หลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องจะทำให้ประชาชาติอิสลามเข้มแข็ง
  จำนวนคนเข้าชม  6630


หลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องจะทำให้ประชาชาติอิสลามเข้มแข็ง

 

โดย อาจารย์อับดุสสลาม เพชรทองคำ

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอาละอิมรอน ส่วนต้นของอายะฮฺที่ 103 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺไว้ให้มั่น และจงอย่าแตกแยกกัน

 

          นั่นคือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสั่งใช้ให้มุสลิมเรายึดมั่นในหลักอะกีดะฮฺ และหลักการศาสนาของพระองค์อย่างเหนียวแน่น ดำเนินชีวิตประจำวันให้อยู่ในขอบเขตของกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺท่านนบี อย่าได้แตกแยกกัน อย่าได้แตกแยกออกจาความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อมุสลิมเราจะได้เป็นประชาชาติที่ดียิ่ง เป็นประชาชาติที่มีความเข้มแข็ง ในส่วนต้นของอายะฮฺที่ 110 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่ดียิ่ง ซึ่งถูกกำเนิดขึ้นสำหรับมนุษยชาติ โดยพวกเจ้ากำชับกันให้ทำ ความดี และห้ามปรามกันมิให้ทำความชั่ว

 

          อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงบอกวิธีที่จะให้มุสลิมเป็นประชาชาติที่ดี มีความเข้มแข็ง ด้วยการสั่งใช้มุสลิมให้กำชับกันในการทำความดีและห้ามปรามการทำความชั่ว 

          “กำชับกันให้ทำความดีหมายถึง ให้กำชับกันในการยึดมั่นในหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง พร้อมทั้งทำอะมัลอิบาดะฮฺตามที่พระองค์ทรงสั่งใช้ และไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งห้าม ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความอิคลาส บริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ และตรงตามรูปแบบของท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 

         ในขณะที่กำชับกันให้ทำความดีนั้นก็ต้องห้ามปรามมิให้ทำความชั่วด้วย นั่นก็หมายถึง ห้ามปรามใน การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ห้ามปรามในการทำงานที่ไม่ตรงกับแบบอย่างของท่านนบี ห้ามปรามกันในเรื่องที่เป็นมะอฺศิยะฮฺ เรื่องที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่ปรากฏว่ามุสลิมเรากลับแตกแยกออกเป็นกลุ่มๆ เป็นไปตามที่อัลฮะดิษในสุนันของ ท่านอัตติรมิซีย์ได้บอกไว้ว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

     “...ประชาชาติของฉันจะแตกออกเป็น 73 กลุ่ม ทั้งหมดลงนรก ยกเว้นกลุ่มเดียวที่รอด

     บรรดาซอฮาบะฮฺ ถามท่านนบีว่ากลุ่มที่รอดคือกลุ่มไหนกันครับ?”

     ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่าผู้ที่ดำรงอยู่บนสิ่งที่ฉันและบรรดาซอฮาบะฮฺของฉันดำรงอยู่

 

         ฮะดิษนี้เป็นคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่มีสายรายงานในระดับฮะซัน เป็นสิ่งที่มุสลิมเราต้องยึดถือ จะปฏิเสธไม่ได้ จะบอกว่าไม่ใช้แล้ว เพราะเห็นว่าไม่ทันสมัย ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่จะเอาความคิดเห็นของตัวเองมาใช้แทน อย่างนี้ไม่ได้ 

 

          ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ใช้คำว่า"ประชาชาติของฉันนั่นก็หมายถึง ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม ไม่ใช่คนพุทธ ไม่ใช่คนคริสต์ คนยิว ไม่ใช่คนต่างศาสนา แต่เป็นคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม มุสลิมจะแตกออกเป็นกลุ่มๆ ทุกกลุ่มลงนรก ยกเว้นกลุ่มเดียวที่รอด คือ กลุ่มที่ยึดถือและปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาซอฮาบะฮฺของท่าน  

