การเกื้อกูลกันในสังคมอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  4152


การเกื้อกูลกันในสังคมอิสลาม 

โดย... เชค อาลี อีซา ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ

 

          อิสลามได้วางระบอบการประกันสังคมเอาไว้ โดยกำหนดให้คนที่ร่ำรวยบริจาคปัจจัยยังชีพให้แก่ผู้ยากจนที่ไม่สามารถทำมาหากินได้เอง

          อิสลามได้กำหนดให้ผู้คนทั้งหลาย ร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกันขจัดความอดอยากยากจน โดยถือว่าเป็นความรับผิดชอบของประชาชาติ หากพบว่ามีคนอดตายเพราะความหิวกระหาย จึงจำเป็นที่ทุกคนจะต้องเฉลี่ยกันจ่ายค่าชดเชยให้แก่ครอบครัวของผู้ตาย ประหนึ่งทุกคนมีส่วนทำให้เขาผู้นั้นต้องตาย ให้เป็นภาระหน้าที่ของคนที่มั่งมีในทุกท้องถิ่นที่ต้องบริจาคปัจจัยยังชีพให้แก่ผู้ยากจนในท้องถิ่นนั้นๆ และให้ผู้ปกครองมีสิทธิใช้อำนาจบังคับได้ด้วย 

 

          ทั้งนี้ หากไม่มีทรัพย์สินที่เป็นซะกาตหรือทรัพย์สินของมุสลิม ก็จะต้องให้เครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นแก่เขา นอกจากนั้นยังต้องให้เสื้อผ้าหรือเครื่องนุ่งห่มทั้งสำหรับฤดูร้อนและฤดูหนาว ในทำนองเดียวกัน จะต้องจัดหาที่อยู่อาศัยให้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากฝน จากความร้อนความหนาวของดวงอาทิตย์ และจากสายตาของผู้ที่เดินผ่านไปมา

 

     หลักฐานดังกล่าวนั้นคือดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ว่า

และจงให้สิทธิแก่ญาติสนิท และคนยากจนที่ขัดสน และคนเดินทาง (ที่ขาดปัจจัยในการเดินทาง)”

(อัลอิสรออฺ 17 : 26)

 

     ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า : แท้จริง ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

มุสลิมกับมุสลิมนั้นเป็นพี่น้องกัน เขาจะไม่ข่มเหงกัน และจะไม่เพิกเฉยละเลยมุสลิมด้วยกัน

(บันทึกโดย อิมามอบูดาวู๊ด)

 

     ดังนั้น มุสลิมจะไม่ละเลยให้พี่น้องของเขาต้องหิวกระหาย และจัดให้พี่น้องของเขามีเครื่องนุ่งห่ม ถ้าเขาสามารถให้อาหารและเครื่องนุ่งห่มได้

ท่านอาลี อิบนิ อะบีฏอลิบ กล่าวว่า

          “อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงให้เป็นภาระหน้าที่ของคนร่ำรวยที่จะบริจาคให้แก่คนยากจน ถ้าหาก คนยากจนหิว หรือเปลือยกาย (ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม) ก็เป็นผลเนื่องมาจากความตระหนี่ถี่เหนียวของคนร่ำรวยนั่นเอง

 

     อัลกุรอานได้กำชับว่าให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อยู่ใกล้ชิด และที่อยู่ห่างไกล อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า

และพวกเจ้าจงสักการะต่ออัลลอฮฺ และอย่าตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์

และเจ้าจงกระทำความดีต่อบิดามารดา

และจงกระทำความดีต่อญาติสนิท เด็กกำพร้า คนยากจนขัดสน

และข้าทาสบริวาร เพื่อนบ้านที่ใกล้เคียง

และเพื่อนบ้านที่ห่างไกล

และเพื่อนเคียงข้าง

และคนที่เดินทาง

(อันนิซาอฺ 4 : 36)

 

          อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงกล่าวถึงเพื่อนบ้านใกล้ชิดและห่างไกล พร้อมกับกำชับให้อิบาดะฮฺต่อพระองค์และห้ามตั้งภาคีต่อพระองค์ และกำชับให้ทำความดีต่อบิดามารดา ไว้ในอายะฮฺเดียวกันดังกล่าวนี้ ยอมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่จะต้องให้ความเป็นกันเองอย่างใจจริงระหว่างกัน

