ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์
  จำนวนคนเข้าชม  14550

ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์

          ท่านทราบไหมว่า อุมมุ ซะละมะห์คือใคร? บิดาของนางเป็นหัวหน้าเผ่า "บะนีมัคซูม" เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ใจบุญของชาวอาหรับ เป็นที่โจทย์ขานกันว่าเป็น "ซาดุรรอกิบ" หรือเสบียงแห่งกองคาราวาน เพราะเมื่อกองคาราวานใดที่แวะพักที่บ้านของเขาหรือมีเขาร่วมเดินทางไปด้วย ก็จะได้รับการบรรทุกเสบียงจนเต็มเปี่ยมสามีของนางคืออับดุลเลาะห์ บิน อับดิลอะซัด เป็นหนึ่งในจำนวนสิบคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดรับอิสลามก่อนเขา นอกจากท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊ก และอีกไม่กี่คนซึ่งมีจำนวนน้อยกว่านิ้วมือทั้งสองข้างเสียอีก

          ชื่อจริงของนางคือ "ฮินดฺ" และมีฉายานามว่า "อุมมุ ซะละมะห์" ต่อมาใครๆก็เรียกนางว่า อุมมุซะละมะห์ จนติดปาก

          อุมมุซะละมะฮฺเข้ารับอิสลามพร้อมกับสามี และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รับนับถือศาสนาอิสลามกลุ่มแรกเมื่อมีข่าวการรับนับถือศาสนาอิสลามของ อุมมุซะละมะห์และสามีแพร่สะพัดออกไปพวกกุเรชก็เริ่มคัดค้าน กลั่นแกล้ง รังแก ซึ่งหากจะเปรียบเทียบนางเป็นเช่นหินผา ก็คงต้องแตกกระจายเพราะไม่สามารถทนทานได้ ทั้งนี้ก็เพราะชาวกุเรชไม่ต้องการให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น แต่ความเดือดร้อนนั้นก็หาได้ทำให้ทั้งสองสะทกสะท้านไม่

          เมื่อพวกกุเรชทวีความรุนแรงหนักข้อยิ่งขึ้น ท่านร่อซูล จึงอนุมัติให้บรรดาศอหะบะห์อพยพไปยัง "ฮะบะชะห์" หรือเอธิโอเปียในปัจจุบันนี้ และอุมมุซะละมะห์กับสามีก็ได้ร่วมอพยพไปด้วย

          ทั้งสองต้องอพยพไปอยู่ในดินแดนของคนแปลกหน้าต้องละทิ้งบ้านเรือนใหญ่โตรโหฐานที่มักกะห์ ทิ้งเกียรติยศอันสูงส่งและตระกูลที่ประเสริฐไว้เบื้องหลัง เพราะต้องการรางวัลตอบแทนจากอัลเลาะห์ ต้องการเป็นที่พอพระทัยของอัลเลาะห์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าทั้งสองจะได้รับการคุ้มครองจากท่าน "นะญาซีย์" กษัตริย์แห่งเมืองฮะบะซะห์ในขณะนั้นก็ตาม (ขออัลเลาะห์ทรงโปรดปรานเขาในสรวงสวรรค์ด้วยเทอญ) แต่พวกเขาก็ยังคงคิดถึง "มักกะห์" ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อัลเลาะห์ทรงประทาน "วะฮีย์" ลงมาและเป็นสถานที่ที่ท่านรอซูล พำนักอยู่ ซึ่งตัวของนางและสามีได้รับแนวทางอันถูกต้องเอาไว้

          ต่อมาบรรดามุสลิมที่อพยพมาอยู่เมือง "ฮะบะชะห์" ได้รับข่าวว่ามีมุสลิมจำนวนมากยิ่งขึ้นในมักกะห์และแน่นอนเหลือเกินในการเข้ารับอิสลามของท่าน "ฮัมซะห์ บิน อับดุลมุฎฎอลิบ" และท่าน "อุมัร อิบนิลค็อฎฎ็อบ" นั้นจะต้องเพิ่มความเข้มแข็งให้พวกเขา และยับยั้งพวก กุเรชให้เลิกรังแกลงได้แน่ๆ ดังนั้นจึงมีกลุ่มหนึ่งกลับมา "มักกะห์" ด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนเป็นที่สุด พวกเขาอยากจะกลับมาอยู่ใกล้ชิดกับท่านรอซูล และ อุมมุซะละมะห์และสามีก็ได้เดินทางกลับมาด้วย