          ซึ่งก็คือ กลุ่มของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ และเราก็คือหนึ่งในบรรดาคนกลุ่มนี้ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเป็นกลุ่มที่รอด เพราะเรายึดมั่นในกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านนบี ตามความเข้าใจหลักการศาสนาแบบเดียวกับที่บรรดาซอฮาบะฮฺเข้าใจ และได้รับการสืบทอดต่อมาจากคนรุ่นก่อนๆ รุ่นสู่รุ่น ด้วยหลักฐานฮะดิษที่มีความถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ เพราะมีสายรายงานสืบทอดต่อกันมาโดยไม่ขาดตอน และจากตำรับตำราของบรรดาอุละมาอฺที่ได้ถ่ายทอดความรู้มาสู่รุ่นของเราอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเช่นกัน เราไม่ตีความหลักการเอาเอง ไม่เข้าใจตัวบทเอาเอง เมื่อเรามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราก็จะกลับไปดูกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ ท่านนบี ว่า ตัดสินในเรื่องต่างๆ อย่างไร ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 59 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังรอซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺ และผู้เป็นร่อซูล...”

 

          นั่นแสดงว่า กลุ่มอื่นๆ จะต้องมีแนวทางที่แปลกแหวกแนวไปจากแนวทางของท่านนบีและบรรดาซอฮาบะฮฺของท่าน เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรว่า ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม แล้วก็บอกว่ายึดมั่นใน กิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺท่านนบีจะลงนรก แสดงว่ามันไม่ใช่การยึดถือในสิ่งเดียวกันหรือสิ่งที่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ การที่พวกเขาตีความตัวบทของกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺท่านนบีเอาเอง ตีความตัวบทตามความเข้าใจเอาเองของพวกเขา นึกคิดเอาเอง เข้าใจเอาเองโดยไม่ได้ไปดูเลยว่า อัลกุรอานแต่ละอายะฮฺ แล้วก็อัลฮะดิษแต่ละบท ซุนนะฮฺของท่านนบีแต่ละเรื่องนั้น ท่านนบี อธิบายว่าอย่างไร บรรดาซอฮาบะฮฺ บรรดาตาบิอีน ตาบิอิตตาบีอีน หรือที่เราเรียกว่าบรรดาสลาฟุศศอและฮฺนั้น เข้าใจตัวบทอย่างไร ไปเข้าใจเอาเอง ไปนึกคิดเอาเอง ไปตีความเอาเอง มันก็เลยทำให้พวกเขาเบี่ยงเบนออกจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ทำให้ พวกเขามีแนวความคิดที่แปลกแหวกแนวออกไป หรือบางทีก็คิดประดิษฐ์การงานศาสนาขึ้นมาใหม่ ทำบิดอะฮฺขึ้นมาในศาสนา

          ซึ่งท่านนบีก็บอกไว้ว่า ทุกสิ่งที่ขึ้นมาใหม่ในศาสนา ที่ท่านนบีไม่ได้ทำแล้วก็ไม่ได้สั่งให้ใครทำนั้น ถือเป็นบิดอะฮฺในเรื่องศาสนา และทุกๆ บิดอะฮฺในเรื่องศาสนาคือความหลงผิด ทุกๆ ความหลงผิด นำไปสู่ไฟนรก

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เราเป็นอะฮฺลิซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ เราไม่มีสิทธิที่จะไปฮุก่มคนนั้นว่าลงนรกคนนี้ขึ้นสวรรค์ เราไม่มีสิทธิไปตัดสินว่าคนที่อยู่ในกลุ่มแหวกแนว 72 กลุ่มนั้น จะต้องลงนรกทุกคนเราบอกได้แต่เพียงว่า แนวทางที่แปลกแหวกแนวของกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่นรก

 

