่จะได้พบกับศัตรูเราก็พร้อมที่จะลุยลงไปในทะเลพร้อมกับท่าน”

         จากคำพูดของซอฮาบะห์ทั้งสองที่เป็นตัวแทนของชาวมุฮายิรีน และอันซอร ทำให้ท่านรอซูลุลลอห์  มีความดีใจ มีความปลื้มใจ ที่บรรดาเหล่าอัครสาวกของพระองค์นั้น ไม่หวั่นต่อศัตรู ท่านรอซูลุลลอห์ จึงดำเนินเตรียมการที่จะสู้รบกับบรรดาเหล่ามุชรีกีนมักกะห์ และแล้วสงครามครั้งนี้ก็สิ้นสุดโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายมุสลิม เพราะด้วยกับความเชื่อมั่น ด้วยกับความมั่นใจที่อัลเลาะห์ จะอยู่เคียงข้าง ฝ่ายมุสลิมจะได้รับการช่วยเหลือ อัลเลาะห์ได้ส่งมวลมลาอิกะห์ ให้มาช่วยในการสู้รบ จึงทำให้ฝ่ายมุสลิมเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ

 


          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทุกท่าน ถ้าสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเรามีความมั่นใจที่อัลเลาะห์ แล้ว ชัยชนะมันอยู่แค่เอื้อม แต่วันนี้ถ้าเราลองมาตั้งคำถามกับตัวเราเองดูว่า เรารบกับใคร แค่นัฟซูตัวเราเอง ก็ยังเอาชนะไม่ได้ แล้วศัตรูภายนอกเราจะมีโอกาสชนะหรือ? แม้กระทั่งในสังคมมุสลิมเอง บางครั้งก็รบกันเอง แล้วไฉนเลยเราจะมีโอกาสได้รับชัยชนะเหนือศัตรูมุชรีกีน


          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทุกท่าน ในศึกสงครามครั้งนี้ ฝ่ายมุชรีกีน ถูกสังหาร 70 คน ถูกจับเป็นเชลย 70 คน และผู้ที่เป็นฝ่ายมุชรีกีน ในระดับแกนนำที่ถูกสังหารในการรบครั้งนี้ก็มีหลายคน เช่น อบูยะฮัล อุตบะห์บินร่อบีอะห์ ชัยบะห์บินร่อบีอะห์ อุมัยยะห์บินคอลฟ์ เหล่านี้คือสิ่งที่อัลเลาะห์ ต้องการที่จะให้ปรากฏแก่บรรดามุสลิมว่า พระองค์จะทรงช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ ตราบใดที่บ่าวของพระองค์มีความยำเกรง มีความศรัทธามั่นต่อพระองค์ ทหารมุสลิมถูกสังหารในสงครามบะดัรนี้ เพียง 14 คน เป็นชาวอันซอร 8 คน ชาวมุฮายิรีน 6 คน

 


          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทุกท่าน เมื่อกองทัพของมุสลิมเดินทางกลับสู่นครมาดีนะห์ ประชาชนได้ออกมาต้อนรับบรรดาวีรบุรุษของพวกเขา ด้วยความปลื้มปิติกับชัยชนะครั้งสำคัญนี้ สงครามครั้งนี้สอนให้เราได้รับรู้ว่า ความตายไม่สามารถที่จะมาบั่นทอนพลังความเชื่อมั่นและศรัทธา ของผู้เป็นมุมินได้เลย โดยมีความเชื่อที่ว่า “ความกล้าหาญไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะทำให้วาระแห่งความตายมาถึงเร็วขึ้น และความขลาดกลัวก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะทำให้อายุขัยของเขายืนยาว” เพราะทั้งหมดนี้อัลเลาะห์ ทรงกำหนดอาญั้ลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          ยังมีอีกข้อหนึ่งสอนให้เราได้รู้ว่า ในการดำเนินการของท่านรอซูลุลลอห์ ในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญๆ ท่านรอซูลุลลอห์ จะใช้หลัก มุเชาว่าเราะห์   ( مشاورة )  ท่านรอซูลุลลอห์ จะใช้การปรึกษาหารือกับบรรดาเหล่าอัครสาวก ท่านรอซูลุลลอห์ ไม่ได้ใช้ความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ ท่านรอซูลุลลอห์ เคารพและให้เกียรติในความคิดเห็นของทุกๆคน ในสงครามบะดัรนี้ ทำให้เรารู้อีกประการหนึ่งว่า ภารกิจหน้าที่การปฏิบัตินั้นเป็นของเรา ความสำเร็จนั้นเป็นของอัลเลาะห์ ขอให้เราช่วยเหลือกัน ขอให้เราทำกันอย่างสุดกำลังความสามารถ  ตะวั้กกุ้ลอะลั้ลลอห์  (التوكُّل علي الله)  และขอดุอาต่อ อัลเลาะห์ إن شاء الله ความสำเร็จไม่ไกลเกินฝัน