          ครั้นเมื่อมาถึง "มักกะห์" สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาทำให้เห็นว่าข้อมูลจากข่าวที่ได้รับนั้นไม่เป็นความจริง เพราะการตื่นตัวของพี่น้องมุสลิมภายหลังจากที่ท่านฮัมซะห์ และท่านอุมัร เข้ารับอิสลามนั้นยิ่งทำให้พวกกุเรชกลั่นแกล้งมุสลิมหนักข้อยิ่งขึ้นอีก

          พวกมุชริกีนยิ่งก่อเหตุวุ่นวาย ด้วยการจับมุสลิมไปทรมานเขย่าขวัญรังแกทำร้ายต่างๆนานา ชนิดที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อนเลย เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นท่านรอซูล จึงอนุมัติให้บรรดาศอหะบะห์ของท่านอพยพไป "มะดีนะห์" อุมมุซะละมะห์และสามีต่างก็ตั้งใจเด็ดเดี่ยว ว่าจะต้องอพยพอีกครั้งเพื่อให้พ้นศาสนาดั้งเดิมและเพื่อให้พ้นจากการคุกคามของพวกกุเรช

          การอพยพของอุมุซะละมะห์และสามีไม่สะดวกง่ายดายอย่างที่คิด แต่มันลำบากยากเย็น ขมขื่นต้องประสบกับความชั่วร้ายนานับประการ ซึ่งในเรื่องนี้เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ "อุมมุ ซะละมะห์" เป็นผู้เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับนางด้วยตนเอง เพราะนางมีความรู้สึกอันล้ำลึก และมีมโนภาพที่ละเอียดอ่อนต่อเหตุการณ์ที่ประสบมากับนางเอง

นางได้เล่าไว้ว่า :

          เมื่อบิดาของซะละมะห์ คือสามีของนางมั่นใจว่าจะต้องออกเดินทางไปมะดีนะห์เขาจึงตระเตรียมอูฐตัวหนึ่งไว้สำหรับฉัน เขาส่งฉันกับลูกซะละมะห์ขึ้นหลังอูฐ และเขาก็ออกเดินจูงอูฐไปเรื่อยๆ โดยไม่เหลียวหลัง แต่ก่อนที่เราจะออกไปพ้นเขตมักกะห์ เรามองเห็นชายฉกรรจ์ หลายคนซึ่งมาจากเผ่าของฉันคือ "บนีมัคซูม" พวกเขาขัดขวางเราไว้และอบูซะละมะฮฺก็พูดขึ้นว่า :
 
         แม้ว่าตัวของเจ้าจะชนะเรา แต่มันเป็นกงการอะไรของเจ้ากับผู้หญิงผู้นี้ด้วยเล่า?

พวกเขาตอบว่า :
 
          นางเป็นลูกของเรา เหตุไฉนเราจะปล่อยให้เจ้านำพานางไปจากเรา เพื่อออกเดินทางไปต่างแดน?

          และแล้วพวกนั้นก็กระโดดเข้ามาหาเขา (สามีของอุมมุซะละมะห์ ) และแย่งชิงฉันไปจากเขา ส่วนพรรคพวกสามีของฉัน คือ "บนีอับดิลอะซัด" เมื่อทราบข่าวว่า "บนีมัคซูม" จับตัวฉันและบุตรไปแล้ว พวกเขาก็โกรธมาก และกล่าวสาบานว่า :
 