         ส่วนคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นไม่จำเป็นว่าเมื่อเขาตายไปเขาต้องตกนรก อันนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะไม่ทรงเอาโทษเขา เช่น เขาอาจจะไม่รู้ว่ากลุ่มที่เขาอยู่นั้น มันเป็นกลุ่มที่มีแนวทางที่หลงผิด ผิดเพี้ยนอย่างนี้เขาก็อาจพ้นโทษ เราต้องแยกสองเรื่องออกจากกัน ต้องไม่มองเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อไรก็ตามที่มีหลักฐานถูกต้องชัดเจนมายังเขาแล้ว เขารู้แล้ว เขาทราบแล้ว แต่เขายังดื้อดึง ยังฝ่าฝืน เขาก็จะถูกตัดสินว่าเป็นมุสลิมที่หลงผิด ออกนอกแนวทางอะฮฺลิซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ในกรณีที่ความผิดของเขาไม่ถึงขั้นเป็นกาเฟร หรืออาจจะถูกตัดสินว่าตกมุรตัดออกจากอิสลาม ในกรณีที่ความผิดของเขาถึงขั้นที่ทำให้เขาเป็นกาเฟร

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อมุสลิมไม่ยึดมั่นอยู่ในหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง มันก็คือสาเหตุที่ทำให้มุสลิมแตกออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มนั้นยึดอย่างนั้น กลุ่มนี้ยึดอย่างนี้ มันก็เลยรวมตัวกันไม่ได้ เราก็เลยไม่ได้เป็นประชาชาติที่ดียิ่ง ไม่ได้เป็นประชาชาติที่เข้มแข็งเสียที แล้วเราก็มีความฝัน อยากเห็นมุสลิมทั้งหมดเป็นประชาชาติที่เข้มแข็ง เป็นอุมมะฮฺวาฮิดะฮฺ เราก็เลยไปเรียกร้องเชิญชวนให้ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม ทุกกลุ่มมารวมตัวกันมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เป็นประชาชาติที่มีจำนวนมากๆ จะได้เป็นประชาชาติที่เข้มแข็ง ไม่สนใจว่าแนวทางของกลุ่มไหนจะนำไปสู่นรก แนวทางของกลุ่มไหนจะนำไปสู่สวรรค์ เอาของผิด ของถูก มาผสมปนเปกัน เพียงเพื่อจะไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการ อย่าลืมว่า อิสลามมาเพื่อแยกความเท็จออกจากความจริง แยกของผิดออกจากของถูก ไม่ได้ให้เอามาผสมปนเปกัน ถ้าเราเอามาผสมปนเปเมื่อไร มันก็คือการที่เราทำให้หลักการของอิสลามแปดเปื้อน ไม่บริสุทธิ์นั่นเอง

 

          ดังนั้น วิธีการที่จะนำมุสลิมไปสู่การเป็นประชาติที่ดียิ่งเป็นประชาชาติที่เข้มแข็งก็คือ มุสลิมต้องตั้งอยู่บนเตาฮีด ยึดมั่นในหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติตนตามคำสั่งห้ามใช้ ออกห่างจากคำสั่งห้ามของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยไม่มีข้อแม้ เมื่อพบเห็นสิ่งที่มีคนมาทำผิดหลักการศาสนา เราต้องตักเตือนกัน อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัซซาริย๊าต อายะฮฺที่ 55 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

และจงตักเตือนกันเถิด เพราะแท้จริง การตักเตือนนั้นจะยังประโยชน์แก่บรรดาผู้ศรัทธา

 

          การตักเตือนกันก็เพื่อไปสู่เตาฮีด ตักเตือนกันเพื่อให้มีหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกหลักการศาสนา แล้วก็ต้องกำชับกันและกันให้ทำความดี และห้ามปรามการทำความชั่ว เราไม่สามารถจะรวบรวมผู้คนเพื่อสร้างประชาชาติที่เข้มแข็งได้ หากเราไม่แยกของผิดออกจากของถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของหลักอะกีดะฮฺ ถึงแม้เราจะมีเจตนาที่ดี มีเป้าหมายที่ดี มันก็ไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้ หากวิธีการที่เราใช้ มันไม่ได้นำไปสู่การให้เอกภาพแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มันต้องไม่มีการประนีประนอมกันในเรื่องที่ผิด มุสลิมเราจะต้องไม่มีหลักการที่ว่าแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างในด้านความเชื่อหรือหลักอะกีดะฮฺอย่างเด็ดขาด

