การขอดุอาหรือขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ถือเป็นอิบาดะหฺที่ยิ่งใหญ่
  จำนวนคนเข้าชม  13965


การขอดุอาหรือขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ถือเป็นอิบาดะหฺที่ยิ่งใหญ่
 

แปลเรียบเรียง อับดุลบารีย์ นาปาเลน

 

          การขอดุอาหรือการขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์  เป็นการนอบน้อมสักการะและการแสดงออกถึงความต่ำต้อย แสดงออกถึงความยากจนและความอ่อนแอ จึงไม่อนุญาติของจากสิ่งอื่นนอกจากพระองค์เท่านั้น

          ด้วยกับการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์  และเป็นการปฏิบัติตามอัลกุรอ่านและฮาดิษที่ซอเฮี๊ยะ ที่การขอดุอาอฺ หรือการขอวิงวอนจำเป็นจะต้องขอจากอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว

          การขอดุอาจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น มันก็คือสิ่งเร้นลับ และไม่มีใครรู้สิ่งเร้นลับใดๆได้นอกจากอัลลอฮ์  เท่านั้น 
 

"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากอัลลอฮ์

และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อใดพวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ”

( อัน-นัมล์ - Aya 65)

แม้กระทั้งท่านนบี  เองมิได้มีความสามารถที่จะรู้สิ่งเริ้นลับต่างๆได้ เว้นแต่ด้วยกับการลงมาด้วยวะหฺยูเท่านั้น

"พระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใด"

(อัล-ญิน - Aya 26) 

"นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงยินดีจากรอซูล ดังนั้นพระองค์จะทรงส่งผู้พิทักษ์เฝ้าดูแลข้างหน้าและข้างหลังเขา"

(อัล-ญิน - Aya 27)

และพระองค์ยังได้สั่งให้ท่านนบี  กล่าวว่า 

          “จงกล่าวเถิดว่า (มุอัมมัด) ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใด ๆ และโทษใด ๆ ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันได้ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น และหากฉันเป็นผู้ที่รู้สิ่งเร้นลับแล้ว แน่นอนฉันก็ย่อมกอบโกยสิ่งที่ดีไว้ มากมายแล้ว และความชั่วร้ายก็ย่อมไม่ต้องฉันได้ ฉันมิใช้ใครอื่น นอกจากผู้ตักเตือนและผู้ประกาศข่าวดีแก่กลุ่มชนที่ศรัทธาเท่านั้น”

(อัล-อะอฺรอฟ - Aya 188)

 

การขอดุอาต่ออัลลอฮ์  มันคือสิ่งเร้นลับที่พระองค์เท่านั้นทรงรอบรู้และทรงได้ยิน

"ที่โน่นแหละ ซะกะรียาได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดได้ประทานแก่ข้าพระองค์ซึ่งบุตรที่ดีคนหนึ่งจากที่พระองค์

แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำวิงวอน"

(อาล อิมรอน - Aya 38)

พระองค์ได้สั่งใช้ปวงบ่าวให้ขอจากพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นในหลายๆโองการ เช่น พระองค์ตรัสความว่า

"และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข่า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า

ส่วนบรรดาผู้โอหังต่อการเคารพภักดีข้านั้น จะเข้าไปอยู่ในนรกอย่างต่ำต้อย"

(ฆอฟิร - Aya 60)

และพระองค์ตรัสความว่า

"และแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ"

(อัล-ญิน - Aya 18)

"และว่าแท้จริงเมื่อบ่าวของอัลลอฮฺ (มุฮัมมัด) ยืนขึ้นกล่าววิงวอนขอต่อพระองค์พวกเขา (ญิน) ก็ได้ห้อมล้อมเขาอย่างหนาแน่น"

(อัล-ญิน - Aya 19)

"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ว่า แท้จริงฉันวิงวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน และฉันจะมิตั้งผู้ใดเป็นภาคีต่อพระองค์"

