ท่านอัลบะร็ออฺ อิบนุ มาลิก อัลอันซอรีย์
  จำนวนคนเข้าชม  10610

ท่านอัลบะร็ออฺ อิบนุ มาลิก อัลอันซอรีย์


 
          เขาเป็นบุรุษผมหยิกร่างกายซูบผอมเต็มไปด้วยฝุ่น ใครพบเห็นไม่รู้ว่าจะพูดถึงเขาอย่างไรดี ยามเดินดูแล้วคล้ายจะโซเซไปมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็เคยประดาบฟาดฟันมุชริกีนดับดิ้นไปแล้วนับร้อย ทั้งที่ไม่นับจำนวนผู้ที่ถูกเขาฆ่าตายในสนามรบ

          เขาเป็นคนหนึ่งในจำนวนแนวหน้าผู้กล้าหาญ ซึ่งท่านคอลีฟะห์ อุมัร  ได้ส่งสาส์นไปยังข้าหลวงประจำเมืองต่างๆว่า :

 
         ท่านทั้งหลายอย่าได้แต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพในกองทัพมุสลิมเลย เพราะเขาจะนำผู้ใต้บังคับบัญชาไปสู่ความพินาศ อันเนื่องมาจากความกล้าหาญของเขา

          ท่านผู้นี้ก็คือ อัลบะร็ออฺ อิบนุ มาลิก อัลอันซอรีย์ เป็นพี่ชายของท่าน อนัส อิบนุ มาลิก คนรับใช้ของท่านรอซูล 
 
      ถ้าหากจะเสนอเรื่องราวความเก่งกาจของท่านอัลบะร็ออฺทั้งหมดก็จะยืดยาวไป จึงเห็นสมควรเสนเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ความปรีชาสามารถของท่าน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะให้คำตอบต่อท่านได้เป็นอย่างดี ถึงเรื่องราวที่จะได้นำมาเสนอ

          เรื่องนี้เกิดขึ้นในชั่วโมงแรกที่ท่านนะบีมุฮัมหมัด สิ้นชีวิตขณะนั้นชาวอาหรับหลายเผ่าเริ่มผละออกจากศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มๆ เช่นเดียวกับครั้งแรกที่พวกเขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มๆ จนกระทั่งเกือบไม่มีผู้อยู่ในศาสนาอิสลามเหลืออยู่เลย เว้นแต่ชาวมักกะห์ มะดีนะห์ ฏออีฟและกลุ่มซึ่งได้กระจัดกระจายกันอยู่ตามท้องที่ต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ที่อัลเลาะห์ ทรงให้จิตใจของพวกเขามั่นคงอยู่กับการศรัทธาเท่านั้น

          ท่านคอลีฟะห์ อบูบักรฺ อัศศิดดิ๊ก  สามารถเผชิญหน้ากับ ฟิตนะห์อันยิ่งใหญ่และมรสุมอันหนักหน่วงนี้ หากจะเทียบท่าทีของ ท่านอบูบักรฺ ท่ามกลางเรื่องดังกล่าวนี้ก็จะพบว่าท่านอบูบักรฺ มีท่าทีแข็งแกร่ง ยิ่งกว่าขุนเขาที่หยั่งรากลึก แม้พายุอันหนักหน่วง ก็ไม่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้เกิดขึ้นแก่ท่านได้เลย

          ท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊กได้ตระเตรียมมกองกำลังทหารจากพวกมุญาฮิรีน และชาวอันซ้อร จำนวนสิบเอ็ดกองทัพ มีนายธงประจำหนึ่งคน ท่านส่งกองกำลังออกไปทั้งคาบสมุทรอาหรับ เพื่อจะทำให้พวกออกนอกศาสนากลับคืนมาสู่สัจธรรมและแนวทางอันเที่ยงธรรมแห่งอิสลาม และเพื่อจะจัดการกับผู้ที่ออกนอกลู่นอกทางให้กลับสู่ความถูกต้องโดยเร็ว