           ไม่ใช่หลักการของอิสลามที่จะร่วมกัน หรือรวมกันในส่วนที่เหมือนกัน ส่วนความเชื่อในเรื่องที่ต่างกัน ไม่เหมือนกัน เราก็ไม่ว่ากัน ให้ต่างคนต่างทำกันไป ตามที่ตัวเองเชื่อ เพราะกลัวว่าจะเกิดการแตกแยกกัน ไม่เป็นเอกภาพ หลักความคิดอย่างนี้ไม่ถูก หลักความคิดแบบนี้ ไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ใช่คำสอนของบรรดานบีของอัลลอฮฺ ไม่มีบรรพชนคนต้นแบบผู้ศรัทธาในยุคสลาฟุซซอและฮฺคนใดเคยทำเช่นนี้มาก่อนเลย เราต้องหลีกห่างจากสิ่งนี้ หลีกห่างจากกลุ่มที่เขามีความคิดเช่นนี้ ไม่ใช่ไปรวมตัวกับพวกเขา ไปทำความรู้จักกับพวกเขา ไปรักใคร่สนิทสนมกับพวกเขา

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

แท้จริง ผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ที่อัลลอฮฺก็คือ ผู้ที่มีความยำเกรงในหมู่พวกเจ้า

 

          ซึ่งคนที่อยู่ในกลุ่ม 72 กลุ่มที่หลงผิด เราไม่สามารถจัดเขาให้อยู่ในหมู่ผู้ยำเกรงได้

          จำเป็นด้วยหรือ ที่เราจะต้องไปรักใคร่สนิทสนมกับพวกเขา ไปคลุกคลีตีโมงกับพวกเขา หรือยอมให้ลูกหลานเราแต่งงานกับพวกเขา ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาแล้วจะอยู่กันอย่างไร พ่อยึดถือแบบหนึ่ง ทำแบบหนึ่ง แม่ยึดถืออีกอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำอีกอย่างหนึ่ง แล้วการดำเนินชีวิตของตัวเรา ลูกหลาน ครอบครัว จะไปสู่เตาฮีดได้อย่างไร?

 

          ผู้ที่มีแนวทางที่ผิดเพี้ยน ถือเป็นศัตรูของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราต้องไม่เอาพวกเขามาเป็นมิตร เป็นเพื่อนสนิทชิดใกล้ อัลกุรอานในซูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 57 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตอาลา ตรัสว่า

 

     “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้เอาบรรดาผู้ที่เป็น (ศัตรูของอัลลอฮฺ) อันได้แก่บรรดาผู้ที่ ถูกประทานคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเจ้า (คือพวกยิว พวกคริสต์) บรรดาผู้ที่ชอบเอาศาสนาของพวกเจ้าเป็นที่เยาะเย้ย ล้อเล่นและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้...”

 

         การรักใคร่สนิทสนมกับผู้ที่ไม่มีหลักอะกีดะฮฺเหมือนกับเรา อาจทำให้เรากลายเป็นผู้หลงผิดได้ ท่านเคยได้ยินสโลแกนที่ว่าไม่มีซุนหนี่ ไม่มีชีอะฮฺ มีแต่อิสลามไหมครับ? เป็นวาทกรรมที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว ฟังแล้วรู้สึกดี มีแต่ความรักกัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่มีการแตกแยกกัน อิสลามจะยิ่งใหญ่แล้ว แต่พอคิดให้ลึกสักนิด คำว่าไม่มีซุนหนี่มันก็คือ ไม่มีซุนนะฮฺของท่านนบี พอไม่มีซุนนะฮฺของท่านนบี มันก็เท่ากับปฏิเสธกะลิมะฮฺ ชะฮาดะฮฺ ในส่วนที่สองถือเป็นอันตรายต่อหลักอะกีดะฮฺของเรา ถ้าหากเราไปรวมตัวกับผู้ที่มีแนวทางผิดเพี้ยน ไปอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา อาจทำให้เราคล้อยตามความคิดที่ผิดๆ ของพวกเขาได้และจะทำให้เราทอดทิ้ง เฉยเมยต่อหลักการของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในหลักการเรื่องที่ให้เราตักเตือนกัน และกำชับกันให้ทำความดี ห้ามปรามการทำความชั่ว