 

          ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กำชับให้ทำความดีต่อเพื่อนบ้าน ท่านอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา รายงานว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

ผู้ที่กินอิ่มนอนหลับได้โดยปล่อยให้เพื่อนบ้านหิวโหยนั้น เขาผู้นั้นมิใช่มุอฺมิน

(บันทึกโดย อิมามอัลฮากิม)

 

          ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้กล่าวอีกเช่นกันว่า

สหายที่ประเสริฐที่สุด อัลลอฮฺนั้น คือ ผู้ที่ดีที่สุดต่อสหายของเขา

และเพื่อนบ้านที่ประเสริฐที่สุด อัลลอฮฺ คือ ผู้ที่ดีที่สุดต่อเพื่อนบ้านของเขา

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

 

          อิสลามมิได้ให้จำแนกระหว่างเพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิมกับเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่มิใช่เป็นมุสลิม ดังมีรายงานจากท่านมุญาฮิด เล่าว่า :

   ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่กับอับดุลลอฮฺ อิบนิ อุมัร ขณะคนรับใช้ของเขากำลังถลกหนังแพะ 

   ท่านอิบนุ อุมัร จึงกล่าวแก่คนรับใช้ของท่านว่าโอ้ หนุ่มน้อย อย่าลืมชาวยิวเพื่อนบ้านของเรา” 

   ครู่ต่อมาอิบนุ อุมัร ก็ได้พูดกับเด็กรับใช้เช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง และครั้งที่สามในเวลาต่อมา 

   มุญาฮิดกล่าวขึ้นด้วยความแปลกใจว่า : โอ้ อิบนิ อุมัร ท่านพูดกี่ครั้งแล้ว?” 

   อิบนิ อุมัร กล่าวตอบว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

ญิบรีลได้กำชับฉันเสมอเกี่ยวกับเรื่องเพื่อนบ้าน จนกระทั่งฉันนึกว่าเพื่อนบ้านนั้นจะรับมรดกจากกันได้

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์ และมุสลิม)

หมายถึง นึกว่าเพื่อนบ้านมีส่วนในทรัพย์สินของเราหลังจากเราได้ตายจากไป


          มีรายงานจากท่านญาบิร แจ้งว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เพื่อนบ้านนั้นมี 3 ประเภท

ประเภทที่หนึ่ง เพื่อนบ้านที่มีสิทธิเพียงอย่างเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในระดับห่างสุด

ประเภทที่สอง เพื่อนบ้านที่มีสิทธิสองประการ

ประเภทที่สาม เพื่อนบ้านที่มีสิทธิสามประการ 

   ♣ สำหรับเพื่อนบ้านที่มีสิทธิเพียงประการเดียว นั้นคือ เพื่อนบ้านที่เป็นมุชริก (ผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ ตะอาลา) และมิได้เป็นญาติร่วมสายโลหิตเดียวกัน

   ♣ เพื่อนบ้านที่มีสิทธิสองประการ นั้นคือ เพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิม ซึ่งมีทั้งสิทธิในการเป็นมุสลิม และสิทธิในการเป็นเพื่อนบ้าน

   ♣ ส่วนเพื่อนบ้านที่มีสิทธิสามประการ นั้นคือ เพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิมและเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันด้วย ซึ่งมีสิทธิทั้งในแง่ของการเป็นเพื่อนบ้าน การเป็นมุสลิม และการเป็นญาติร่วมสายโลหิตเดียวกัน

 

          อิสลามได้เปิดโอกาสให้เพื่อนบ้านมีสิทธิในเรื่องของอัซซุฟอะฮฺคือ ในเมื่อเพื่อนบ้านต้องการจะขายกรรมสิทธิ์ของตนให้กับผู้อื่น ก็จำเป็นจะต้องถามเพื่อนบ้านดูก่อน แสดงให้เห็นว่าอิสลามให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะหน้าที่ระหว่างเพื่อนบ้านเป็นการมองถึงผลลัพธ์ระยะยาว ดังรายงานของท่านอบูรอเฟียะอฺว่า

