เครื่องวัดการศรัทธาที่แท้จริง
  จำนวนคนเข้าชม  6138

เครื่องวัดการศรัทธาที่แท้จริง

โดย : อบูอนัส

 

มีรายงานจากท่านอบีอุมามะห์รอฎิยัลลอฮุอันฮุกล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า :

إذاسرتك حسنتك وساءتك سيئتك فأنت مؤمن


          หากว่าความดีที่ท่านกระทำไว้ สร้างความสบายใจให้แก่ท่าน และหากว่าความชั่วที่ท่านทำไว้ สร้างความทุกข์ใจให้แก่ท่าน เมื่อท่านมีความรู้สึกเช่นนั้น ท่านก็จะเป็นผู้ศรัทธา

(รายงานโดย ท่านอิมามอะห์มัด ท่านอิมามอิบนุฮิบบาน ท่านอิมามอัฏฏอบรอนีย์ ท่านอิมามบัยฮะกีย์ และท่านอิมามฮากิม)

คำอธิบาย

อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า :

          ผู้ใดที่นำความดีมา เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม 

(อัลอันอาม 6 : 160)
 

          ในอายะห์ข้างต้นกล่าวว่า เมื่อเราทำความดีได้สิบเท่า สำหรับการทำความชั่วได้เท่าหนึ่ง ในเรื่องนี้เราต้องเข้าใจว่าเป็นความกรุณาของพระองค์อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้เรามีความหวัง ให้เรามั่นใจว่า เราควรทำความดีมากกว่าความชั่ว(เราจะคิดว่าความชั่วนั้นเราทำมากไม่เป็นไร คนมีอีมานไม่ควรคิดเช่นนั้น) ท่านนบี กล่าวว่า :

          ผู้ศรัทธานั้น การทำความชั่วเพียงครั้งเดียวจะเป็นจุดดำในหัวใจ

อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในอัลกุรอานว่า :


          วันที่ทรัพย์สมบัติและลูกหลานจะไม่อำนวยประโยชน์ได้เลย


            เว้นแต่ผู้มาหาอัลลอฮ์ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส

(อัชชุอะรออฺ 26 : 88-89)

          เราต้องระวังอย่าให้มีจุดดำที่หัวใจ คือ เราต้องระวังไม่ทำ ความชั่ว อย่าคิดว่าความเอ็นดูเมตตาของอัลเลาะห์มีมากจนกระทั่งละเลยตัวเรา ความรู้สึกเช่นนั้น เป็นความรู้สึกของมุสลิมที่ยังไม่ศรัทธา

           เรื่องความเอ็นดูเมตตาของอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้น ท่านรอซูล ได้บอกว่า :

          เมื่อคนหนึ่งคนใดคิดจะทำความดี อัลเลาะห์จะจดบันทึกความดี เมื่อเขาทำความดี อัลเลาะห์ให้เขาสิบเท่า ให้เราหวังในความเอ็นดูเมตตาของอัลเลาะห์ ให้เรามีความรู้สึกสำนึก ให้รู้สึกละอายที่จะกระทำความชั่ว

          ในอนาคตของเราเมื่อเรายอมรับอิสลามแล้วควรจะคำนึงว่าในอิสลามนั้นมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ อะไรที่เราทำไปเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จจะต้องเป็นทางที่จะยังความโปรดปรานแก่อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในโลกอาคิเราะห์

          อัลกุรอานมีหลายอายะห์ที่จะนำไปสู่ความโปรดปรานของอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ความกรุณาของพระองค์ เกี่ยวกับมุสลิมนั้น ผู้ที่ยอมรับอัลเลาะห์เป็นพระเจ้า มุฮัมหมัดเป็นรอซูล อิสลามเป็นศาสนา อัลกุรอานได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่เป็นชาย ผู้ที่เป็นหญิง เขาจะได้รับการตอบแทน การตอบแทนในโลกอาคิเราะห์นั้นมิใช่ว่า ผู้หญิงจะน้อยกว่าผู้หญิงจะน้อยกว่าผู้ชายก็หาไม่ พระองค์อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า :

          แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่า แท้จริงข้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผู้ทำงานคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม โดยที่บางส่วนของพวกเจ้านั้นมาจากอีกบางส่วน บรรดาผู้ทีอพยพ และที่ถูกขับไล่ให้ออกจากหมู่บ้านของพวกเขา และได้รับความเดือดร้อนในทางของข้า และได้ต่อสู้และถูกฆ่าตายนั้น แน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเขา ซึ่งบรรดาความผิดของพวกเขา และแน่นอนข้าจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น ทั้งนี้เป็นรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีการตอบแทนอันดีงาม 

(อาละอิมรอน 3 : 195)

          แสดงว่าเมื่อท่านหวังจะพบกับอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เมื่อท่านหวังการตอบแทนอันดีงามนั้น ท่านจะต้องมีสภาพที่เป็นมุอฺมิน เมื่อพวกอาหรับทะเลทรายเขาบอกว่า เราศรัทธาแล้ว

         อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า มุฮัมหมัด จงกล่าวว่า พวกเจ้ามิได้เป็นผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงกล่าวว่า เราเข้ารับอิสลามเพราะการเข้าอิสลามนั้น เพียงกล่าวว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มุฮัมมะดุรอซูลุลลอฮ์ เป็นการพูดด้วยลิ้น กล่าวทางวาจา แต่สำหรับเรื่องอีมานนั้นต้องอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ

          ท่านรอซูล ทำให้มุสลิมทุกคนมีการศรัทธาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ โดยได้สั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่จะสร้างความศรัทธาให้แก่เรา ประการแรกเราจะต้องรู้จักอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในคุณลักษณะของพระองค์ เมื่อเราทราบว่าพระองค์เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพ เป็นผู้ทรงให้ตาย อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงรู้ทรงเห็น (ไม่ใช่รู้เพียงภายนอก แต่รู้สิ่งที่อยู่ภายใน) เมื่อเรารู้คุณสมบัติของพระองค์เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราต้องคำนึงถึงคุณลักษณะของพระองค์ เราจะไม่กล่าวว่า สิ่งนี้ไม่มีใครมองเห็น ฉันจะปล่อยให้ชัยฏอนขี่ ปล่อยให้ชัยฏอนจูงทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อเรารู้คุณลักษณะของพระองค์ไม่ว่า ณ ที่ใด พระองค์ทรงเห็นได้เสมอ อันนี้เป็นสิ่งที่สร้างคุณภาพของมุอฺมิน

          คนอาหรับในสมัยญาฮิลียะห์ทำความชั่วทุกอย่าง ทำชิริก กินเหล้า ทำซินา กินดอกเบี้ยทุกอย่างไม่ละเว้น แต่เมื่อเขาเลิกเขาเลิกด้วยอะไร ไม่ใช่เพระตำรวจหรือสันติบาล ท่านรอซูล ไม่เคยบังคับกดขี่ สิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหลายได้หมดสิ้นในสังคมมุสลิมในสมัยแรก ผู้ที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามมีอายุ 60 ปี ในสมัยญาฮิลียะห์ เมื่อเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเขาหาเวลาและอุทิศเวลาของเขาเพื่อศึกษาหาทางเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้แล้วยึดถือปฏิบัติด้วย ไม่ใช่เรียนรู้เพื่อประดับความรู้เพียงอย่างเดียว เรียนรู้แล้วปฏิบัติ และเชิญชวนคนอื่นที่อยู่ใกล้ชิดกับตน ต้องคอยพูดให้ภรรยาและลูกทราบ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการศึกษา เรียนรู้คุณลักษณะของอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งมุสลิมในสมัยแรกปฏิบัติเช่นนี้ เพราะเขามีอีมาน เมื่อเขามีอีมานแล้วไม่ต้องติดตาม ไม่ต้องคอยจับจ้อง ไม่ต้องหาพยาน

 

          มุสลิมในสมัยแรก คนที่ทำซินาและมีคนเห็นด้วยตาถึงสามคน เมื่อไปฟ้อง คนที่ไปฟ้องกลับถูกโบยคนละ 80 ที หาว่าเป็นการใส่ร้ายทั้งๆที่พวกเขาเห็นด้วยตา เพราะเหตุว่าพยานที่มีหลักฐานเชื่อถือได้ในอิสลามนั้น ต้องมีคนเห็นถึงสี่คนจึงจะเชื่อถือได้ เมื่อมีผู้เห็นไม่ครบ 4 คน ผู้ที่เห็นกลายเป็นผู้ที่ใส่ร้าย ด้วยเหตุนี้จึงหาพยานยากที่สุด เมื่อเขาเห็นใครทำซินาและเห็นคนเดียวเขาจะหนี