          พวกทรยศออกนอกศาสนาที่ร้ายกาจและมีจำนวนมากที่สุดคือ กลุ่มของบนีฮะนีฟะห์ ซึ่งเป็นพรรคพวกของมุซัยละมะห์จอมโกหก มุซัยละมะห์ได้รวบรวมกองกำลังจากหมู่คณะ ของเขา และกลุ่มที่เป็นพันธมิตร ซึ่งเป็นนักรบผู้มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ จำนวนถึงสี่หมื่นคน

          ผู้คนส่วนมากที่คล้อยตามมุซัยละมะห์นั้นก็เพราะคลั่งไคล้หลงไหลในตัวบุคคล มิใช่เพราะความศรัทธาแต่ประการใด บางคนเคยพูดว่า :

         ข้าพเจ้าขอปฎิญาณว่า มุซัยละมะห์นั้นคือคนโกหก ส่วนมุฮัมหมัดนั้นเป็นผู้สัจจริงแต่จอมโกหกซึ่งเป็นผู้สืบทายาทมาจากตระกูลของรอฟีอะห์ คือมุซัยละมะห์นั้น เป็นที่ชื่นชอบสำหรับเรายิ่งกว่าผู้มีสัจจะ ซึ่งเป็นผู้สืบทายาท มาจากตระกูล มุด๊อร คือนบีมุฮัมมัดเสียอีก

          มุซัยละมะฮฺได้สร้างความปราชัยให้กับกองทัพมุสลิมกองแรกภายใต้ การนำของของท่านอิกริมะห์ อิบนิ อบีญะฮฺล จนพ่ายแพ้ยับเยิน

          ท่านคอลีฟะห์ อบูบักรฺจึงส่งกองทหารกองที่สองหนุนเข้าไปอีกภายใต้การนำของท่านคอลีด อิบนิลวะลีด โดยระดมพลจากคนสำคัญๆ ชาวอันซ้อรและมุฮาญิรีน หนึ่งในจำนวนผู้ที่อยู่ในแนวหน้านั้นคือ ท่านอัลบะร็ออฺ อิบนิ มาลิก อัลอันซอรีย์ และนักรบมุสลิมอีกหลายคน

          กองกำลังของฝ่ายมุสลิมและฝ่ายมุซัยละมะห์ประจัญบานกัน ณ ดินแดน "ยะมามะห์" หรือที่เรียกว่า "นัจญดิ" ในปัจจุบันซึ่งอยู่ชานเมืองริยาฏ และอยู่ห่างจากมะดีนะห์ประมาณหนึ่งพันกิโลเมตร เมื่อการรบพุ่งผ่านไป สักระยะหนึ่ง ทหารฝ่ายมุซัยละมะห์เป็นฝ่ายรุก ส่วนทหารมุสลิมเริ่มถอยร่นจนถึงฐานที่มั่น จนกระทั่งพวกมุซัยละมะห์ บุกเข้าโจมตีกองบัญชาการของแม่ทัพฝ่ายมุสลิมคือท่านคอลิด และทำลายกองบัญชาการได้สำเร็จ จนเกือบจะสังหารภรรยาของท่านคอลิดอยู่แล้ว แต่มีทหารคนหนึ่งเข้ามา ป้องกันไว้เสียก่อน

          วิกฤติการณ์ในครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมตกอยู่ในภาวะอันตรายเป็นที่สุด พวกเขาตระหนักดีว่าถ้าพ่ายแพ้ในการรบกับมุซัยละมะห์ครั้งนี้แล้ว อิสลามก็จะหมดสิ้นและไม่มีอะไรเหลืออยู่ และการอิบาดะห์อัลเลาะห์องค์เดียวจะไม่มีอยู่ในคาบสมุทรอาหรับอีกต่อไป

