อยู่อย่างมีสติ รู้จักบุญคุณ
  จำนวนคนเข้าชม  3958


อยู่อย่างมีสติ รู้จักบุญคุณ

 

โดย อาจารย์ อับดุลมานาฟ อันนันนับ

 

          ท่านพี่น้องที่ศรัทธาทุกท่าน เราทุกคนยอมรับว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้เป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวของเรา พระองค์ทรงบังเกิดเราและสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งที่เรามองเห็น และมองไม่เห็น พระองค์ทรงเลี้ยงดูเรา ดูแลเรา ปกป้องรักษาเรา ประทานปัจจัยยังชีพแก่เรา ในยามที่เราทุกข์โศก เราหันเข้าหาพระองค์ และยามที่เราสมหวัง เราก็ไม่หลงลืมพระองค์ เราทุกคนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ สิ่งที่เราครอบครองซึ่งเราคิดกันว่ามันเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ที่จริงแล้ว ทั้งหมดเหล่านั้นล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ทั้งสิ้น และสักวันหนึ่งเรา สรรพสิ่งต่างๆ ทั้งหมดย่อมกลับไปสู่พระองค์ เพื่อรับการพิพากษาและการตอบแทนจากพระองค์ นี่คือหลักศรัทธาสำคัญที่บ่าวผู้ที่ศรัทธาจะต้องสำนึกและจดจำใส่ใจอยู่เสมอ

 

          เราทุกคนล้วนศรัทธาว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นพระเจ้า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นศาสนทูตของพระองค์ และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต เราเชื่อมั่นว่า การตักวา (ยำเกรง) ต่อพระองค์นั้น เป็นสาเหตุแห่งการได้รับความสำเร็จทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ โดยที่พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสว่า

 

      “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และทุกชีวิตจงพิจารณาดูเถิดว่า อะไรบ้างที่ ตนได้เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ (วันกิยามะฮฺ) และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แน่นอน อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่ พวกเจ้ากระทำ

(อัลฮัชรฺ 59 : 18)

 

           พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงเรียกร้องบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์ให้ยำเกรงต่อพระองค์ ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ตาม

 

           พร้อมทั้งพระองค์ยังทรงกำชับให้ผู้ศรัทธาพิจารณาพฤติกรรมของตนเองที่ผ่านมาว่าได้กระทำ การใดที่เป็นคุณงามความดีบ้างหรือไม่ ? มากน้อยเพียงใด ? เพราะพฤติกรรมต่างๆ ของเขาย่อมต้องถูกนำไปสอบสวนและพิพากษา

 

          พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ย้ำเตือนอีกครั้งให้บรรดาผู้ศรัทธาสำรวมตน และยำเกรงต่อพระองค์ เพราะการสำรวมตนต่อพระองค์นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ดี ทั้งทางด้านการกระทำ คำพูด และจิตใจ แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรอบรู้ยิ่งถึงการงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะใหญ่โตหรือเล็กน้อยก็ตาม และพระองค์ยังตรัสต่อไปอีกว่า

 

และพวกเจ้าอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ที่หลงลืมอัลลอฮฺ มิฉะนั้น

 อัลลอฮฺจะทรงทำให้พวกเขาลืมตัวของพวกเขาเอง แน่นอนชนเหล่านั้น พวกเขาเป็นกลุ่มชนผู้ฝ่าฝืน

(อัลฮัชรฺ 59 : 19)

 

          ในอายะฮฺนี้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้เตือนสติของเราว่า อย่าได้เป็นผู้ที่หลงลืม หรือแกล้งหลงลืมพระองค์ เพราะผู้ใดก็ตามที่หลงลืมพระองค์ พระองค์ย่อมไม่ประทานความช่วยเหลือของพระองค์ให้กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เขาประสบความทุกข์อย่างใหญ่หลวงในวันพิพากษา ในทางกลับกัน ผู้ใดก็ตามที่รำลึกถึงพระองค์เป็นอาจิณ พระองค์จะทรงยกย่องสรรเสริญผู้นั้นต่อมวลหมู่มลาอิกะฮฺ พร้อมทั้งจะประทานความช่วยเหลือของพระองค์ให้แก่เขา

 

           บรรดาผู้ที่ศรัทธาและยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ต่างตระหนักดีว่าพระองค์ ได้ประทานความโปรดปรานแก่เราอย่างมากมาย ไม่ว่าจะในด้านการศรัทธา การใช้ชีวิตในโลกดุนยา อาหารการกิน สุขภาพร่างกาย ครอบครัว ทรัพย์สิน และหน้าที่การงาน ตลอดจนปัจจัยต่างๆ ในการดำรงชีวิต หากเราจะนับหรือคำนวณ แน่นอน เราไม่สามารถนับหรือคำนวณสิ่งเหล่านั้นได้อย่างครบถ้วน

 