         ด้วยพระนามของอัลเลาะห์ เราจะไม่ปล่อยให้เจ้า เด็กน้อย (หมายถึง ซะละมะห์) อยู่กับมารดาของเขา(หมายถึงอุมมุซะละมะฮฺ) ซึ่งเป็นพวกของเจ้าหลังจากที่พวกเจ้ายื้อแย่งนางไปจากพวกของเรา ดังนั้นซะละมะห์คือลูกของเรา พวกเรามีสิทธิ์ในตัวเขายิ่งกว่าผู้อื่น

          และแล้วพวก "บนีอับดิลอะซัด" ก็ลากเอาลูกของฉันไปกับเขา ในที่สุดพวกเขาก็แกะมือของลูกซะละมะห์ ออกจากอ้อมอกของฉัน และพาเอาตัวไปต่อหน้าต่อตา

          ขณะนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียว สามีต้องเดินมุ่งหน้าไปสู่มะดีนะห์ เขาทิ้งศาสนาดั่งเดิมและละทิ้งคู่ชีวิตของเขาไป ส่วนลูกก็ถูก "บนูอับดิลอะซัด" แย่งเอาไปแล้ว สำหรับตัวฉันเองนั้น "บนูมัคซูม" เป็นผู้คุ้มครองดูแลให้อยู่ในความอุปการะของพวกเขา

          ณ บัดนี้ตัวฉัน สามี และลูกต้องพลัดพรากจากกัน และหลังจากที่เหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ฉันจะออกไปที่ "อับตอฮฺ" ทุกวันและจะนั่งอยู่ตรงที่เกิดเหตุร้ายทบทวนถึงความหลัง ฉัน ลูก สามี ที่จำต้องระหกระเหินกันไปคนละทางสองทาง ฉันจะนั่งร้องไห้อยู่ ณ ที่นั่นจนพลบค่ำ เป็นอยู่เช่นนั้นจนเกือบหนึ่งปีเต็ม
 
          จนกระทั่งมีชายผู้หนึ่งจากเผ่าของอาของฉันผ่านมาพบเข้า เขาเห็นใจและสงสารฉันมาก เขาจึงบอกแก่เผ่าของฉันว่า :

          สมควรที่ท่านจะปล่อยหญิงที่น่าสงสารผู้นี้เสียเถิด พวกท่านพรากนางจากสามีและลูกของนาง

          แล้วเขาได้พูดขอความเห็นใจ ขอความเมตตาสงสาร จนกระทั่งเผ่าของฉันเอ่ยขึ้นกับฉันว่า :

          ถ้าหากเธอยังต้องการจะติดตามสามีอยู่อีก ก็ไปซิ

          แต่ฉันจะไปพบสามีโดยทอดทิ้งสายโลหิตไว้กับเผ่า "บนีอับดิลอะซัด" ที่มักกะห์ได้อย่างไร? ความทนทุกข์ทรมานจะยุติลงได้ละหรือ? หยาดน้ำตาจะเหือดแห้งได้อย่างไร? ฉันจะอพยพติดตามสามีโดยปล่อยลูกน้อยไว้ในมักกะห์ โดยไม่ทราบข่าวคราวเลยกระนั้นหรือ? มีพี่น้องบางคนเห็นว่าสมควรให้ฉันพ้นจากความโศรกเศร้าเสียที จิตใจของเขาปวดร้าวเมื่อเห็น สภาพของฉัน พวกเขาจึงเจรจากับ "บนีอับดิลอะซัด" ขอร้องให้สงสารฉันบ้าง ในที่สุดพวกนั้นก็ยอมส่งลูกของฉันกลับคืนมา

          ฉันไม่ปรารถนาจะหาใครสักคนที่มักกะห์เป็นเพื่อนเดินทางอพยพเพราะกลัวว่าจะเกิดสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในเรื่องติดตามสามีได้ ดังนั้นฉันจึงเตรียมอูฐและนำลูกน้อยไป กับฉันด้วย เสร็จแล้วจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปมะดีนะห์ ปรารถนาจะได้พบสามีทั้งๆที่ไม่มีใคร ร่วมเดินทางไปด้วยแม้แต่คนเดียว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป


ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะห์ 2 >>>Click