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่าเพื่อนบ้านนั้นมีสิทธิเหนือผู้อื่น เนื่องจากความใกล้ชิด

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

(กล่าวคือ มีสิทธิมากกว่าผู้อื่น เพราะความใกล้ชิด หรือที่ว่ามีความใกล้ชิดมากกว่าผู้อื่นนั้นก็เพราะอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งที่เขามีกรรมสิทธิ์อยู่)

 

         อิสลามได้กำหนดให้บัยตุลมาล” (กองคลังของอิสลาม) บริจาคให้กับผู้เฒ่า ผู้ชรา ซึ่งไม่สามารถประกอบอาชีพได้ และให้แก่ผู้หญิง ถ้าหากไม่มีผู้ปกครองดูแลตามศาสนบัญญัติ อิสลามมิได้แยกแยะผู้ชราหรือผู้หญิงที่ไม่มีผู้ปกครองนั้นว่าเป็นมุสลิม หรือเป็นซิมมีย์ (คือกาเฟรที่อาศัยอยู่ในรัฐอิสลาม และไม่เป็นผู้ที่ละเมิดสิทธิสัญญา ไม่รุกรานและไม่ยุยงส่งเสริมหรือกระทำการอันใดที่จะนำไปสู่การละเมิด

 

          ดังที่ อีมามอบูยูซุฟ ลูกศิษย์ของท่านอิมามอบูฮานีฟะฮฺได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่ออัลคอร๊อจญ์ว่า

     “ในขณะที่ท่านอุมัร ได้เดินทางผ่านชนกลุ่มหนึ่ง ที่นั้นมีคนชราขอทานนั่งอยู่คนหนึ่ง ดูจากลักษณะของผู้นั้นทำให้ทราบว่าเป็นซิมมีย์” 

     ท่านอุมัรจึงได้เอามือจับแขนชายผู้นั้น และเอ่ยถามว่าท่านเป็นชายชาวผู้ได้รับคัมภีร์ (อะฮฺลุ้ลกิตาบ) จากพวกไหน?” 

     ได้รับคำตอบจากชายชราผู้นั้นว่ายะฮูดี” (พวกยิว

     ท่านอุมัรจึงถามต่อไปว่าท่านมาหาด้วยประสงค์อะไร?” 

     ชายชราผู้นั้นตอบว่าฉันจะมาขอ ญิซยะห์ (คือ ภาษีที่เก็บจากผู้นับถือศาสนาอื่น ที่อาศัยอยู่ในประเทศมุสลิม) กลับคืน โดยอ้างถึงความยากจนและความชรา” 

     ท่านอุมัรจึงได้จูงมือชายผู้นั้นไปยังบ้านของท่าน แล้วท่านอุมัรได้ให้ของสิ่งหนึ่งแก่ชายชรา ผู้นั้น แล้วได้นำชายผู้นั้นไปยังผู้ทำหน้าที่ดูแลกองคลังส่วนกลางหรือที่เรียกว่าบัยตุลมาลและกล่าวว่าท่านจงพิจารณาสภาพของชายผู้นี้ และคนอื่นๆ ที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา ว่า ฉันจะไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ความชราเกาะกินชีวิตของเขา โดยที่เขายังคงจมปลักอยู่กับสิ่งที่ต้องห้าม 

     อัลกุรอานซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 60 กล่าวว่า แท้จริง การบริจาคทานนั้น สำหรับคนยากจน และขัดสน

     ชายชราผู้นี้เป็นคนยากจน จากชนผู้ที่ได้รับคัมภีร์ (อะฮฺลุ้ลกิตาบ) อุมัรจึงได้ใช้ให้ผู้ควบคุมบัยตุลมาล จ่ายญิซยะห์คืนให้แก่ชายผู้นั้น และแก่ผู้ที่มีสภาพคล้ายคลึงกับชายผู้นั้นไปด้วย

(จากหนังสือ อัลคอร๊อจญ์ อบียูซุฟ หน้า 120)

 

          อิสลามยังได้บัญญัติไว้อีกว่า ในเมื่อผู้ยากจนประสบกับความแร้นแค้นก็จำเป็นแก่ผู้ที่ร่ำรวยจะต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อปิดประตูแห่งความแร้นแค้นนั้น

 