          จำเป็นที่เราจะต้องสำนึก และขอบคุณในความเมตตาของพระองค์ที่ประทานสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาให้กับเรา โดยการสำนึกด้วยกับหัวใจ ด้วยกับพื้นฐานของความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ มีความกลัวในการลงโทษของพระองค์ และมุ่งหวังความรักและความเมตตาจากพระองค์ ซึ่งความกลัวและความมุ่งหวังนี้ จะเป็นเหตุนำไปสู่การปฏิบัติตามคำสั่งใช้แห่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม โดยที่เขานั้นดำรงมั่นอยู่บนหลักธรรมคำสอนของศาสนา

 

          เมื่อพื้นฐานของจิตใจดีแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือการขอบคุณและรำลึกถึงพระองค์ด้วยกับลิ้นของเรา โดยการสดุดี และสรรเสริญพระองค์ด้วยกับประโยคต่างๆ เช่นอัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ” (มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮฺ)

 

          การรำลึกและขอบคุณในความเมตตาของพระองค์จะสมบูรณ์พร้อมก็ด้วยกับการปฏิบัติโดยการใช้อวัยวะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นมือ เท้า ปาก หู ซึ่งรวมถึงลิ้นและหัวใจ ในการปฏิบัติคุณงามความดี สักการะต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งในยามกลางวันและกลางคืน ช่วยเหลืองานศาสนา เรียกร้องผู้คนไปสู่สิ่งดีงาม และยับยั้งการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ แน่นอนเหลือเกินว่า สิ่งดังกล่าวย่อมเป็นสาเหตุนำไปสู่การได้รับความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นเท่าทวีคูณ ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า

 

และจงรำลึกถึง เมื่อครั้งที่พระเจ้าของเจ้าประกาศว่า

หากเจ้าทั้งหลายแสดงการกตัญญูต่อข้า แน่นอน ข้าย่อมเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า

(อิบรอฮีม 14 : 7)

 

          ในทางกลับกัน พระองค์ยังได้ทรงสัญญาไว้สำหรับผู้ที่ไม่สำนึกในความเมตตากรุณาของพระองค์ ประพฤติปฏิบัติตนสวนทางกับคำสอนของศาสนา การลงโทษทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ จะได้รับกับเขาอย่างแน่นอน

โดยที่พระองค์ได้ตรัสว่า

 

และหากพวกเจ้าเนรคุณ แน่นอน การลงโทษของข้าย่อมรุนแรงยิ่งนัก

(อิบรอฮีม 14 : 7)

 

          แต่กระนั้นก็ตาม เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า หลายครั้งหลายหนที่จิตใจของเราอ่อนแอ พลาดท่าเสียทีให้กับชัยฏอน ทำให้หัวใจขาดการรำลึกนึกถึงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และถลำลึกไปสู่การฝ่าฝืนในคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของพระองค์มากบ้าง น้อยบ้าง จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

มนุษย์ทุกคนย่อมเป็นผู้ที่พลาดพลั้งด้วยกันทั้งสิ้น

และผู้ที่พลาดพลั้งที่ดียิ่ง คือผู้ที่สารภาพผิดกลับเนื้อกลับตัว (เตาบะฮฺ)”

(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ จากท่านอนัส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ)

 

          อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงใช้บรรดาบ่าวของพระองค์ให้แสวงหาสาเหตุในอันที่จะได้มาซึ่งปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ แต่กระนั้นการแสวงหาปัจจัยต่างๆ ต้องอยู่ในกฎระเบียบ เงื่อนไข และขอบเขตที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ โดยที่เขาจะต้องไม่หลงใหลหรือยึดติดอยู่กับปัจจัยเหล่านั้น ดังที่พระองค์ได้ทรงวางขอบเขตของการแสวงหาปัจจัยไว้ในดำรัสของพระองค์ที่ว่า

 

     “โอ้ มนุษยชาติทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายจงรับประทานจากสิ่งที่ดี ที่อยู่บนหน้าผืนแผ่นดินที่ศาสนาอนุมัติ และเจ้าทั้งหลายอย่าดำเนินตามแนวทางทั้งหลายของชัยฏอน แท้จริง มันเป็นศัตรูอย่างชัดเจนของพวกเจ้า

(อัลบะกอเราะฮฺ 2 : 168)

 

           พระองค์ได้ทรงสั่งใช้ให้บรรดามนุษย์เลือกรับประทาน เฉพาะอาหารที่ศาสนาอนุมัติเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ รวมไปถึงพิจารณาสาเหตุแห่งการแสวงหาปัจจัยต่างๆ ที่ได้มานั้น อยู่ภายใต้ขอบเขตและเงื่อนไขของศาสนาหรือไม่ เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถแยกแยะสิ่งที่ดีกับไม่ดี ฉะนั้นผู้ที่มีสติปัญญาจะต้องดำเนินชีวิตแตกต่างจากผู้ที่ไม่มีสติปัญญา และจะต้องไม่ดำเนินชีวิตตามแนวทางของชัยฏอนมารร้าย เพราะมันคือศัตรูตัวฉกาจที่ชัดแจ้งของมนุษย์ มันจะคอยล่อลวงพวกเขา มันจะคอยนำเสนอผลประโยชน์ต่างๆ อย่างมากมายแก่มนุษย์ หลายคนจึงหลงเชื่อคำชักจูงของมัน โดยไม่ใส่ใจว่า ผลประโยชน์ที่ได้มาเหล่านั้นจะถูกต้องตามหลักศาสนาหรือไม่ ?

