มัสยิดนบี
  จำนวนคนเข้าชม  13311

  

 

มัสยิดนบี 


โดย : เชคอับดุลมัวะฮฺซิน  บินฮะมัด  อัลอับบาด  อับบัดร.


มีฮะดีษมากมายที่ระบุถึงความประเสริฐของมัสยิดนบี  ดังที่นบีมุฮัมมัด  กล่าวว่า

“ไม่ส่งเสริมให้เดินทางไปนอกจากยัง  3  มัสยิด  มัสยิดฮะรอม  มัสยิดของฉันนี้และมัสยิดอักซอ”

(บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)

         นครมะดีนะฮ์เป็นที่ตั้งของมัสยิดหนึ่งที่นบีมุฮัมมัด ได้สร้างขึ้น  ซึ่งท่านสนับสนุนให้เดินทางไปเยือน นอกจากนั้นยังมีฮะดีษที่ยืนยันถึงความประเสริฐในการละหมาดในมัสยิดนบี  เพราะการละหมาดในมัสยิดนบี แห่งนี้ หนึ่งละหมาดได้รับภาคผลเท่ากับ  1,000  ละหมาด  มากกว่าในการละหมาดที่มัสยิดอื่น  ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์   กล่าวว่า

“หนึ่งละหมาดในมัสยิดของฉันนี้ประเสริฐกว่าการละหมาดในมัสยิดอื่นถึง  1,000  ละหมาด  นอกจากมัสญิดฮะรอม”

(บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)

          นี่คือ  ความประเสริฐที่ยิ่งใหญ่  เป็นปรากฏการณ์หนึ่งจากการสะสมผลบุญสำหรับโลกอาคิเราะฮ์ และเป็นผลกำไรมากมายแบบเท่าทวีคูณ  มิใช่เป็นเพียง  10  ความดี หรือ  100  ความดี  แต่ทว่ามากกว่า  1,000  ความดี เป็นที่ทราบดีว่า  บรรดาผู้ประกอบการค้าในโลกนี้  เมื่อพวกเขารู้ว่าสินค้าเขาเป็นที่ต้องการในย่านหนึ่งในเวลาหนึ่ง  พวกเขาย่อมจะตระเตรียมสินค้าเพื่อจำหน่าย  แม้ว่าจะได้รับผลกำไรเพียงครึ่งหนึ่ง  หรือเพียงเท่าหนึ่งก็ตาม  แล้วพวกเขาจะคิดอย่างไร เมื่อผลกำไรในโลกอาคิเราะฮ์ไม่ใช่เพียง  10  เท่า  ไม่ใช่เพียง  100  เท่าหรือ  500  เท่าหรือ  600  เท่า  หากแต่ว่ามันมากกว่า  1,000  เท่า

 

สิ่งที่ควรคำนึงในการปฏิบัติอิบาดะฮ์ในมัสยิดนบี


         1.  ภาคผลของการละหมาดในมัสยิดนบี    เป็นเท่าทวีคูณมากกว่า  1,000  เท่า  โดยมิได้จำกัดเฉพาะละหมาดฟัรฏู  หากแต่รวมละหมาดซุนนะฮ์ด้วย  และมิได้จำกัดเฉพาะละหมาดซุนนะฮ์  หากแต่รวมละหมาดฟัรฏูด้วย  อีกนัยหนึ่งก็คือ  การละหมาดในมัสยิดนบี    ไม่ว่าจะเป็นละหมาดใด  ผู้ปฏิบัติจะได้รับการตอบแทนภาคผลมากกว่า  1,000  เท่า  เพราะท่านร่อซูล กล่าวว่า  “ศ่อลาตุน”  เป็นคำ  “นะกิเราะฮ์”  คือ มีความหมายไม่เจาะจงว่าเป็นละหมาดใด  ดังนั้น  การละหมาดฟัรฏูจะได้รับการตอบแทนภาคผลมากกว่า  1,000  เท่า  และเช่นเดียวกันการละหมาดซุนนะฮ์ก็จะได้รับการตอบแทนเช่นกัน

 