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำว่าอัลวะลาอฺ วัลบะร็ออฺไหมอัลวะลาอฺ วัลบะร็ออฺถือเป็นรุก่นหนึ่งจากรุก่นต่างๆ ของหลักอะกีดะฮฺ เป็นรุก่นหนึ่งที่จะทำให้อะกีดะฮฺของเราครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้กะลิมะฮฺ ชะฮาดะฮฺของเรา ที่กล่าวอยู่ทุกวันบรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือ ทำให้เรายึดมั่นในการเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ยอมให้มีชิริกใดๆ ต่อพระองค์และยอมรับปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยไม่มีเงื่อนไข

 

          ความหมายโดยสรุปของอัลวะลาอฺ วัลบะร็ออฺก็คือ การรักกัน การเป็นมิตรกันในหนทางของอัลลอฮฺ และจะต้องห่างเหินกัน ต้องมีท่าทีที่ไม่ชอบต่อผู้ที่ปฏิบัติขัดกับหลักการศาสนาที่ท่าน ร่อซูลุลลอฮฺนำมา หรือที่เราคงเคยได้ยินข้อความที่ว่ารักกันเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดกันเพื่ออัลลอฮฺหรือรักในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรัก และเกลียดในสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดนั่นแหละ

 

          “อัลวะลาอฺคือ การที่เราต้องมอบความรักของเราแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มอบแด่ท่านนบีของเรา มอบแด่บรรดาซอฮาบะฮฺของท่านนบี แล้วก็มอบแด่มุสลิม มุอฺมินที่มีหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องพร้อมทั้งให้การช่วยเหลือพวกเขาตามกำลังความสามารถ

 

          ส่วนอัลบะร็ออฺคือ การที่เราต้องแสดงความไม่ชอบต่อผู้ที่มีหลักอะกีดะฮฺที่ไม่ถูกต้อง ผู้ที่ปฏิบัติสวนทางกับแนวทางการปฏิบัติของท่านนบี ต้องแสดงความไม่เห็นด้วยในพิธีกรรมของพวกเขา ไม่ไปร่วม ไม่ไปคลุกคลีกับบรรดามุชริกีน บรรดามุนาฟิกีน บรรดามุบตะดิอีน หรือผู้ที่ทำบิดอะฮฺในเรื่องต่างๆ รวมถึงบรรดาผู้ที่บิดเบือนหลักการศาสนา หากเรายึดมั่นในหลักการนี้ มันก็จะทำให้หลักการของอิสลามโดดเด่นขึ้นมาเอง

          หากเราปรารถนาอยากให้สังคมของเรา ประชาชาติของเรามีความเข้มแข็ง ก็ให้เราดูที่การวางตัวของเราต่อบรรดาผู้คนเหล่านี้ได้เลยว่า มีท่าทีเช่นไร เพราะหากเราไม่ยึดมั่นในหลักการ อย่าหวังจะได้เห็นความเข้มแข็งของประชาชาติมุสลิม เราอย่าไปกลัวเลยว่าหากเรายึดมั่นในหลักการศาสนาแล้ว จะทำให้เราไม่มีเพื่อนหรือไม่ต้องไปคบกับใครเลย