          ท่านคอลิดจึงพูดปลุกใจบรรดาทหารมุสลิมและจัดกำลังรบใหม่ โดยแยกพวกมุฮาญิรีนและอันซ้อรกับบรรดาผู้ที่เป็นอาหรับชนบทออกจากกัน ใครมาจากตระกูลเดียวกันก็ให้อยู่ภายใต้ร่มธงเดียวกัน เพื่อที่จะได้รู้สมรรถนะและข้อบกพร่องของแต่ละกลุ่ม และจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากเกิดเพลี่ยงพล้ำในการสู้รบ 


          หลังจากนั้นกองกำลังทั้งสองฝ่ายต่างก็บุกทะลวงเข้าหากันอีก มันเป็นการรบพุ่งที่ทำลายล้างกันอย่างดุเดือด ซึ่งฝ่ายกองกำลังมุสลิมไม่เคยประสบเช่นนี้มาก่อน และพวกของฮุซัยละมะห์ ก็ปักหลักต่อสู้อย่างทรหดประดุจขุนเขาอันแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากมายก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมถอยหนี 

          ทหารมุสลิมที่รบด้วยความสามารถเฉพาะตัวกำลังปักหลักต่อสู้กับศัตรูอย่างองอาจกล้าหาญ ซึ่งคิดว่าหากเรานำมาประมวลกันแล้ว จะเป็นการสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาวีรกรรมทั้งหลายให้แก่มุสลิม

          จะไม่ถือว่าเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อทหารมุสลิมแต่ละท่านพร้อมที่จะพลีชีพ เพื่อนำชัยชนะมาสู่อิสลามอยู่แล้ว อาทิเช่น

          - ท่านซาบิด อิบนิ ก็อยซฺ ผู้ถือธงของชาวอันซ้อร เขาประพรมเครื่องหอมและห่อหุ้มเรือนร่างในชุดกะฝั่น ขุดหลุมฝังตัวเองแค่ครึ่งเข่า เพื่อปักหลักสู้ตาย ณ ที่มั่นด้วยการยืนหยัดฟาดฟัน ศัตรูด้วยดาบที่อยู่ในมือ เขาได้ทำหน้าที่นายธงจนถึงที่สุดและจบชีวิตลง ณ สนามรบแห่งนั้นเอง

          - และท่านซัยดฺ อิบนิ ค็อฏฏ็อบ น้องชายของท่านอุมัรซึ่งกำลังตะโกนสั่งการรบเสียงลั่นว่า :

           พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัดต่อสู้ไว้ให้มั่น จงเข้าฟาดฟันศัตรูด้วยความแข็งแกร่งและรุกคืบหน้าต่อไปให้ได้
           พี่น้องทั้งหลายขอสาบานด้วยพระนามของอัลเลาะห์ว่า ฉันจะไม่สั่งการใดๆหลังจากวันนี้อีก จนกว่ามุซัยละมะห์จะถูกฆ่าตาย หรือไม่ก็ให้ฉันกลับไปพบกับอัลเลาะห์เสียก่อน

และเขาก็ได้ยืนหยัดสู้รบต่อไปจนกระทั่งถูกฆ่าตายในที่สุด

         - และท่านซาเล็มซึ่งเป็นคนรับใช้ของท่านอบีฮุซัยฟะห์ ซึ่งเป็นนายธงของมุฮาญิรีน ซึ่งพรรคพวกของเขาเกรงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ท่านต้องท้อถอยพวกเขาจึงกล่าวขึ้นแก่ท่านว่า :

           ความจริงพวกเราเกรงว่าภัยพิบัติจะมาสู่เราทางด้านท่าน

เขาตอบว่า :

           หากพวกเจ้าเกรงว่าจะพ่ายแพ้เพราะการถอยของฉันแล้วละก็ ฉันคงจะเป็นคนเลวที่สุดในบรรดาผู้ที่อัลกุรอานทั้งหมดเล่มอยู่ในหัวใจของเขา

            ต่อมาเขาก็ได้ต่อสู้กับพวกศัตรูของอัลเลาะห์อย่างกล้าหาญ จนกระทั่งถูกฆ่าตายในสนามรบ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป


ท่านอัลบะร็ออฺ อิบนิ มาลิก อัลอันซอรีย์ 2 >>>Click