การใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และการได้รับบทเรียนจากกาลเวลา
  จำนวนคนเข้าชม  5143


การใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และการได้รับบทเรียนจากกาลเวลา

 

โดย .อิมรอน มะกูดี ร่อหิมะฮุลลอฮฺ 

 

          ทุกสิ่งที่สูญหายไปท่านอาจจะเอากลับคืนมาได้ แต่สำหรับเวลาแล้ว ไม่มีทางที่จะเอากลับมาได้เลย ด้วยเหตุนี้ เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่มนุษย์ผู้มีเหตุผลย่อมจะต้อนรับวันใหม่ เสมือนกับบุคคลที่ตระหนี่ถี่เหนียวได้รับทรัพย์สินที่มีค่ามากมาย เขาจะไม่บกพร่องในการใช้ทรัพย์สิน หรือสุรุ่ยสุร่ายกับทรัพย์สิน แม้แต่เพียงเล็กน้อย เขาจะขวนขวายพยายามทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้

 

         ในเมื่อบางคนรู้สึกว่ามีเวลา แล้วกลับไปพิจารณาถึงเบื้องหลังก็จะเป็นที่ประจักษ์แก่เขา ซึ่งยามที่เขาได้เริ่มต้นดำเนินชีวิตมา เพื่อที่เขาจะได้คำนวณวันที่ผ่านมา ความนึกคิดจะไม่คิดย้อนไปได้ไกลนัก เพราะเขาจะเห็นแต่การมีการเริ่มต้นที่คลุมเครือ ต่อจากนั้น วัน เวลา เดือน ปี อันยาวนานก็จะรวมกันเป็นเสมือนวันหนึ่งที่เหลวไหล ไร้สาระ โดยมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน

          นี่ย่อมเป็นสิ่งที่มนุษย์ในปัจจุบัน จะต้องนึกถึงเรื่องเวลาและจะรู้สึกนึกถึงวันกิยามะฮ์ ในตอนที่กำลังยืนรอคอยการชำระสอบสวน 

     “และวันที่พระองค์ทรงรวมเขาเหล่านั้นให้มาอยู่ที่เดียวกันประหนึ่งว่า เขาเหล่านั้นมิได้พำนักอยู่ เว้นแต่โมงยามหนึ่งของกลางวัน โดยที่เขาเหล่านั้นทำความรู้จักซึ่งกันและกัน 

 (ยูนุส/45)

 

         ความรู้สึกเช่นนี้ ถ้าหากมีจะคอยเตือนบรรดาผู้ที่คิดว่าจะอยู่ค้ำฟ้า มันเป็นความรู้สึกที่สัจจริง ถ้าหากจะเทียบกาลเวลาในโลกนี้กับกาลเวลาในอาคีเราะฮ์ แต่ทว่ามันเป็นความรู้สึกที่ถูกหลอกลวง ทำให้หลงผิด สำหรับผู้ที่ยามเช้า ยามเย็น ปี เดือนผ่านไปและออกไปทำงาน กลับบ้าน เหนื่อยอ่อน และได้พักผ่อน กระนั้นก็ตาม เขาก็ยังอยู่ในความเผอเรอ ต่อวันนี้และพรุ่งนี้ เขายังละเลย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ จนกระทั่งดวงตาใกล้จะปิดตาย และเข้าสู่ความมืดของความตายแล้ว เขาเพิ่งจะสะดุ้งตื่นขึ้น แต่ทว่าสายเสียแล้ว เขาตื่นขึ้นหลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้ว

 

          เรื่องของมนุษย์ในโลกนี้น่าประหลาดเหลือ เราหลงระเริง แต่กอดัรนั้นเป็นจริง เขาลืมว่าการงานของเขานั้น มีน้ำหนักเท่าผงปรมาณูก็จะถูกสอบสวน

     “วันซึ่งอัลลอฮฺทรงบังเกิดเขาเหล่านั้นขึ้นมาทั้งหมด แล้วพระองค์ก็ทรงแจ้งให้ทราบถึงการงานต่างๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้

     อัลลอฮฺทรงคำนวณการงานไว้ แต่เขาเหล่านั้นลืมมัน และอัลลอฮฺทรงประจักษ์เหนือ ทุกสิ่งอย่าง 

 (อัลมุญาดะละฮ์:6)

 