          ขอให้เราอย่าลืมฮะดิษ ฆุรอบาอฺ หรือฮะดิษที่ว่าด้วยเรื่องของคนแปลกหน้าว่า คนที่เขายึดมั่นในหลักการศาสนา ปฏิบัติตามซุนนะฮฺท่านนบีอย่างเคร่งครัด ออกห่างจากชิริก หลีกหนีจากบิดอะฮฺ จะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนทั้งโลก แม้แต่กับมุสลิมด้วยกันเอง เขาก็ยังกลายเป็น คนแปลกหน้าเช่นกัน เพราะคนแปลกหน้าเหล่านี้ มีจำนวนน้อยในสังคม

          ท่านซุฟยาน อัษเษารีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่าหากท่านทราบข่าวว่ามีชายคนหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันออก แล้วเขาเป็นชาวซุนนะฮฺ ก็ขอให้บอกเขาเถิดว่าฉันฝากสลามถึงเขา เพราะชาวซุนนะฮฺนั้น มีอยู่น้อยเหลือเกินดังนั้น เราจงดีใจที่เราเป็นผู้หนึ่งในบรรดาคนส่วนน้อย ที่เป็นคนแปลกหน้าบนโลกนี้

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในมุสนัดของอิมาม อะฮฺมัด มีรายงานจากท่านอบูตะมีม อัลญัยชานีย์ ได้เล่าว่า ท่านได้ยินท่านอบูซัรรินเล่าว่า วันหนึ่ง ท่านอบูซัรรินได้เดินคล้องมือท่านนบีเพื่อเดินทางไปยัง ที่พักของท่านนบี 

     ท่านอบูซัรรินได้ยินท่านนบี กล่าวว่า “นอกเหนือจากดัจญาลแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่ฉันกลัวมากกว่าดัจญาลเสียอีก ว่ามันจะมาประสบกับ ประชาติของฉัน” 

     ท่านอบูซัรรินก็เลยถามท่านนบีว่าโอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังมีสิ่งใดอีกเล่าที่ท่านกลัวว่าจะมาประสบกับประชาชาติของท่านมากกว่าดัจญาล

     ท่านนบีตอบว่า สิ่งนั้นก็คือบรรดาอิมาม ที่ทำให้ผู้คนหลงผิด

 

         คำว่าบรรดาอิมาม ที่ทำให้ผู้คนหลงผิดหมายถึง บรรดาผู้นำ ผู้มีความรู้ที่มาเรียกร้องเชิญชวนผู้คนไปสู่เรื่องราวบิดอะฮฺหรือเรื่องราวที่ออกนอกแนวทางการศรัทธาที่ถูกต้อง

 

          ดัจญาล เป็นคนๆ หนึ่ง ที่จะมาปรากฏตัวในช่วงใกล้วันกิยามะฮฺ เขาจะมาล่อหลอกผู้คนให้หลงผิด ซึ่งท่านนบีมีความเป็นห่วงประชาชาติของท่านในเรื่องนี้มา ท่านนบีจึงได้สอนเรา ตักเตือนเรา ให้ขอดุอาอฺในเวลาละหมาด เพื่อให้รอดพ้นจากการล่อหลอกของดัจญาล แต่ปรากฏว่า ยังมีเรื่องที่ท่านกังวลว่าจะมาประสบกับประชาชาติของท่านมากกว่าดัจญาลเสียอีก นั่นเพราะว่า ดัจญาลจะมาก่อความวุ่นวายในช่วงใกล้วันกิยามะฮฺเท่านั้น และมันก็ไม่สามารถล่อหลอกมุสลิมที่มีอีมานได้ แต่บรรดาผู้นำที่หลงผิดจะมีมาทุกยุคทุกสมัย มาเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้หลงผิด ออกนอกหลักการที่ถูกต้อง จะมีผู้หลงเชื่อคล้อยตามจนเกิดเป็นกลุ่มก้อนมากมาย เช่น กลุ่มค่อวาริจญ์ กลุ่มชีอะฮฺ กลุ่มก็อดยานีย์ กลุ่มอิควาน กลุ่มก็อดดะริยะฮฺ กลุ่มเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่หลงผิด ตามคำฟัตวาของบรรดาอุละมาอฺ