         2.  การตอบแทนภาคผลเป็นเท่าทวีคูณในฮะดีษ  ไม่เฉพาะแต่การละหมาดในส่วนที่เป็นมัสยิดที่นบีมุฮัมมัด    จะสว่างขึ้น  หากแต่รวมถึงส่วนขยายของมัสยิดหลังจากท่านร่อซูล  ด้วย หลักฐานเกี่ยวกับการนี้  คือ  คอลีฟะฮ์อุมัร  อิบนิ  ศ็อฏฏ็อบและคอลีฟะฮ์อุสมานอิบนิอัฟฟาน ได้ขยายพื้นที่ของมัสยิดทางด้านหน้า

         เป็นที่ทราบดีว่า  อิมามและแถวแรกที่เพิ่มขึ้นนั้น  อยู่นอกเขตมัสยิดของท่านนบี    ถ้าหากว่าการขยายของคอลีฟะฮฺทั้งสองเป็นส่วนเกินของมัสยิด  ท่านทั้งสองคงไม่ขยายด้านหน้าของมัสยิดอย่างแน่นอน  บรรดาศ่อฮาบะฮ์ของท่านร่อซูล    ขณะนั้นนั้นก็มีจำนวนมาก  ไม่มีผู้ใดคัดค้านการกระทำของค่อลีฟะฮ์ทั้งสองแม้แต่คนเดียว  นี่จึงเป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งว่า  การได้รับผลานิสงค์เป็นเท่าทวีคูณ  มิใช่เฉพาะแต่จุดที่เป็นส่วนมัสยิดที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์  สร้างเท่านั้นแต่ยังรวมถึงส่วนต่าง ๆ ของเขตมัสยิดทั้งหมดด้วย

 

         3.  ในมัสยิดนบี  มีจุดหนึ่งที่นบีมุฮัมมัด  กล่าวว่า  เป็นอุทยานหนึ่งจากบรรดาอุทยานแห่งสวรรค์ดังที่ท่านกล่าวว่า

“ระหว่างบ้านของฉันและมิมบัรของฉัน  คือ อุทยานหนึ่งจากอุทยานของสวรรค์”

(บันทึกโดย อัลบุคอรียฺและมุสลิม)

         การกำหนดจุดนี้ว่าเป็นอุทยานหนึ่งของสวรรค์โดยมิได้ระบุส่วนอื่นของมัสยิด  เป็นการยืนยันถึงความประเสริฐและจุดสำคัญเฉพาะของมัสยิดเพื่อการละหมาดซุนนะฮ์  การกล่าวซิกรุลลอฮ์ และการอ่านอัลกุรอาน  ณ  บริเวณนี้ เมื่อการกระทำดังกล่าวไม่เป็นการรบกวนและกีดขวางผู้ที่ต้องการเข้าไปอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ ในบริเวณนั้น ส่วนการละหมาดฟัรฏูการยืนละหมาดในแถวแรกถัดจากอิมามย่อมเป็นแถวที่ดีที่สุด  ดังคำพูดของท่านร่อซูลลอฮ์  กล่าวว่า

“แถวที่ดีที่สุดของผู้ชายคือแถวแรกและแถวที่เลวที่สุด  คือ  แถวสุดท้าย”

(บันทึกโดยมุสลิม)

ท่านร่อซูลุลลอฮ์    ก็กล่าวอีกว่า

“ถ้าหากว่า  คนทั้งหลายรู้ถึงความดีในการอาซานและแถวแรกแล้ว  พวกเขาจะได้พบสิ่งใดนอกจากการจับสลาก  พวกเขาก็จะจับสลากเพื่อการนั้น”

(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺและมุสลิม)

 

         4.  ถ้าหากว่าในมัสยิดเต็มไปด้วยผู้ละหมาด  ผู้มาที่หลังต้องละหมาดที่ถนน  โดยตามอิมามในมัสยิด  ใน  3  ด้าน นอกจากด้านหน้าอิมาม  เขาก็จะได้รับผลบุญเพียงละหมาดญามาอะฮ์เท่านั้น  ส่วนการได้รับภาคผลมากกว่า  1,000  เท่า  เฉพาะสำหรับผู้ที่ทำการละหมาดในมัสยิด ดังคำพูดของท่านร่อซูล   ที่ว่า