         ในสมัยท่านรอซูล ในสมัยท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัร ท่านอุสมาน และในสมัยท่านอาลี รอฎิยัลลอฮุอันฮุม ไม่ปรากฏว่ามีการลงโทษผู้ทำซินาโดยมีหลักฐาน เมื่อเขาผิดเขาไปหาท่านรอซูล ขอให้ท่านรอซูล ชำระให้เขา การที่ท่านรอซูลลงโทษเขาเป็นการชำระให้สะอาด ไม่ว่าหญิงหรือชาย เพื่อเวลาเขาไปพบกับอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เขาจะมีสภาพเป็นคนที่สะอาด เขามีความรู้สึกที่แสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่ทำความผิดเด็ดขาด บางทีท่านรอซูลลุลลอฮ์ หาทางจะบอกว่า “เขาอาจจะไม่ได้ทำอย่างนั้น” เขาจะบอกว่า “ไม่ เขาได้กระทำความผิดนั้นอย่างนี้” เขาไม่หาทางหลีกเลี่ยงทั้งๆที่การลงโทษคนที่ทำซินามีโทษประหารชีวิตอย่างที่น่าสงสารมาก(คนที่ถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้านั้น อาจจะตายในเวลาไม่ถึง 17 วินาที) แต่การที่ถูกลงโทษโดยคนที่เดินผ่านมาเอาก้อนหินขว้างจนกว่าจะตาย ซึ่งทรมานมาก เพราะตายช้าและเจ็บมาก ทั้งๆที่เขารู้อย่างนั้น แต่ด้วยอีมานของเขา ขณะเมื่อเขาทำชั่ว อีมานของเขาหายไป เมื่ออีมานของเขากลับมาเขามีอีมาน เขาจะทำชั่วอีกไม่ได้

          แต่ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ ชัยฏอนสามารถทำให้อีมานของเราตาย เนื่องจากเราไม่ระมัดระวังชัยฏอน แต่ภายหลังจากทำความชั่วแล้ว อีมานของเรารู้สึกตัว คืออีมานฟื้นคืนชีพ เหตุการณ์ที่คนสารภาพความผิด ในสมัยท่านรอซูล ในสมัยท่านอบูบักรฺ ในสมัยท่านอุมัร ในสมัยท่านอุษมาน หรือในสมัยท่านอาลีก็ดี การสารภาพความผิดเกิดขึ้นเนื่องจากอะไร ข้อนี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะของผู้ศรัทธา เวลาเขาทำความชั่ว เขานึกคิดว่า ฉันทำความชั่วครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็จะทำความชั่วซ้ำอีกไม่ได้ จึงมีการยืนยันอย่างเด็ดขาดจากตัวเขาเองเนื่องจากเขามีอีมาน

 

          ฮะดีษนี้ใช้เป็นเครื่องวัดในอิสลามว่า ท่านควรทำความดีหรือไม่ เมื่อท่านพบคนชรากำลังเดินบนถนน ท่านให้เขานั่งมากับท่าน ท่านเห็นคนอายุมากกำลังลำบาก ท่านช่วยเขา เมื่อท่านเห็นคนกำลังทะเลาะกัน ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ใช่ธุระของท่าน ท่านพยายามห้ามเขา เมื่อท่านทำสิ่งดีเล็กๆน้อยๆ นั้น ไม่ใช่อื่นใดนอกจากอิสลามให้ท่านทำ จะด้วยคำพูดหรือด้วยสิ่งอื่นก็ตาม สิ่งเล็กๆน้อยๆนี้ เมื่อท่านทำแล้วท่านรู้สึกสบายใจหรือเปล่า? หรือเมื่อท่านทำความดีแล้วท่านเสียใจหรือ? เปล่าเลยท่านสบายใจ อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ว่าท่านเป็นมุสลิม เท่ากับเป็นเครื่องวัดที่อยู่ติดตัวท่าน

         เมื่อท่านรอซูล รู้สิ่งที่อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา สอนให้แก่ท่าน เพื่อให้มนุษยชาติทั้งหลายรู้จักอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพื่อกำชับมนุษย์ให้ทำความดี โดยบอกแก่เขาว่า ให้เราดูสภาพของเขา แล้วท่านสามารถชี้ให้เห็นได้ว่าเขาอยู่ประเภทไหน เมื่อท่านทำความดีแล้วรู้สึกสบายใจ และเมื่อท่านทำความชั่วแล้วท่านมีความทุกข์ ท่านไม่สบายใจ เช่นนี้เป็นการชี้ให้เห็นว่า ตัวท่านมีอีมาน หากเวลาทำความดีแล้วเสียใจ ทำความชั่วแล้วดีใจ ก็จะต้องรีบกลับเนื้ออย่าให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะห์อะอฺรอฟ กล่าววถึงลักษณะผู้ที่มีความยำเกรงอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในอายะห์ที่ 201 มีใจความว่า :

