วิธีที่จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺ 2
  จำนวนคนเข้าชม  3016


วิธีที่จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺ 2


 

นำเสนอโดย มาลิก โยธาสมุทร

 

จากข้อเขียนของ เชค อับดุลลอฮฺ บิน ญารุลลอฮฺ บิน อิบรอฮีม อาล ญารุลลอฮฺ สอุดิอาระเบีย

          แท้จริง ผู้ที่ทรงแจ้งให้ทราบว่าจะเกิดฟิตนะฮฺขึ้นในยุคสุดท้าย ยังได้ทรงชี้แนะถึงวิธีที่จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺดังกล่าว
 

     6. สิ่งที่จะทำให้รอดพ้นจากฟิตนะฮฺ ก็คือ การขอความคุ้มครองต่อัลลอฮฺ ท่านนบี  กล่าวว่า
 

(( تَعَوَّذُوا بِاللهِ مِنَ الفِتَنِ مَا ظَهَرَ مِنْهَا وَماَ بَطَنَ )) رواه مسلم
 

“ท่านทั้งหลาย จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ให้พ้นจากฟิตนะฮฺที่ปรากฏขึ้น และสิ่งที่ปกปิดอยู่ ไม่เปิดเผย” 
 

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

ท่านนบี  กล่าวว่า

          “ฉันเห็นพระเจ้าของฉันในรูปที่สวยงามที่สุด คือในฝันเห็นว่ามีเสียงกล่าวว่า "โอ้ มุฮัมมัด เมื่อเจ้าละหมาด ก็จงกล่าวว่า ข้าแต่อัลลอฮฺ แท้จริง ข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ให้ได้กระทำความดี และละทิ้งสิ่งไม่ดี ไม่งามทั้งหลาย ให้รักคนยากจน และให้พระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ และทรงเอ็นดูเมตตาต่อ ข้าพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทดสอบให้บ่าวของพระองค์ประสบพบกับฟิตนะฮฺ ก็ขอให้พระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปยังพระองค์ โดยไม่ต้องถูกฟิตนะฮฺด้วยเถิด”

(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์)

ท่านนบี อะลัยฮิซซอลาตุวัสลาม กล่าวว่า

          เมื่อคนหนึ่งคนใดในพวกท่าน นั่งตะชะฮฺฮุด ก็จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ สี่ประการ คือ ให้กล่าวว่า "ข้าแต่อัลลอฮฺ แท้จริง ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากการลงโทษในนรกญะฮันนัม ให้พ้นจากการลงโทษในกุบู๊ร ให้พ้นจากฟิตนะฮฺ ขณะยังมีชีวิตอยู่ และขณะเสียชีวิต และให้พ้นจากฟิตนะฮฺของมะซีฮิดดัจญาล” 

(บันทึกโดย อิมาม บุคอรีย์ และอิมาม มุสลิม)

          ผู้ใดที่ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พ้นจากสี่ประการนี้ ก็เท่ากับเขาได้ขอความคุ้มครอง ให้พ้นจากความชั่วร้ายทุกชนิด เพราะ ดังกล่าวนี้เป็นพื้นฐานของฟิตนะฮฺทั้งมวล

         เราวอนขอด้วยพระนามอันสวยงามของอัลลอฮฺ อันสูงส่ง และพระลักษณคุณอันสูงส่ง ให้ทรงช่วยเหลือคุ้มครองเรา และให้เรารอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺทั้งปวงทั้งที่ปรากฏชัด และที่ไม่ปรากฏชัด ด้วยเถิด



     7. สิ่งที่จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺ อีกประการหนึ่งก็คือ การ “ตะวักกัลป์” ต่ออัลลอฮฺ โดยมุ่งมั่นต่อพระองค์เพียงองค์เดียว ในการให้ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ และขจัดสิ่งที่เป็นโทษ เป็นพิษ เป็นภัย ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

“และผู้ใดมอบหมายต่ออัลลอฮฺ ดังนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นที่พอเพียงแล้วสำหรับเขา”

(อัฏฏอล๊าก 65 : 3)

ผู้ใดที่อัลลอฮฺเป็นที่พอเพียงสำหรับเขา และปกป้องคุ้มครองป้องกันเขา ก็จะไม่เกิดการเป็นศัตรูกัน