“ละหมาดในมัสยิดของฉันนี้ดีกว่า  1,000  ละหมาดในที่อื่น  นอกจากมัสยิดฮะรอม”

ดังนั้น  ผู้ใดที่ละหมาดบนถนน  มิได้ละหมาดในมัสยิดนบี  เขาจึงไม่ได้รับภาคผลเป็นเท่าทวีคูณ

 

         5.  คนจำนวนมากเข้าใจว่า  ผู้ใดที่เดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮ์  จำเป็นที่เขาจะต้องละหมาดให้ครบ  40  เวลา  ภายในมัสยิดของท่านร่อซูลุลลอฮ์   โดยมีหลักฐานจากฮะดีษ ซึ่งฮะดีษนี้เป็นฮะดีษที่อ่อนแอ  นำมาเป็นหลักฐานไม่ได้  ปรากฏอยู่ในหนังสือ  อัลมุสนัดของอิมามอะฮ์มัดจากท่านอนัส  จากท่านนบี  กล่าวว่า

“ใครที่ละหมาดในมัสยิดของฉัน  40  เวลา  โดยไม่พลาดแม้จะเวลาเดียว  จะถูกบันทึกให้เขาพ้นจากไฟนรก  ปลอดภัยจากการลงโทษและบริสุทธิ์จากการบิดพลิ้ว”

        ความจริงแล้วไม่มีการเจาะจงการละหมาด  ผู้ที่เดินทางไปนครมะดีนะฮ์ไม่จำเป็นจะต้องกำหนดการละหมาดในจำนวนที่แน่นอนในมัสยิดนบี   หากแต่ว่าทุกละหมาดในมัสยิดนบีดีกว่าละหมาดในมัสยิดอื่นมากกว่า  1,000  เท่า  โดยมิได้กำหนดหรือตั้งเงื่อนไขในการละหมาดเป็นการเฉพาะ

 

         6.  บรรดามุสลิมในประเทศอิสลามหลายประเทศ  ได้ถูกทดสอบด้วยการสร้างมัสยิดบนกุบูร  หรือฝังมัยยิตใต้มัสยิด  บางคนได้ยึดทัศนะเช่นนี้  เนื่องจากเห็นกุบูรของท่านนบี   อยู่ภายในมัสยิด  เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อสิ่งคลุมเครือนี้ กล่าวคือ 

         นบีมุฮัมมัด  ได้สร้างมัสยิดทันทีที่ได้เดินทางไปถึงนครมะดีนะฮ์ และได้สร้างบ้านของท่าน  โดยปันที่ของบรรดาอุมมะฮาตุลมุมินีน  ผู้เป็นภรรยาของท่านที่ด้านข้างมัสยิด  หนึ่งในจำนวนนี้ได้แก่  บ้านพักของท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา  ซึ่งเป็นสถานที่ฝังมัยยิตของท่านร่อซูลุลลอฮฺ  บรรดาบ้านเหล่านี้อยู่นอกเขตมัสยิดของท่านนบีมุฮัมมัด   ในสมัยของคอลีฟะฮ์ ทั้งสี่ผู้เปรื่องปราด  สมัยของท่านมุอาวียะฮ์  อิบนิ  อบีซุฟยาน   และในสมัยของคอลีฟะฮ์แห่งอาณาจักรอะมะวียะฮ์  หลังจากท่าน 

         แต่ในยุคต่อมาของคอลีฟะฮ์อาณาจักรอะมะวียะฮ์  ได้มีการขยายมัสยิดนบี  ได้มีการผนวกพื้นที่ซึ่งแต่ก่อนเป็นบ้านของบรรดาอุมมะฮาตุลมุมินีน  ภรรยาของท่านร่อซูล  เข้ารวมอยู่ในเขตมัสยิดนบี    ด้วย  จึงทำให้บ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา  ซึ่งเป็นกุบูรของนบีมุฮัมมัด  เข้าอยู่ในมัสยิดของท่านนบี   มีฮะดีษ  จำนวนมากจากท่านนบี  ซึ่งมีความชัดเจน  ไม่ถูกยกเลิกบ่งชี้ว่า  ห้ามมิให้เอาสถานที่กุบูรทำเป็นมัสยิด  หนึ่งในฮะดีษดังกล่าวได้แก่  ฮะดีษซึ่งรายงานโดย  ญุนดุบ  อิบนิ  อับดิลลาฮิ  อัลบะญาลีย์  ซึ่งท่านได้ฟังจากท่านร่อซูลุลลอฮ์  ก่อนที่ท่านร่อซูล  จะวะฟาต  (สิ้นชีวิต)  5  คืน  ท่านกล่าวว่า  ฉันได้ยินท่านร่อซูลลุลลอฮ์  ก่อนที่ท่านจะวะฟาตเป็นเวลา  5  คืน  กล่าวว่า