     ท่านอบูสอี๊ด อับคุดรีย์ ได้รายงานถึงสภาพความแร้นแค้นในขณะเดินทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยกล่าวว่า : เราได้ร่วมเดินทางกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้กล่าวว่า

ผู้ใดมีเสบียงเหลือ ก็จงให้แก่ผู้ไม่มีเสบียง และผู้ใดมีพาหนะเหลือ ก็จงให้แก่ผู้ที่ไม่มีพาหนะ” 

แล้วท่านร่อซูลก็ประเมินชนิดต่างๆ จากทรัพย์สมบัติ จนกระทั่งเราเข้าใจกันว่า เราคงไม่มีอะไรเหลือ นอกจากสิ่งที่คู่ควรกับอัตภาพของเรา

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

 

มีรายงานจากท่านอบูมูซา อัลอัชอารีย์ แจ้งว่า : ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

     “เมื่อพวกชาวอัชอะรีย์ยืนออกไปทำสงคราม และผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาที่อยู่ในเมืองเกิดความขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน พวกเขาจะรวบรวมสิ่งที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดไว้ในถุงๆ เดียวกัน หลังจากนั้นเขาจะแบ่งให้เท่าๆ กัน” 

     และท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวต่อไปว่าพวกเขาเหล่านั้นคือ ผู้ที่เจริญรอยตามฉัน และฉันเป็นพวกเดียวกับเขา

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์)

 

     มีรายงานที่เชื่อถือได้จากท่านอบูอุบัยดะห์ อิบนิลญัรรอฮฺ และซอฮาบะฮฺอีกจำนวนสามร้อยกว่าคนว่าเสบียงของพวกเขาได้ประสบกับความเสียหาย ท่านอบูอุบัยดะฮฺจึงได้ใช้ให้รวบรวมเสบียงที่ยังคงมีเหลืออยู่จากพวกเขาทั้งหมดไว้ในสถานที่เดียวกัน และท่านอบูอุบัยดะฮฺ ได้จัดแบ่งให้เป็นอาหารแก่พวกเขาทั้งหมดคนละเท่าๆ กัน

 

          ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กระทำเป็นแบบอย่างที่ดีมาโดยตลอด แม้ก่อนที่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี ท่านก็ได้ทำตนเป็นแบบอย่างอันดีงามของความร่วมมือกันในสังคมที่ท่านอาศัยอยู่ ดังที่ท่านหญิงคอดียะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ท่านนบี ขณะได้รับวะฮีย์ในครั้งแรก 

         ท่านนบีได้ไปหาท่านหญิงคอดียะฮฺในสภาพที่ตื่นตระหนกในสิ่งที่ปรากฏกับท่าน นั่นคือ การที่มลาอิกะฮฺได้มาปรากฏกายต่อหน้าท่าน

           ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านหญิง คอดียะฮฺว่าจงห่มผ้าให้ฉัน จงห่มผ้าให้ฉัน” 

         หลังจากที่ท่านหญิงคอดียะฮฺเอาผ้าห่มมาให้ท่านนบี จนกระทั่งความหวาดกลัวได้หายหมดไปแล้ว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้เล่าเหตุการณ์ที่มาประสบกับท่านให้ท่านหญิงคอดียะฮฺฟัง พร้อมกับกล่าวว่า 

     “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ แท้จริง ฉันกลัวเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับตัวของฉัน (หมายถึงท่านนบี เกรงว่ามันจะเป็นลางร้าย)” 

          ท่านหญิงคอดียะฮฺจึงกล่าวกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า

   “อัลลอฮฺจะไม่ทรงเหยียดหยามหรือประณามท่านเป็นอันขาด แท้จริง 

   ♦ ท่านเป็นผู้มีความสัมพันธ์ที่ ดีงามต่อเครือญาติ 

   ♦ ท่านเป็นผู้ให้เกียรติต่อแขกผู้มาเยือน 

   ♦ ท่านเป็นผู้รับภาระหรือให้ความอบอุ่นต่อเด็กกำพร้า และผู้ที่ไม่สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้ จะเนื่องด้วยความชราภาพหรือทุพลภาพก็ตาม และ

   ♦ ท่านเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบกับอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ

 

 

ที่มา วารสารสายสัมพันธ์