 

          แท้จริงบรรดาผู้ที่ยำเกรงนั้น เมื่อมีคำชี้นำ(คือชี้นำให้กระทำสิ่งที่ฝ่าฝืนบัญญัติศาสนา)ใด ๆ จากชัยฏอนประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็รำลึก(คือรำลกได้ว่าพวกเขากำลังถูกชักนำโดยชัยฏอน)ได้แล้วทันใดพวกเขาก็มองเห็น(คือมองเห็นทางที่จะหลีกเลี่ยงให้รอดพ้นไปได้)

(ซูเราะห์อัลอะอฺรอฟ 7 : 201)

 


          เมื่อค.ศ. 1933 สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายห้ามดื่มสุรา มีบทลงโทษมหาศาล มีคนถูกจับจำคุก 3,000,003 คน แต่แล้วกฎหมายนี้ล้มเหลว สรุปว่าไม่สามารถขจัดสุราให้หมดสิ้นไปจากสังคมของพวกเขา ทั้งๆที่มีการโฆษณามีการประชาสัมพันธ์ก็ยังล้มเหลว แต่สังคมมนุษย์ชาติที่เคยจมอยู่ในสังคมเหล้ายิ่งกว่าจมอยู่ในน้ำ คือ สังคมอาหรับสมัยญาฮิลียะห์ สุรานั้นมีชื่อถึง 100 ชื่อ แสดงว่าเขาหลงใหลสุรามาก

         ท่านอุมัรก่อนเข้ารับอิสลามนั้น แทนที่จะขุดบ่อน้ำในบ้าน ท่านกลับขุดบ่อใส่สุราในบ้าน แต่ท่านเหล่านั้นเมื่อมีอีมานแล้ว อัลกุรอานที่เกี่ยวกับอายะห์เกี่ยวกับเรื่องสุรานั้นลงขณะที่เขาถือแก้วเหล้ากำลังจะดื่ม อายะห์ของอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตอนท้ายระบุว่า “พวกเจ้ายังไม่เลิกหรือ” เพียงได้ยินเท่านี้ ขณะสุราเกือบจะเข้าปากแล้วท่านบอกว่า “เราขอต่อพระเจ้าของเรา เราเลิกแล้ว เราเลิกแล้ว”

          ฉะนั้นขอให้เรามีความสำนึกในเรื่องนี้ สำนึกในขณะที่เป็นสามีต่อสิทธิภรรยา สำนึกในขณะที่เป็นภรรยาต่อสิทธิของสามี สำนึกในฐานะที่เราเป็นลูก ต่อผู้ที่เป็นบิดามารดา สำนึกฐานะบิดามารดาต่อผู้ที่เป็นลูก สำนึกในฐานะที่เราเป็นนายจ้างต่อผู้ที่เป็นลูกจ้าง สำนึกในฐานะที่เราเป็นลูกจ้างต่อผู้ที่เป็นนายจ้าง สำนึกในฐานะที่เราเป็นข้าราชการรับเงินเดือนต่อหน้าที่ ที่เราจะต้องปฏิบัติต่อประชาชน สำนึกไม่ว่าเรามีฐานะใด ไม่ว่าจะมีอาชีพใด มีตำแหน่งใด หากว่าสังคมมุสลิมเป็นเช่นนี้คงสงบสุข ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่มีใครถือว่าเสียเปรียบ ไม่มีใครถือว่าคนนั้นไม่เอาไหน คนนี้ไม่เอาไหน

 

          แต่สังคมที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ คนหนึ่งเอา อีกคนหนึ่งไม่เอา คนหนึ่งมีอีมาน แต่อีกคนหนึ่งไม่มีอีมาน ขอให้ท่านทั้งหลายคำนึงถึงในโลกอาคิเราะห์ จงใฝ่ในหนทางที่จะนำเราไปสู่ความสุขในโลกอาคิเราะห์ ขอให้ท่านรีบในฐานะที่เป็นมุอฺมิน ในฐานะที่ท่านทำหน้าที่ของท่านต่อพระเจ้าของท่าน ต่อลูกหลานของท่าน ต่อผู้ที่เป็นบริวารของท่าน และต่อตัวท่านเอง ให้ท่านอยู่รอด ให้มีเกียรติ ให้มีความสุขในโลกนี้ และได้รับความกรุณา ได้รับความโปรดปรานจากอัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในโลกอาคิเราะห์

 

 

…………………………