อาระเบีย ในห้วงแห่งความมืดมิด
  จำนวนคนเข้าชม  6130

อาระเบีย ในห้วงแห่งความมืดมิด
 


             ถ้าจะลองหลับตาและวาดภาพตัวเองให้มีชีวิตย้อนหลังไปอยู่ในโลกเมื่อ  1,400 ปีมาแล้ว เราจะพบโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากโลกปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง  สมัยนั้นมนุษย์ไม่มีโอกาสจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและอยู่ห่างไกลกันมาก  การติดต่อระหว่างกลุ่มชนยังถูกจำกัดและไม่ได้รับการพัฒนา  องค์ความรู้ของมนุษย์มีอยู่เพียงเล็กน้อย  ส่วนความคิดเห็นและท่าทีต่างๆก็ยังอยู่ในวงแคบ มนุษย์ยังลุ่มหลงอยู่กับไสยศาสตร์และไม่เคยได้รับความรู้สมัยใหม่เลย

               ทุกหนทุกแห่งในสมัยนั้นมีแต่ความมืดมน  จะมีก็แต่แสงสลัวของความรู้ซึ่งไม่อาจก่อให้เกิดปัญญาแก่มนุษย์ได้   ไม่มีแม้แต่วิทยุ  โทรทัศน์  ภาพยนตร์  ส่วนรถไฟ รถยนต์  เครื่องบินนั้นเป็นสิ่งซึ่งยังไม่มีใครฝันถึง  เครื่องพิมพ์ก็ยังไม่มีโอกาสรู้จัก  จะมีแต่การเขียนหรือคัดลอกเท่านั้นที่ใช้ในการเผยแพร่ความรู้ที่มีอยู่แต่เพียงเล็กน้อย  จากสมัยหนึ่งไปยังอีกสมัยหนึ่งต่อ ๆ กันไป  การศึกษาถือว่าเป็นการฟุ่มเฟือยและมีความหมายอยู่เฉพาะผู้ที่โชคดีที่สุดเท่านั้น

               ความรู้ของมนุษย์มีอยู่จำกัด  จะมีก็แต่ความรู้ในเรื่องสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเขาเท่านั้นเอง  แม้แต่นักการศึกษาก็ยังขาดความรู้บางอย่างที่มนุษย์ชั้นสามัญในปัจจุบันมี  คนที่มีวัฒนธรรมสูงสุดก็ยังมีความละเอียดอ่อนและอารยธรรมน้อยกว่าคนเดินถนนในสมัยปัจจุบัน

               มนุษยชาติยังลุ่มหลงอยู่ในความโง่เขลาและไสยศาสตร์  ไม่ว่าจะมีแสงสลัวของความรู้ปรากฏขึ้นในที่ใดก็ตาม  ดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กับความมืดมนและโง่เขลาซึ่งปกคลุมอยู่ทั่วไป  สิ่งที่มนุษย์ปัจจุบันเห็นว่าเป็นความรู้พื้นๆ เป็นสิ่งที่หามาได้อย่างลำบากยากเย็น  แม้ว่าจะใช้เวลาเป็นปี ๆ คิดค้นและเสาะแสวงหาด้วยความอดทน  คนเป็นจำนวนมากที่ต้องเสี่ยงเดินทางและต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการแสวงหาความรู้ตื้นๆ ซึ่งเป็นความรู้ที่ตกทอดกันมาสำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน  สิ่งที่เราตัดสินว่าเป็นนิยายหรือไสยศาสตร์ก็เรื่องที่สืบถามกันไม่ได้

           ในสมัยนั้น การกระทำที่ถือว่าเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อน คือการปฏิบัติตามกฏระเบียบในซีวิตประจำวัน  วิธีการที่สกปรกกลับได้รับการยึดถือเป็นหลักสำคัญของคุณธรรมในสมัยก่อน  มนุษย์ไม่สามารถคิดที่จะมีทางดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากนั้น  ความงมงายลุ่มหลงได้เข้าครอบคลุมและได้แพร่ขยายออกไป  จนกระทั่งประชาชนปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งอื่นว่าดีกว่าหรือประเสริฐกว่า  นอกไปเสียจากว่าสิ่งนั้นจะมาในรูปแบบที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติ  ผิดไปจากธรรมดาสามัญเป็นสิ่งประหลาดและไม่สามารถจะยึดถือครอบครองได้ มนุษย์ติดอยู่กับความรู้สึกที่ต่ำต้อย  จนไม่อาจจะคิดได้ว่า  มนุษย์ธรรมดานั้นสามารถที่จะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ในทางของพระผู้เป็นเจ้า  และไม่คิดว่านักบุญนั้นจะเป็นมนุษย์ธรรมดาๆนี่เอง

               ในยุคนั้น ได้มีดินแดนอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีความมืดและความโง่เขลาปกคลุมอยู่อย่างหนาทึบ  ประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ เช่นเปอร์เซีย  ไบแซนติน  และอียิปต์  ต่างมีวัฒนาธรรมของตนเองและยังได้รับแสงแห่งความรู้บ้างแม้จะมีความสลัว  แต่ดินแดนอาระเบียกลับไม่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมเหล่านั้นเลย  อาระเบียตั้งอยู่โดดเดียว  ถูกตัดออกจากสังคมอื่นด้วยผืนทรายอันกว้างใหญ่  พ่อค้าชาวอาหรับเดินทางด้วยความอดทนเป็นระยะทางไกลซึ่งกินเวลาเป็นเดือน ๆ บรรทุกสินค้าไปมาระหว่างประเทศต่าง ๆ แต่ไม่สามารถที่จะหาความรู้จากการเดินทางได้  ในประเทศของพวกเขาเองก็ไม่มีสถาบันการศึกษาสักแห่งเลย  หรือห้องสมุดแม้แต่แห่งเดียวก็ไม่ปรากฏ  ไม่มีใครที่จะสนใจในวัฒนธรรมหรือความก้าวหน้าทางความรู้  ชนกลุ่มน้อยที่มีการศึกษาก็มีไม่มากพอที่จะปรับปรุงความรู้ทางวิทยาศาสตร์และทางศิลปะซึ่งมีอยู่ในขณะนั้น  ชาวอาหรับเป็นเจ้าของภาษาที่สูงส่ง  สามารถที่จะแสดงความรู้อันลึกซึ้งของมนุษย์ออกได้อย่างชัดแจ้ง  และยังมีรสนิยมทางวรรณคดีสูง  แต่จากการศึกษาสิ่งที่หลงเหลือจากวรรณคดีของชาวอาหรับ จะเห็นได้ถึงความรู้อันจำกัด วัฒนธรรมและอารยธรรมที่ต่ำกว่ามาตรฐาน  การลุ่มหลงอยู่กับไสยศาสตร์ความป่าเถื่อนและดุร้ายที่แฝงอยู่ในความคิดและประเพณีต่าง ๆ ของชนสมัยนั้น

               อาระเบียเป็นประเทศที่ไม่มีรัฐบาล  กลุ่มชนเผ่าต่างประกาศตนเป็นใหญ่ เป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร  ไม่มีกฎหมายนอกจากกฎหมายป่า  การแย่งชิง  การปล้นสดมภ์  เผาทรัพย์สินและฆาตกรรมผู้ที่อ่อนแอเป็นประจำวัน  ชีวิตทรัพย์สมบัติ  และเกียรติยศขึ้นอยู่กับโชคชะตา  ต่างเผ่าต่างทำการรบพุ่งกันอยู่เสมอ  เหตุการณ์แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะเป็นชนวนสงครามรบพุ่งกันใหญ่โต  ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศลุกลามเป็นเวลาหลายสิบปี ที่จริงแล้ว ชนเผ่าเบดูอิน (บัดฺวี)  ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องปล่อยชนเผ่าอื่นไปทั้ง ๆ ที่เขามีสิทธิที่จะฆ่าและปล้นได้