          มุสลิมที่แท้จริง จะตีราคาเวลาอย่างแพงลิ่ว เพราะเขารู้ว่าเวลานั้น คือ อายุนั่นเอง หากเขาปล่อยให้เวลาสูญเสียไป ก็เท่ากับว่าเขากำลังกระทำอัตวินิบาตกรรม ด้วยพฤติกรรมอันขาดความยั้งคิด ที่แน่นอนนั้นมนุษย์กำลังค่อยคืบคลานทีละน้อยทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอไปสู่อัลลอฮฺ ทุกครั้งของการโคจรตามจักราศี ซึ่งทำให้เกิดรุ่งอรุณใหม่นั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นเพียงขั้นตอนของเส้นทางที่ไม่มีการขาดตอนเลย

         ฉะนั้นจะไม่เป็นการสมเหตุผลละหรือ ที่คนเราจะตระหนักถึงข้อเท็จจริงอันนี้ แล้วสนใจที่จะหาความกระจ่างแจ้ง ถึงเบื้องหน้า เบื้องหลังของเรื่องดังกล่าวมันเป็นการหลอกตนเอง เกินที่คนหนึ่งจะคิดไปว่า ตัวเขานั้นอยู่กับที่ กาลเวลาต่างหากที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ความคิดเช่นนี้ ก็เปรียบเสมือนผู้โดยสารรถไฟที่คิดว่า สิ่งต่างๆ อยู่ข้างทางกำลังวิ่ง แต่เขานั่งอยู่กับที่ ซึ่งภาพที่เขาเห็นนั้นเป็นภาพลวงตา แท้ที่จริงนั้น กาลเวลาได้พามนุษย์วิ่งไปจนถึงบั้นปลายของชีวิต

 

          ♣ อิสลามเป็นศาสนาที่รู้จักคุณค่าของเวลา คำนึงถึงความสำคัญของกาลเวลา และเน้นถึงคติพจน์อันสูงส่งที่ว่า

 “เวลาเปรียบเสมือนดาบอันคมกริบ หากท่านไม่ตัดมัน มันก็ตัดท่าน” 

 

          ♣ อิสลามถือว่า การรู้จักคุณค่าของเวลา เป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงการศรัทธา และเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า ก็คือ การที่มุสลิมมีความเข้าใจ ตื่นตัวในเรื่องนี้แล้วดำเนินตามแนวทางของความเข้าใจเช่นเดียวกัน 

แท้จริง อันการสับเปลี่ยนของกลางวัน และกลางคืน และสิ่งที่อัลลอฮฺทรงบังเกิดในชั้นฟ้า และแผ่นดิน

ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ

 (ยูนุส:6)

 

          ♣ อิสลามถือว่า การเผลอเรอต่ออนาคต จมปลักอยู่แต่ปัจจุบันและหลงระเริงอยู่กับแสงสีของความเพริดแพร้วของโลกนี้นั้น เป็นผู้ขาดทุน ผู้โฉดเขลาเบาปัญญา 

     “แท้จริง บรรดาผู้ที่ไม่หวังที่จะได้พบเรา และเขาเหล่านั้นพึงพอใจ และอุ่นใจอยู่แต่ชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้

     และบรรดาผู้ที่เพิกเฉยต่อสัญญาณของเรา พวกเหล่านี้แหละ ที่พำนักของพวกเขา ก็คือ ไฟนรก เพราะสิ่งที่พวกเขาได้กระทำมาก่อน 

 (ยูนุส 7-8)

 

           อิสลามได้จัดแบ่งอิบาดะฮ์ใหญ่ๆ ไว้ในช่วงของวันหนึ่งๆ และช่วงฤดูกาลของปี จะเห็นได้ว่า การละหมาดทั้งห้าเวลานั้น ได้ถูกแบ่งไว้ทั้งหมดวันหนึ่งพอดี กำหนดเวลาของการละหมาด ก็สอดคล้องกับการหมุนเวียนของวันหนึ่งๆ

          และเป็นที่ยอมรับกันในบัญญัติอิสลามนั้นมีว่า ญิบรีลได้ลงมาตามพระราชบัญญัติของอัลลอฮ์ มาเพื่อวางแนวทางการกำหนดเวลา โดยได้มาในตอนต้นเวลาของการละหมาด และในตอนท้ายเวลา เพื่อที่จะวางระเบียบแบบแผนที่มั่นคง ละเอียดถี่ถ้วน เรียบเรียงขั้นตอนของการดำเนินชีวิตมุสลิม และวัดการดำเนินชีวิตเป็นนาที ตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงค่ำ

 