(อัล-ญิน - Aya 20)

"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า แท้จริงฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่พวกท่าน"

(อัล-ญิน - Aya 21) 

"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ไม่มีผู้ใดจะคุ้มครองฉันให้พ้นจาก (การลงโทษของ) อัลลอฮฺได้ และฉันจะไม่พบที่พึ่งอันใดอื่นจากพระองค์เลย"

(อัล-ญิน - Aya 22)

"เว้นแต่ฉันจะเผยแผ่ (สิ่งที่ได้รับ) จากอัลลอฮฺ และสาส์นของพระองค์

และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ แท้จริงสำหรับเขานั้นคือไฟนรก เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล"

(อัล-ญิน - Aya 23)

 และตรัสอีกความว่า 

          "หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น และทรงทำให้พวกเจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ อีกหรือ ? ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ” 

(อัน-นัมล์ - Aya 62)

 

          ส่วนการขอดุอาจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์  ถือได้สิ่งนั้นมาเป็นภาคีต่อพระองค์ เป็นชีริกใหญ่ในการกร้าบใหว้ ที่ยกพวกเขาเหล่านั้นมาเสมอเหมือนกับพระองค์ในการเป็นเจ้าและอำนาจ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งถูกสร้างที่อ่อนแอ ไม่สามารถให้คุณหรือให้โทษต่อผู้ใดได้

 

"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกท่านจงวิงวอนต่อบรรดาที่พวกท่านอ้าง (ว่าเป็นพระเจ้า) อื่นจากอัลลอฮฺ

พวกมันมิได้ครอบครองแม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และพวกมันมิได้มีหุ้นส่วนในทั้งสองนั้น

และสำหรับพระองค์นั้นมิได้มีผู้ช่วยเหลือมาจากพวกมัน"

(สะบะอ์ - Aya 22)

พระองค์ได้ทรงห้ามขอดุอาอฺจากสิ่งอื่นในหลายๆโองการด้วยกัน เช่น

"และเจ้าอย่าวิงวอนสิ่งใดอื่นจากอัลลอฮ์ที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่เจ้า และไม่ให้โทษแก่เจ้า

และหากเจ้ากระทำเช่นนั้น แท้จริงเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม" 

(ยูนุส - Aya 106) 

          "และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัย ประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดปลดเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์จะทรงให้มันประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์จะเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ" 

(ยูนุส - Aya 107)

และตรัสความว่า

"ดังนั้นเจ้าอย่าได้วิงวอนพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮ์ มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ถูกลงโทษ"

 (อัช-ชุอะรออ์ - Aya 213)

และได้ตรัสเกี่ยวกับผู้ที่ขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์  ว่าพวกเขานั้นคือผู้ที่หลงผิด

          "และใครเล่าจะหลงทางมากยิ่งไปกว่าผู้ที่วิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺที่มันจะไม่ตอบรับ (การวิงวอนของ) เขาจนถึงวันกิยามะฮฺ และพวกมันยังเฉยเมย(ไม่ได้รู้)ต่อการวิงวอนขอของพวกเขา" 

(อัล-อะห์กอฟ - Aya 5)

"และเมื่อมนุษย์ถูกรวมให้มาชุมนุมกัน พวกมันจะเป็นศัตรูกับพวกเขาและจะเป็นผู้ปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา"

(อัล-อะห์กอฟ - Aya 6)

และตรัสความว่า

          "และผู้ใดวิงวอนขอพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ โดยไม่มีหลักฐาน(ทางนำ)พิสูจน์แก่เขาในการนี้ แท้จริงการคิดบัญชีของเขาอยู่ที่พระเจ้าของเขา แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบความสำเร็จ"

(อัล-มุอ์มินูน - Aya 117)

และอัลลอฮได้ทรงตรัสถึงการขอดุอาจากสิ่งอื่นนั้นคือการตั้งภาคีต่อพระองค์ 

"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ ?