 

          “แท้จริงฉันแสดงความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ์ ในการที่ฉันจะมีผู้ใกล้ชิดจากพวกท่าน  แท้จริง  อัลลอฮ์ทรงคัดเลือกฉันเป็นผู้ใกล้ชิดพระองค์  ดังที่พระองค์ทรงคัดเลือกอิบรอฮีมเป็นผู้ใกล้ชิดพระองค์  และถ้าหากว่าฉันจะคัดเลือกผู้ใกล้ชิดจากประชาชาติของฉัน  ฉันก็จะคัดเลือกอบูบักรเป็นผู้ใกล้ชิด  พึงรู้เถิดว่าแท้จริงบรรดา  (ประชาชาติ)  ก่อนพวกท่าน  พวกเขาได้ยึดเอากุบูรของบรรดานบี  และบรรดาคนซอและฮ์ของพวกเขาเป็นมัสยิด  แท้จริงฉันห้ามท่านทั้งหลายเกี่ยวกับการนี้

(บันทึกโดย มุสลิม  ในหนังสือ ศ่อเฮี๊ยะฮฺของท่าน)

          ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อท่านนบี  ใกล้จะถึงวะฟาต  ท่านได้เตือนมิให้ยึดเอากุบูรทำเป็นมัสยิด  ดังปรากฏในหนังสือ  ศ่อเฮี๊ยะฮฺอัลบุคอรียฺและมุสลิม  จากท่านหญิงอาอิชะฮ์   และท่านอิบนิอับบาส   กล่าวว่า  เมื่อท่านร่อซูลุลลอฮ์  ใกล้จะถึงวะฟาต  ท่านได้เอาผ้าปิดหน้าของท่าน  และเมื่อท่านอยู่ในวาระสุดท้าย  ท่านได้เปิดผ้าออกจากใบหน้าของท่านแล้วกล่าวว่า

“อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งชาวยิวและคริสเตียน  พวกเขายึดเอากุบูรของบรรดานบีของพวกเขาเป็นมัสยิด” 

 

         ท่านได้เตือนสิ่งที่พวกเขาทำ บรรดาฮะดีษซึ่งรายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮ์ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา  และอิบนิอับบาสและญุนดุบ    มีความชัดเจน  ไม่ยอมรับการยกเลิก  ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใดก็ตาม  เพราะว่าฮะดีษของญุนดุบ  อยู่ในวันช่วงชีวิตสุดท้ายของท่านนบี  ฮะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮฺ  และอิบนิอับบาส  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา   อยู่ในช่วงชีวิตสุดท้ายของท่านนบี  จึงไม่อนุญาตให้แก่คนหนึ่งคนใดจากบรรดามุสลิม  ส่วนบุคคล หรือหมู่คณะ ละทิ้งบรรดาฮะดีษที่ถูกต้องชัดเจน  และการยึดเอาการกระทำที่เกิดขึ้นในยุคของอาณาจักรอะมะวียะฮ์  โดยผนวกเอากุบูรของท่านนบี  เข้าเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดนบี  เป็นหลักฐานว่า  อนุญาตให้สร้างมัสยิดบนกุบูรหรือฝังมัยยิตในมัสยิด  การอ้างหลักฐานเช่นนี้ไม่ถูกต้องและใช้ไม่ได้

 

 

 


แปลและเรียบเรียงโดย  อาจารย์มูนีร  มูฮัมมัด

ที่มา : อัลอิศลาห์สมาคม