          สายตาที่สั้นจะรู้จักผลของกาลเวลาอย่างมีขอบเขตจำกัดเหลือเกิน และจะเห็นแต่ภาพที่สัมผัสได้ ดังนั้น เขารำพึงขึ้นมาว่า การหมุนเวียนของยามเช้า และยามเย็นนี้แหละทำให้เด็กผมหงอกและคนแก่ตายไป และกล่าวอีกว่า การจากไปของกลางคืนนั้น ย่อมทำให้ใครคนหนึ่งปลาบปลื้มปิติยินดี และทำให้ใครอีกคนหนึ่งทุกข์ระทมขมขื่น จากการจากไปของกลางคืน

          แต่ทว่า กาลเวลาที่ทำให้หน้าผากย่นเป็นรอยริ้ว ทำให้ถึงกำหนดเวลาของชีวิต ยังความสูญสลายแก่ความศิวิไลซ์ และมนุษย์ต้องมองดูมัน ด้วยความฉงนสนเท่ห์ กาลเวลานี้แหละเป็นโอกาสดีที่ตื่นตัว คนที่เฉลียวฉลาดที่จะกระทำความดี มีศีลธรรมและสะสมสิ่งที่เป็นประโยชน์ไว้ใช้

           ฉะนั้น เวลากลางคืนจึงเข้ามาแทนกลางวัน กลางวันเข้ามาแทนกลางคืน พร้อมการโคจรของจักราศี และพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกนั้น มิได้ทรงสร้างการหมุนเวียนเช่นนั้นขึ้นมาโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งแท้ที่จริงนั้นมันเป็นสนามที่เตรียมไว้ สำหรับการแข่งขันอันยาวนาน การแข่งขันที่ไม่มีใครชนะได้ นอกจากผู้ที่รักพระผู้เป็นเจ้าของเขา รำลึกถึงพระองค์ และกตัญญูขอบคุณ ต่อความโปรดปรานของพระองค์ และผู้ที่ถือว่าการผ่านของกาลเวลา เป็นเวลาแห่งการใช้ความอุตสาหะ ความพยายามอย่างสม่ำเสมอ จะได้มาซึ่งความสุขสบายอย่างใหญ่หลวง

          ส่วนผู้เพิกเฉย หมกมุ่นอยู่แต่การแสวงหาผลประโยชน์ของโลกนี้เท่านั้น พวกนี้ย่อมเป็นพวกโฉดเขลาเบาปัญญา ได้ยินได้ฟังคติพจน์ ก็ไม่ยึดเอาไปเป็นข้อตักเตือนและไม่รู้จักหาประโยชน์ จากบทเรียนที่แล้วๆ มา อายุของท่านเป็นเงินต้นทุนก้อนใหญ่ และท่านจะถูกถามเกี่ยวกับการจ่ายเงินทุกก้อนนั้น 

 

ท่านร่อซูลุลลอฮ์  กล่าวว่า

ในวันกิยามะฮ์ เท้าสองเท้าของบ่าวนั้น ยังคงยืนอยู่กับที่จนกว่า จะได้ถูกถามถึง 4 อย่างด้วยกัน คือ 

ถามถึงอายุว่า เขาได้ใช้ไปอย่างไร

ถามถึงวิชาความรู้ของเขาว่า ได้ใช้วิชาความรู้ของเขาไปเช่นไร

ถามถึงทรัพย์สมบัติของเขาว่า ได้มาจากไหน? และได้ใช้จ่ายไปในทางใดบ้าง

และถามถึงร่างกายของเขาว่า เขาได้ให้ร่างกายของเขาผุพังไปในทางใด 

(อัตติรมิซีย์)

 

          อิสลามได้ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของเวลาไว้ในคำใช้ และคำห้ามหลายแห่ง ดังนั้น ในเมื่ออิสลามถือว่า การห่างเหินจากการละเล่นว่า เป็นส่วนหนึ่งจากการศรัทธานั้น นับได้ว่าเป็นการสอนที่ชาญฉลาด ในด้านการกำหราบพวกว่างงาน ที่ต่างก็เรียกซึ่งกันและกันว่ามาเรามาฆ่าเวลาด้วยการเล่นอะไรสักอย่างให้เพลิดเพลิน

          พวกที่โฉดเขลาไม่รู้หรอกว่านั้นเป็นการปล่อยเวลาให้หมดไปกับอายุที่กำลังผ่านไป และการฆ่าเวลาทำนองนี้ เป็นความหายนะแก่ส่วนตัวและทำให้สูญเสียผลประโยชน์ของส่วนรวม

 

 

วารสาร มูลนิธิชีนำสันติสุข