ดังที่ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “ยุคสมัยหนึ่งจะมีมายังมนุษย์ ซึ่งบุคคลหนึ่งจะไม่ใส่ใจเลยว่าทรัพย์สินที่เขาได้รับมานั้นมาจากแหล่งรายได้ที่ศาสนาอนุมัติหรือที่ศาสนาห้าม

(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ 2069)

 

           ตัวอย่างเช่น ผลไม้ลูกหนึ่ง เช่น มะม่วง ไม่มีใครเถียงว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้รับประทานได้ แต่ถ้ามะม่วงลูกเดียวกันนี้เป็นสิ่งที่เขาขโมยมา แน่นอนการรับประทานเข้าไปย่อมเป็นบาปแก่ผู้นั้นอย่างแน่นอน

 

          สำหรับผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างแท้จริงนั้น เมื่อใดที่เขาพลาดพลั้ง หลงเชื่อคำหลอกลวง หรือเห็นดีเห็นงามกับคำยุยงของชัยฏอนมารร้าย ในเรื่องที่ขัดกับหลักการของศาสนา เขาจะรีบย้อนคืนสู่พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และขออภัยโทษต่อพระองค์ทันที พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ถึงแม้เขาอาจจะต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางโลกดุนยาไปบ้างก็ตาม แต่ ที่พระองค์ เขาย่อมได้รับความโปรดปรานและการตอบแทนเป็นเท่าทวีคูณ

     มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อัมรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า 

 

     “สี่ประการ เมื่อมีอยู่ในตัวเจ้า แน่นอนสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ที่พลัดพรากไปจากเจ้า ย่อมไม่สร้างความเสียหายใดๆ แก่เจ้านั่นก็คือ 

     การรักษาอมานะฮฺ การมีคำพูดสัจจริง มีจริยธรรมอันงดงาม และ การระมัดระวังตนในเรื่องอาหาร

(บันทึกโดย อะฮฺหมัด)

 

           พี่น้องที่ศรัทธาทุกท่าน อิสลามเป็นศาสนาที่ได้ถูกบัญญัติโดย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพื่อเป็นธรรมนูญชีวิตสำหรับมนุษยชาติ อิสลามสอนให้เราเป็นคนดี สำรวมตนต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ปฏิบัติตามท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และช่วยเหลือเกื้อกูลพี่น้องร่วมสังคม ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่ามุสลิมที่ดีจึงไม่รีรอที่จะสนองพระบัญชาแห่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อีกทั้งยังไม่เบาความต่อการเสียสละเพื่อพี่น้องร่วมสังคมของเขา เขารู้ดีว่าทุกๆ การกระทำของเขาย่อมต้องถูกนำไปสอบสวนในวันกิยามะฮฺ ไม่ว่าสิ่งนั้นๆ จะดูยิ่งใหญ่ หรือเล็กน้อยในสายตามนุษย์เพียงไรก็ตาม

 

           มุสลิมที่มีปัญญา ย่อมรู้จักใช้ทุกสิ่งที่ตนมีอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพย์สินที่พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ประทานให้แก่เขา และเขาใช้มันอย่างคุ้มค่า หนึ่งจากการใช้ทรัพย์สินอย่างชาญฉลาดนั่นก็คือ การบริจาคทรัพย์สินบางส่วนไปในหนทางของพระองค์ และไม่รีรอที่จะจ่ายออกไปในหนทางของพระองค์ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดูมีราคาเพียงเล็กน้อยก็ตาม โดยที่พระองค์ได้ ตรัสว่า

 

     “และสิ่งใดๆ ที่พวกเจ้าบริจาคไป ก็ย่อมได้แก่ตัวของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้าจะไม่บริจาคสิ่งใด นอกจากเพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺเท่านั้น และสิ่งใดๆ ที่พวกเจ้าบริจาคไป มันก็จะถูกตอบแทนโดยครบถ้วนแก่พวกเจ้า

(อัลบะกอเราะฮฺ 2 : 272)

 

           และจากคำสั่งสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ว่า มีรายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า 

 

ทุกวันเมื่อบ่าวเข้าสู่ยามเช้า จะมีมลาอิกะฮฺสองท่านลงมา

ท่านหนึ่งจะขอพรว่า โอ้อัลลอฮฺ โปรดประทานสิ่งทดแทนที่ดีแก่ผู้บริจาคด้วยเถิด และ

มลาอิกะฮฺอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ โปรดประทานความพินาศแก่ผู้ที่มิยอมบริจาคด้วยเถิด

(บันทึกโดยอิมามบุคอรีย์ อิมามมุสลิม)

 



ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553