          และอีกประการหนึ่ง เราสามารถนำมาเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี ท่านรอซูลุลลอห์ เป็นแม่ทัพนายกอง สงครามบะดัรนี้ มุสลิมเราจะต้องเดินทางไปยังทุ่งบะดัร ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากนครมาดีนะห์ ประมาณ 150 กิโลเมตร มีอูฐอยู่เพียงเล็กน้อย ไม่สมดุลกับจำนวนคน ท่านรอซูลุลลอห์ จึงได้วางระเบียบปฏิบัติ โดยผลัดกันขี่ ผลัดกันเดิน ม้าหรืออูฐ 1 ตัว ต่อนักรบ 3-5 คน ตัวท่านรอซูลุลลอห์ เองก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นถึงแม่ทัพนายกอง ท่านได้ผลัดกันขี่ ผลัดกันเดิน ท่านใช้กฎเกณฑ์เดียวกับทหารคนอื่น ไม่ได้มีม้าพิเศษ หรือม้าส่วนตัว แต่ประการใด ใช้สลับหมุนเวียน ร่วมกับเหล่าอัครสาวก อีก 2 ท่าน คือ    ท่านอะลี อิบนิ อะบีตอเล็บ และ ท่านมุรซิด อิบนิ อะบีมุรซิค นี่คือแนวทางการเป็นผู้นำของท่านรอซูลุลลอห์

          ในการออกศึกสงครามครั้งนี้ท่านรอซูลุลลอห์ ได้มอบหมายให้ ท่าน อับดุลเลาะห์ อิบนิ อุมมิมักตูม ทำหน้าที่แทน ในภารกิจจำเป็น เพื่อที่ภารกิจหลักจะได้ไม่บกพร่อง ในขณะที่ท่านไม่ได้อยู่ที่นครมาดีนะห์ มุสลิมในอดีตต่างทุ่มเทเสียสละด้วยกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ เพื่อพิทักษ์และจรรโลงให้ อัล-อิสลามคงอยู่ ถึงแม้จะด้วยชีวิตก็ตาม


          ศรัทธาชนที่รักและเคารพทุกท่าน แล้วเราล่ะ ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของ อัล-อิสลาม เราทำประโยชน์ให้กับศาสนามากน้อยแค่ไหนอย่างไร แต่ถึงแม้นว่าว่าวันนี้เรายังไม่มีความสามารถเสียสละที่จะทำประโยชน์ให้ศาสนา ขอเพียงเราในขณะนี้ อย่าให้เป็นส่วนหนึ่งจากพวกบ่อนทำลายสังคมและศาสนาก็น่าจะเพียงพอแล้ว


ขออัลเลาะห์ โปรดคุ้มครองสังคมของเราให้รอดพ้นจากความชั่วในรูปแบบต่างๆด้วยเถิด.... อามีน آمين

 


คุตบะฮ์วันศุกร์ มัสยิด ท่าอิฐ