 

          ดังนั้น หน้าที่ของเรา คือ ต้องระมัดระวังตัวเอง เมื่อได้ยินสิ่งใดมา ก็อย่าหลงเชื่อคล้อยตามทันทีโดยไม่ลืมหูลืมตา ให้พินิจพิจารณาไตร่ตรอง และพยายามศึกษาเรียนรู้หลักการของศาสนาพร้อมทั้งขอดุอาอฺให้ได้รับทางนำที่ถูกต้อง และให้ได้ยืนหยัดในทางนำนี้ตลอดไป เราอย่าได้หลงทะนงคิดว่า ฉันมีความรู้แล้ว ฉันยึดมั่นอยู่ในสัจธรรมแล้ว ฉันจะไม่หลงทาง

 

     ท่านชัยคฺซอและฮฺ บินเฟาซาน อัลเฟาซาน ฮะฟิเศาะฮุลลอฮฺ อุละมาอฺยุคปัจจุบันได้กล่าวเตือนเราว่า 

     “มุสลิมเรานั้น ต้องหมั่นขอดุอาอฺให้มีความยืนหยัดมั่นคงในศาสนา ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงสัจธรรมนั้น และปฏิบัติตาม และศรัทธายึดมั่นต่อสัจธรรมแล้วก็ตาม เราก็อย่าได้วางใจว่า เราจะไม่หลงออกจากสัจธรรมหรือจากฟิตนะฮฺต่างๆ เพราะหากฟิตนะฮฺต่างๆ ได้มาถึงเรา มันก็จะทำลายเรา และทำให้เราหลงออกจากทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ เราจำต้องมีความกลัวในความอ่อนแอของตัวเรา

     และด้วยกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เท่านั้น ที่จะทำให้เรามีอีมานที่เข้มแข็ง ดังนั้น ขอให้เราได้หมั่นขอดุอาอฺ ให้เรามีความยืนหยัดมั่นคงในศาสนา ขอให้ประสบกับความดีงามในบั้นปลาย ให้มีความกลัวต่อความชั่วในบั้นปลาย มีความกลัวต่อบรรดาฟิตนะฮฺทั้งหลาย มีความกลัวที่จะหลงออกจากทางนำที่ถูกต้อง และมีความกลัวต่อบรรดาผู้ที่เชิญชวนไปสู่หนทางที่นำไปสู่ความหลงผิด” 

 

เพราะความกลัวเหล่านั้น มันจะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง !

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ทั้งหมดนั้นก็คือ การถ่ายทอดความรู้ที่ผมได้รับมาจากบรรดาอุละมาอฺ บรรดานักวิชาการทั้งหลาย มันไม่ใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง จึงขอให้เราได้ตระหนักเถิดว่า มันเป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และร่อซูลของพระองค์ ถึงแม้ว่าคำสั่งในบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง แต่เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และ ร่อซูลของพระองค์ได้ทรงบัญญัติสิ่งใดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขืน หรือแสวงหาทางเลือกอื่นได้เลย และจะไม่มีความคิดเห็นหรือคำพูดอื่นใดมาตีเสมอได้เป็นอันขาด 

ในอัลกุรอานซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ อายะฮฺที่ 36 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “ไม่อนุญาตให้ผู้ศรัทธาชาย และผู้ศรัทธาหญิงคนใด (ที่จะไม่ปฏิบัติตาม) ในเมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ ได้ทรงกำหนดกิจการงานใดแล้ว ที่พวกเขาจะเลือกทางอื่นใดอีกแล้วในเรื่องของพวกเขา

     และผู้ใดที่ฝ่าฝืน ไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ แน่นอน เขาได้หลงผิดไปแล้วอย่างชัดเจน

 

 

ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 16 มกราคม 2559