ปริศนาแห่งจักรวาล !!
  จำนวนคนเข้าชม  11269

ปริศนาแห่งจักรวาล !!

  

พี่น้อง....ร่วมโลกที่มีเกรียติทั้งหลาย

          มาซิ....เรามาทำความรู้จักสิ่งต่างๆ ที่แอบแฝงอยู่ในโลกอันสวยงามนี้ มาซิ....เรามาเพ่งพินิจพิจารณาดูสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งแต่ละสิ่งนั้นมีความงามและความเล้นรับที่ไม่มีใครรู้  นอกจากผู้ที่ไตร่ตรองพิจารณา...

ฟากฟ้าที่ถูกยกสูง.....  แผ่นดินทีถูกปูเรียบ.....  ภูเขาที่กว้างเรียงรายสลับเป็นทิวแถวสูงตระหง่าน.....  ดวงอาทิตย์ที่เต็มไปด้วยพลังงานส่องแสงเจิดจ้า....  ดวงจันทร์ทอแสงเหลืองนวล...  และมนุษย์ที่มีรูปทรงงดงามที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาสัตว์โลกอื่นๆ

  

พี่น้องที่รัก....

          มาซิ.... เรามาครุ่นคิดพิจารณาถึงโครงสร้างของมนุษย์  มาซิเรามาทำความรู้จักกับตัวเอง...มนุษย์...  มีจมูกเพื่อสูดอากาศออกซิเจนซึ่งเป็นสสารสำคัญที่สุดเพื่อการดำรงชีวิต  หากขาดออกซิเจนในร่างกาย ชีวิตมนุษย์ก็จะดับลงในทันที  เราจึงไม่สามารถจะหยุดหายใจแม้แต่นาทีเดียว  

         เรามาพิจารณาดูอวัยวะที่สำคัญที่สุดนี้คือ"จมูก"  จะสังเกตว่ารูของมันถูกครอบไว้ด้วยรางที่ถูกยกสูง หากมันเป็นเพียงรูเหมือนรูทั่วๆไป  โดยไม่มีรางมาครอบ ท่อหายใจของมนุษย์คงจะเต็มไปด้วยน้ำ ทั้งน้ำที่อาบประจำวัน หรือน้ำฝนที่ตกลงมา  จนเป็นเรื่องลำบากหรือไม่สามารถเลย ที่มนุษย์ผู้อ่อนแอจะปกป้องรูหายใจของเขาไม่ให้น้ำเข้าท่วมทะลัก ซึ่งจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

         .....มนุษย์มีปาก     ซึ่งเป็นรูลำเลียงของอาหารและน้ำ  และมีฟันที่ทำหน้าที่เคี้ยวบดอาหารที่หยาบๆ  ที่จะส่งลงให้กระเพาะบดให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะให้ร่างกายดูดซึมเป็นสารอาหารชนิดต่างๆ

          .....มนุษย์มีสองขา     เพื่อใช้เคลื่อนไหวไปมา มีสองมือใช้จับถือสิ่งต่างๆ

         .....มนุษย์     คือผู้ที่มีรูปทรงหน้าตาสวยงามที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาสัตว์โลกอื่นๆ นี้เป็นเพียงด้านกายภาพ หากจะพูดถึงด้านความรู้สึกและอารมณ์มนุษย์แล้ว ก็ยังมีสิ่งเล้นลับพิสดารชวนให้พิจารณา น่าทึ่งไปยิ่งกว่าอีก

        

 มาซิ.....! เรามาร่วมพิจารณา...

         1. มนุษย์ทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ภาคพื้นใดของแผ่นดิน ตะวันออกหรือตะวันตก ต่างก็มีทัศนะที่เหมือนๆกัน ในความรู้สึกชอบหรือเกลียดต่อสิ่งต่างๆ เช่น มนษย์ทั้งโลกรักพ่อแม่ ภรรยา ลูก รักทรัพย์สินเงินทอง รักความสวยงาม และ อื่นๆ  และในเวลาเดียวกัน มนุษย์ทั้งโลกเกลียดความอ่อนแอ เกลียดความอัปลักษณ์ เกลียดโรคภัยไข้เจ็บ และอื่นๆ

         .....นี่คือความรู้สึกร่วมในด้านอารมณ์

         ส่วนในด้านนิสัยและมารยาทเราจะพบว่ามนุษย์จะชอบความซื่อสัตย์ สุจริต ชอบความมีความรับผิดชอบ ชอบความยุติธรรม ชอบการถ่อมตนและมารยาทที่ดีงาม  และในเวลาเดียวกัน เขาจะไม่ชอบการโกหก ไม่ชอบกดขี่ข่มเหงและต่อต้านมารยาทที่เลวทรามทั้งมวล....

          มันจึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า ทำไม...? ทำไมมนุษย์ทั้งโลกจึงมีความรู้สึกและทัศนะคติต่อสิ่งดังกล่าวเหมือนกันหมด  ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่เคยมีการประชุมนานาชาติ  จนมีมติเห็นพ้องในสิ่งดังกล่าวเลย... มีโรงเรียนสากลนานาชาติที่พวกมนุษย์ทั้งหมดเขาไปเรียนแล้วรับเอาทัศนะต่างๆ เหล่านี้ร่วมกันมาหรือ...?

          ทว่าแม้แต่เด็กเล็กๆ หากปล่อยให้เติบโตแบบตามมีตามเกิด  ตั้งแต่เล็กจนกระทั่ง เติบโตเป็นหนุ่มสาวโดยไม่มีครูบาอาจารย์ หรือพี่เลี้ยงคอยอบรมสั่งสอน เราก็จะพบว่าเด็กเหล่านี้ เมื่อเติบโตบรรลุนิติภาวะ พวกเขาก็จะมีความรู้สึกในทัศนะคติต่างๆ เหมือนดังที่กล่าวมา ซึ่งมันก็หมายความว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกสร้างสมอยู่ในตัวของมนุษย์มาแต่กำเนิดและพัฒนาสร้างสรรค์ พร้อมกับการเจริญวัยของแต่ละคน

         2. เป็นกฏที่เป็นที่ยอมรับในบรรดาปวงชนผู้มีปัญญาว่า ผลิตภัณฑ์หรือสิ่งของต่างๆ จำเป็นจะต้องมีผู้ผลิตหรือสร้างมันขึ้นมา... จะสังเกตเห็นว่าแม้แต่เด็กเล็กๆ เมื่อเขาถูกกระแทกหรือโดนสะกิดจากข้างหลัง เขาจะสะบัดหน้าไปด้านหลังทันที เพื่อมองหาตัวการที่มาสัมผัสเขา

          ดังนั้น  ความคิดที่ว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงเป็นความคิดที่ขาดเหตุผลและไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ปัญญาชน

  

ลองคิดซิ.....

         หากคุณเป็นผู้ฟัง คุณจะรับได้ไหมถ้ามีคนมาบอกว่า"ฉันเห็นเรือที่ไม่มีคนขับและไม่มีผู้โดยสารลำหนึ่งได้เคลื่อนที่แหวกเคลื่อนลมน้อยใหญ่ จนกระทั่งมาเกยที่ชายหาด จากนั้นเรือดังกล่าวได้เคลื่อนที่ขึ้นบกสู่ดงไม้ดงหนึ่งแล้วก็ตัดไม้ดังกล่าวเก็บใส่ในลำเรือ จากนั้นมันพุ่งหน้าลงสู่ทะเลเคลื่อนที่แหวกเคลื่อนลมจนกระทั่งไปเกยที่ชายหาดอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นเรือดังกล่าวได้นำไม้ที่บรรทุกออกมาสร้างบ้านหรูหราหลังหนึ่ง"....?

    คุณจะเชื่อไหม.....?

          ไม่ต้องตอบหรอก  แม้คนโง่เขลาเบาปัญญาทั้งหลายก็จะประสานเสียงออกมาทันทีที่ฟังจบว่า เป็นไปไม่ได้...โกหก...

          .....แล้วนับประสาอะไรกับโลกกว้างใบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความพิสดารแพรวพราวไปด้วยอาภรณ์นานาชนิด ท้องฟ้าที่มีดาวเด่นประกาย ทะเลใสและมีฟองคลื่น แผ่นดินที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้อันหลากสี หมู่นกสกุณาที่เรียงแถวโผผิน บินกระพือในอากาศโดยไม่ตกหล่นสู่พื้นดิน

        ดวงอาทิตย์ไม่เคยชนดวงจันทร์ และกลางคืนไม่เคยมาแทรงแซงกลางวัน...ทุกอย่างต่างวนเวียนอยู่ในวงจรที่ถูกกำหนด..?

          

         สิ่งต่างๆเหล่านี้รวมทั้งบรรดามนุษย์จะไม่เกิดขึ้นหากไม่ใช่เป็นความประสงค์ของพระองค์...