         มีรายงานจาก อิบนิ อับบ๊าส กล่าวว่า ถ้อยคำที่ว่า (حَسْبُنَا اللهُ وَنِعْمَ الوَكِيْل) “อัลลอฮฺนั้น ทรงเป็นที่พอเพียงสำหรับเราแล้ว และทรงเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม” นั้น ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลามได้กล่าวถ้อยคำดังกล่าว ขณะถูกโยนลงสู่กองไฟ และท่านนบีมุฮัมมัด  กล่าวถ้อยคำดังกล่าว ขณะที่มีผู้กล่าวกับท่านว่า

          “แท้จริง ผู้คนได้รวมตัวกัน เพื่อจะเล่นงานพวกท่าน ดังนั้น จงกลัวพวกเขาเถิด แต่กลับยิ่งเพิ่มการศรัทธาให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น และพวกเขาก็กล่าวว่า อัลลอฮฺนั้น ทรงเป็นที่พอเพียงสำหรับเราแล้ว และทรงเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม”

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมาม อันนะซาอีย์)

          ดังกล่าวนี้ นับเป็นภาคผลแห่งความประเสริฐของถ้อยคำอันยิ่งใหญ่ และเป็นถ้อยคำของ “อัลคอลีล”ทั้งสองท่าน คือ ท่านนบีอิบรอฮีม และท่านนบีมุฮัมมัด อะลัยฮิมัซซอลาตุวัสลาม ขณะอยู่ในภาวะวิกฤติที่ว่า

(( حَسْبُنَا اللهُ وَنِعْمَ الوَكِيْلِ وَعَلىَ اللهِ تَوَكَّلْنَا ))

“อัลลอฮฺนั้น เป็นที่พอเพียงสำหรับเราแล้ว และทรงเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม และยังอัลลอฮฺเท่านั้น ที่เรามอบหมาย”



     8. สิ่งที่จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺอีกประการหนึ่งก็คือ การใช้กันให้ทำความดี ตามที่อัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ใช้ และการห้ามปรามกันมิให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม (มุนกัร) ตามที่อัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ห้าม ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ว่า


“ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนด้วยกับสิ่งนั้น

ราก็ได้ช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ได้ห้ามปราม มิให้กระทำความชั่วให้ได้รอดพ้น”

(อัลอะอฺร็อฟ 7 : 165)

          และนี่ก็คือ แนวทางของอัลลอฮฺที่มีต่อบรรดาบ่าวของพระองค์ เพราะ แท้จริง การลงโทษนั้น เมื่อลงมาแล้ว ผู้ที่จะรอดพ้นปลอดภัยก็คือ บรรดาผู้ที่กำชับใช้ให้ทำสิ่งที่ดีงาม และหักห้ามปรามกันมิให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเท่านั้นนั่นเองด้วยเหตุนี้ การใช้กันให้ทำความดี และการห้ามปรามกันมิให้ทำสิ่งที่ไม่ดี จึงเปรียบเสมือนสำเภาแห่งความรอดพ้น ( سفينة النجاة ) ให้แก่ผู้โดยสาร และทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากความพินาศล่มจมของผู้คนนั่นเอง ดังที่ท่านร่อซูล  ได้ยกตัวอย่างในเรื่องดังกล่าวว่า

          “อุปมา ผู้ที่มีหน้าที่ดำรงรักษาขอบเขตของอัลลอฮฺ มิให้มีการละเมิดฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และขจัดสิ่งที่เลวร้ายให้หมดสิ้นไป เพื่อความสงบสุขของสังคมนั้น อุปไมย ดังชนกลุ่มหนึ่งที่โดยสารอยู่ในเรือเดินสมุทรลำหนึ่ง บางคนก็อยู่ที่ดาดฟ้าชั้นบนของเรือ บางคนก็อยู่ด้านล่างใต้ท้องเรือ เมื่อผู้ที่อยู่ทางด้านล่าง ใต้ท้องเรือต้องการที่จะใช้น้ำ พวกเขาก็ต้องเดินผ่านผู้ที่อยู่ทางด้านบนของเรือ


          ดังนั้น พวกเขาจึงพูดขึ้นว่า แท้จริง หากเราเจาะพื้นเรือ เฉพาะส่วนที่เราอยู่ ก็จะไม่ทำให้พวกที่อยู่ด้านบนเรือต้องมาเดือนร้อนรำคาญกับพวกเราไปด้วย ! ดังนั้น หากพวกที่อยู่ทางด้านบนของเรือ ปล่อยให้พวกที่อยู่ทางด้านล่างของเรือทำเช่นนั้น พวกเขาต้องพินาศจมน้ำตายกันทั้งหมด และหากพวกเขาหักห้ามปรามมิให้พวกนั้นกระทำตามที่พวกเขา นึกคิด หรือต้องการ พวกเขาทั้งหมดก็จะรอดพ้นปลอดภัยกันทั้งลำนั่นเอง”