หากการลงโทษของอัลลอฮ์ มายังพวกท่าน หรือวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกท่าน

อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือที่พวกท่านจะวิงวอนขอหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง"

(อัล-อันอาม - Aya 40)

          "มิได้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น"

(อัล-อันอาม - Aya 41)

และตรัสความว่า

          "จงกล่าวเถิด(มุอัมมัด)ว่า ใครเล่าจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบรรดาความมืดของทางบก และทางทะเล โดยที่พวกเจ้าวิงวอนขอต่อเขาด้วยความนอบน้อม และแผ่วเบาว่า ถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้ว แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้กตัญญูรู้คุณ"

 (อัล-อันอาม - Aya 63)

"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์จะช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากมัน และพ้นจากความทุกข์ยากทั้งมวล

แต่แล้วพวกท่านก็ให้มีภาคีขึ้นอีก(ต่อพระองค์)"

 (อัล-อันอาม - Aya 64)

และตรัสความว่า

          "ดังนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นขี่เรือ พวกเขาวิงวอนต่ออัลลอฮ์เป็นผู้บริสุทธิ์ใจในการขอพรต่อพระองค์ ครั้นเมื่อพระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้ขึ้นบกแล้ว พวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์อีก"

(อัล-อันกะบูต - Aya 65)

"เพื่อพวกเขาจะเนรคุณต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้หลงระเริงแล้วพวกเขาก็จะได้รู้กัน"

(อัล-อันกะบูต - Aya 66)

และตรัสความว่า

          "พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์ (แก่มนุษย์) ทุกสิ่ง(เหล่านั้น)จะโคจรไปตามวาระที่ได้กำหนดไว้ นั่นคือ อัลลอฮฺพระเจ้าของพวกเจ้า อำนาจการปกครองทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และสิ่งที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้นพวกมันมิได้ครอบครองสิ่งใดแม้แต่เยื่อบางหุ้มเมล็ดอินทผลัม"

(ฟาฏิร - Aya 13)

          "หากพวกเจ้าวิงวอนขอพวกมัน พวกมันจะไม่ได้ยินการวิงวอนขอ ของพวกเจ้า ถึงแม้พวกมันได้ยินพวกมันก็จะไม่ตอบรับพวกเจ้า และในวันกิยามะฮฺพวกมันจะปฏิเสธการตั้งภาคีของพวกเจ้า และไม่มีผู้ใดแจ้งแก่เจ้าได้นอกจากพระผู้ทรงรอบรู้ ตระหนักยิ่ง"

(ฟาฏิร - Aya 14)

และตรัสถึงผู้ที่ขอวิงวอนจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์  นั้นจะเป็นเหตุให้ลงในนรก

"และเมื่อทุกขภัยใด ๆ ประสบแก่มนุษย์ เขาก็จะวิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาเป็นผู้หันหน้าเข้าสู่พระองค์อย่างนอบน้อม

ครั้นเมื่อพระองค์ทรงประทานความโปรดปรานจากพระองค์ให้แก่เขา เขาก็ลืมสิ่งที่เขาได้เคยวิงวอนขอต่อพระองค์มาแต่ก่อน

และเขาได้ตั้งภาคีคู่เคียงกับอัลลอฮฺเพื่อให้หลงจากทางของอัลลอฮฺ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ท่านจงร่าเริงเพียงระยะหนึ่งต่อการปฏิเสธของท่านเถิด แท้จริงท่านนั้นอยู่ในหมู่ชาวนรก"

(อัซ-ซุมัร - Aya 8)

          ขอจากอัลลอฮ์  ให้เราทุกคนเป็นผู้ให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์  ในการเป็นเจ้า มีความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ และขอคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการตั้งสิ่งอื่นมาเป็นภาคีต่อพระองค์ (อามีน)

 

https://www.youtube.com/watch?v=ZcXnv8KOITI