         ใช่.....มนุษย์หลายคนอาจจะคิดผิดว่า พ่อแม่ของเขาต่างหากที่สร้างและให้กำเนิดเขาเหมือนกับสิ่งอื่นๆ  ที่เกิดขึ้นผลจากการปฏิสนธิกันระหว่างอสุจิของผู้ชายและสเปอร์มของผู้หญิง

         ใช่.....เราเองก็ยอมรับว่า อสุจิที่เข้าไปผสมกับสเปอร์มในรังไข่คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิสนธิ , เกิดทารกในมดลูกของมารดา

          แต่.....ที่เป็นปัญหาก็คือ  เราเองหรือเปล่าที่เป็นผู้สร้างน้ำอสุจินั้น...?

         แน่นอน... ทุกคนย่อมตอบว่าไม่ใช่.. เพราะ.. หากเราเป็นคนสร้างอสุจิเอง ทำไมคนเราเมื่อตอนเด็กๆ น้ำอสุจิไม่มีอยู่ในร่างกายแม้แต่หยดเดียว แต่อยู่ๆพอถึงวัยเจริญพันธ์มันก็มีขึ้น และเมื่อโรยรา แก่ชรา มันก็อันตรธานหายไป

          ดังนั้น... ถ้าหากว่ามนุษย์คือผู้สร้างอสุจิของตัวเอง ทำไมเขาจึงไม่รักษาอสุจิของเขาให้อยู่ต่อไป...?

          และทำไม...  หลายคนหลายคู่ สามีภรรยาที่ต้องการบุตรแต่กลับไม่ได้บุตรอย่างใจหมาย..? หากเขาเองเป็นผู้สร้างบุตร ทำไมทั้งๆ ที่ทุกคนต่างต้องการลูกที่น่ารัก จมูกโด่ง ตาแววหวาน ผมดกดำ ร่างสมส่วน หรือต้องการลูกชาย ลูกหญิง แต่เขากลับได้ในลักษณะรูปร่างหรือเพศที่เขาไม่ต้องการ และหากเขาเป็นผู้สร้างลูกของตัวเองจริง เขาก็สมควรเป็นผู้ควบคุม ความตายของลูก ดั่งที่เขาควบคุมการเกิด ลูกก็จะไม่แท้งหรือตาย นอกจากเป็นความประสงค์ของพ่อแม่...

 

         3. การเปลี่ยนแปลง.....  เครื่องบ่งชี้ถึงการเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง..สิ่งต่างๆที่เกิดการเปลี่ยแปลง แปรผัน จากสภาพหนึ่งกลายไปเป็นอีกสภาพหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่ได้เลือกหรือต้องการ นั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า เขาเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง ถูกบัญชา ถูกเสกสรรค์ ตามความต้องการของผู้สร้าง หรือ อัลลอฮ์

         มนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งรอบคอบ เราจะพบว่าเรานั้นถูกสร้าง ถูกควบคุม...

          .....จากสภาพที่เป็นแค่หยดอสุจิแล้วเปลี่ยนเป็นก้อนเลือด... กลายเป็นเนื้อและกระดูก จนกระทั่งมีอวัยวะครบถ้วนแล้วออกจากท้องแม่สู่โลกกว้างในที่สุด

        ปรากฏการเหล่านี้ เป็นหลักฐานที่ทุกคนต้องยอมรับว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นผู้พัฒนา ร่างกายของเขาโดยตัวเอง... เพราะหากเขาเป็นผู้พัฒนาร่างกายของเขาโดยตัวเองจริงในวัยที่เขามีความสมบูรณ์สุดขีดทั้งในด้านร่างกาย และจิตใจเขาก็คงจะสามารถสร้างอวัยวะใหม่ๆ หรือคิดดัดแปลงรูปทรงร่างกายให้เป็นไปตามความพอใจของเขาได้

         แต่...ไม่... ในวัยปัญญาชน เขายังไม่สามารถ แล้วนับประสาอะไรกับตอนที่เป็นเด็กไร้เดียงสา  มนุษย์จึงคงเพียงแค่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง จากสถาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสภาพที่เขาพอใจ เช่นการเปลี่ยนจากวัยเด็กมาเป็นวัยหนุ่มสาว และสภาพที่เขาไม่พอใจ เช่นการเปลี่ยนจากวัยผู้ใหญ่ที่แข็งแรง กลายเป็นวัยชราที่อ่อนแอ โดยที่เขาไม่มีอำนาจแม้แต่นิดเดียวที่จะกำหนดทิศทางพัฒนาการของร่างกายตัวเอง

        

พระเจ้า (อัลลอฮ์)  คือ  ผู้สร้างมนุษย์และพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของเขาตามความประสงค์ของพระองค์

 

 

ที่มาจาก"วารสาร อัด ดะวะฮ์"