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์)

มีรายงานจากท่านอบีบักรฺ อัซซิดดี๊ก แจ้งว่า ท่านได้กล่าวว่า โอ้ ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านได้อ่านอายะฮฺต่อไปนี้ที่ว่า

“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาแล้วทั้งหลาย จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องป้องกันตัวของพวกเจ้า

สำหรับผู้ที่หลงผิดไปแล้วนั้น จะไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าได้แต่อย่างใด

เมื่อพวกเจ้าได้รับการชี้นำสู่หนทางอันเที่ยงตรงแล้ว”

(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 105)

แท้จริง ฉันได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮฺ  กล่าวว่า

“แท้จริง คนเรานั้นเมื่อเขาเห็นการก่ออธรรม แล้วเขาไม่เข้าไปจัดการหักห้ามขัดขวางขจัดเสีย

ฉันกลัวเหลือเกินว่า อัลลอฮฺจะทรงจัดการลงโทษพวกเขากันทั้งหมด”

(บันทึกโดย อบูดาวู๊ด อัตติรมิซีย์ อันนะซาอีย์ ด้วยสายรายงานที่ ซอฮี๊ฮฺ)



     9. สิ่งที่จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺอีกประการหนึ่งก็คือ การยึดมั่นอยู่กับคัมภีร์อัลกุรอาน อันทรงเกียรติ และซุนนะฮฺของท่านนบี  อันสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งทางด้านวิชาการ การประพฤติปฏิบัติ และหลักเชื่อมั่น และทำหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนไปสู่สิ่งดังกล่าว ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า


“และบรรดาผู้ที่ยึดมั่นต่อคัมภีร์อัลกุรอาน และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด

แท้จริง เราจะไม่ทำให้รางวัลของบรรดาผู้ทำหน้าที่ปรับปรุงแก้ไข ฟื้นฟูให้ดี ต้องสูญสลายหายไปไหนเลย” 

(อัลอะอฺรอฟ 7 : 170)

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

“แท้จริง แสงสว่าง รัศมีจากอัลลอฮฺ และคัมภีร์อันชัดแจ้ง จาก (พระองค์)

อัลลอฮฺได้มายังพวกเจ้าแล้ว อัลลอฮฺจะทรงนำทางผู้ที่ปฏิบัติตามคัมภีร์นั้น

ตามความพึงพอพระทัยของพระองค์ ไปสู่หนทางแห่งความสันติสุข

และจะทรงให้พวกเขาออกจากบรรดาความมืด ไปสู่ความสว่าง ด้วยอนุมัติของพระองค์

และจะทรงชี้นำพวกเขาไปสู่หนทางอันเที่ยงตรง”

(อัลมาอิดะฮฺ 5 : 15-16)

          อัลกุรอาน เปรียบเสมือนรัศมี หรือแสงสว่าง ที่ส่องแสงขึ้นมา ท่ามกลางบรรดาความมืดแห่งความโง่เขลา เป็นการจำแนกระหว่างหนทางที่ถูกต้อง ออกจากหนทางที่หลงผิด สิ่งที่เป็นโทษ ไร้ค่า เป็นพิษเป็นภัยกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ ระหว่างสิ่งที่เป็นที่อนุมัติ (ฮะล้าล) และสิ่งอันเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม)

          แท้จริง อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง จะทรงนำทางผู้ที่ปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกุรอานด้วยความพึงพอพระทัยของพระองค์ ด้วยการกระทำการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ และละทิ้งการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนพระองค์ ไปสู่หนทางแห่งความสันติสุขทั้งในเรื่องของศาสนา และโลกดุนยา และนำพวกเขาออกจากความมืดมิด แห่งการตั้งภาคี (ชิริก) และการปฏิเสธศรัทธา (กุฟรฺ) และความโง่เขลา (อัลญะฮ์ล) ไปสู่แสงสว่างแห่งการเตาว์ฮีด การศรัทธา และวิทยาการ และนำพวกเขาไปสู่หนทางอันเที่ยงตรง นั่นก็คือ การรู้จักความจริง และการปฏิบัติตามความจริง อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

“โอ้ มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริง ข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกเจ้าได้มายังพวกเจ้าแล้ว