               ไม่ว่าศีลธรรม  วัฒนธรรมและอารยธรรมในด้านใดก็ตามที่มีอยู่ในเวลานั้น  เป็นสิ่งที่ยังป่าเถื่อนและโง่เขลาอยู่มาก และแถบจะแยกไม่ออกว่าสิ่งใดสุจริตและสิ่งใดทุจริต  สิ่งใดถูกกฎหมายและสิ่งใดขัดต่อกฎหมาย  สุภาพหรือไม่สุภาพ ชีวิตและการกระทำของพวกเขาหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์  การพนัน  และการเสพของมึนเมา  การช่วงชิง  การปล้นสะดม  และการฆาตกรรมเป็นคติประจำใจและกิจวัตรประจำวัน  เขาอาจจะยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้ากันโดยปราศจากความละอายเลยแม้แต่น้อย  แม้แต่สตรีก็สามารถเปลือยกายได้ในพิธีเวียนรอบกะอ์บะฮ์  สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากความเชื่อถืออันโง่เขลาของชนเหล่านี้  คือการฝังบุตรสาวทั้งเป็นถ้าไม่มีใครยอมเป็นบุตรเขย  เขาจะสมรสกับมารดาเลี้ยงเมื่อบิดาถึงแก่กรรม  ชนอาหรับเหล่านี้เป็นคนป่าเถื่อนในทุก ๆ ทาง  แม้แต่ในการปฏิบัติภารกิจประจำวัน  เช่นการกินอยู่  การแต่งกายและการทำความสะอาด

               ถ้าจะกล่าวถึงความเชื่อถือในเรื่องศาสนา  ชาวอาหรับเหล่านี้ตกอยู่ในความชั่วร้ายเช่นเดียวกับที่ชนทุก ๆ กลุ่มกำลังประสบอยู่  กล่าวคือ เขาเคารพบูชาหิน  ต้นไม้  รูปปั้น  ดวงดาว  และภูตผี  บูชาทุก ๆ สิ่งที่สังเกตเห็นได้นอกจากพระผู้เป็นเจ้า  เขาไม่ได้รู้ถึงคำสอนของท่านนะบีพยากรณ์ พวกเขารู้แต่ว่าอิบรอฮีมและอิสมาอีลเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา  แต่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงคำสั่งสอนของท่านเหล่านั้น  และไม่รู้จักพระเจ้าซึ่งท่านเคารพภักดี  เรื่องราวพวกอาด  และษะมูด  ได้ปรากฏอยู่ในนิยายพื้นเมืองแต่มิได้ปรากฏร่องรอยคำสั่งสอนของนะบีฮูดและนะบีศอลิหฺ  พวกยิวและคริสเตียนได้ถ่ายทอดตำนานและนิยายพื้นเมือง  ซึ่งเกี่ยวกับนะบี(ศาสดาพยากรณ์)ของอิสรออิลให้แก่ชนอาหรับด้วยคำสอนที่ถูกปรับปรุงเจือปนด้วยความนึกฝัน และแต่งเติมของชนเหล่านั้น  ชีวิตของอัมบิยาอ์ (ศาสดา) ทั้งหลายถูกระบายป้ายสีจนไม่มีเค้าของเดิมแม้กระทั่งปัจจุบัน เราอาจจะพบหลักความเชื่อถือทางศาสนาได้จากประเพณีต่าง ๆ ของอิสรออีล ซึ่งผู้บรรยายกุรฺอานชาวมุสลิมได้แถลงให้เราทราบ  อันที่จริงแล้วเรื่องราวที่ได้รับการเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นนะบี (ศาสดา) และลักษณะต่างๆ ที่ชาวอิสรออีลได้กล่าวไว้นั้นเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

จากหนังสือ “มาเข้าใจ ‘อิสลาม’ กันเถิด”

แปลและเรียบเรียง  “จินตนา”