เป็นการบำบัดรักษาสิ่งที่อยู่ในบรรดาหัวอกทั้งหลาย เป็นการชี้นำสู่หนทางอันเที่ยงตรง

และเป็นความเอ็นดูเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย”

(ยูนุส 10 : 57)

อัลกุรอานประกอบไปด้วย 3 ลักษณะด้วยกันคือ

     1. เป็นการตักเตือนพวกเราจากพระเจ้าของเราในเรื่องของสัญญาดี และสัญญาร้าย และภาคผล ผู้ที่เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนพระองค์

     2. เป็นการบำบัดรักษาสิ่งที่อยู่ในบรรดาหัวอกทั้งหลาย จากโรคของการสงสัย (ชุบุฮ๊าต) และความใคร่ใฝ่ต่ำ (อัชชะฮะว๊าต)

     3. เป็นการชี้นำผู้ที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ และเป็นความเอ็นดูเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย

ขออัลลอฮฺ ทรงเอ็นดูเมตตาผู้ที่อ่านอัลกุรอาน พินิจพิจารณา ใคร่ครวญความหมายของอัลกุรอาน และปฏิบัติตามอัลกุรอานด้วยเทอญ

          ผู้ใดที่ดำรงมั่นอยู่กับลักษณะต่างๆของอัลกุรอาน ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ จะทำให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺ ด้วยกับการปฏิบัติตามอัลกุรอาน ตัดสินชี้ขาด ตามอัลกุรอาน ตามข้อใช้ และข้อห้ามของอัลกุรอาน

     มีรายงานจาก อิบนิ อับบ๊าส แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้กล่าวคุฏบะฮฺแก่ประชาชนในครั้งฮัจญะตุลวะด๊าอฺ ว่า

          “แท้จริง ชัญฏอนนั้นหมดหวังที่จะได้รับการเคารพภักดีในแผ่นดินของพวกท่านเสียแล้ว แต่ทว่ามันพึงพอใจที่มีผู้เชื่อฟังปฏิบัติตามมันในด้านอื่นๆ ในการกระทำของพวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงระวังเอาไว้ให้ดี แท้จริง ฉันได้ทิ้งไว้ให้กับพวกท่าน หากพวกท่านยึดมั่นในทั้งสองสิ่งดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีวันที่ พวกท่านจะหลงทางเป็นอันขาด นั่นก็คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และซุนนะฮฺของนบีของพระองค์”

(บันทึกโดย อัลฮากิม)

     มีรายงานจากอบี ชุร็อยฮฺ อัลคอซาอีย์ แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ  ได้ออกมานั่งกับพวกเรา แล้วกล่าวว่า

     “พวกท่านกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริง ฉันนั้นเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺมิใช่หรือ ?

     พวกเขากล่าวว่า ใช่แล้วครับ พวกเรากล่าวปฏิญาณเช่นนั้น

     ท่านนบี  จึงกล่าวว่า อัลกุรอานนั้น ด้านหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอีกด้านหนึ่งอยู่ในมือของพวกท่าน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงยึด อัลกุรอานไว้ให้มั่น เพราะแท้จริง ไม่มีวันที่พวกท่านจะหลงผิดเป็นอันขาด และไม่มีวันที่พวกท่านจะพบกับความพินาศเป็นอันขาด หากพวกท่านยึดมั่นอยู่กับอัลกุรอาน”

(บันทึกโดย อัฏฏ็อบรอนีย์ ในหนังสือ อัลกะบี๊ร ด้วยสายสืบที่ดี)

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

“ดังนั้น ผู้ใดที่ปฏิบัติตามแนวทางอันเที่ยงตรงของข้า

ดังนั้น เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้พบกับความยากลำบากใดๆ”

(ฏอฮา 20 : 123)

          อิบนิ อับบ๊าส กล่าวว่า "อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงค้ำประกัน ผู้ที่อ่านอัลกุรอาน และปฏิบัติตามอัลกุรอาน ว่า เขาจะไม่หลงทาง ทั้งในโลกดุนยา และจะไม่พบกับความยากลำบากใดๆในโลกอาคิเราะฮฺ"

          และดังกล่าวนี้ เป็นการคุ้มครองให้รอดพ้นปลอดภัยจากฟิตนะฮฺนั่นเอง และอัลลอฮฺนั้น ทรงเป็น ผู้คุ้มครอง และเป็นผู้ประทานความสำเร็จ



وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين