การทำตัวผิดเพศ
  จำนวนคนเข้าชม  3810


การทำตัวผิดเพศ

 

โดย... อาจารย์ อับดุสสลาม เพชรทองคำ

 

         ท่านพี่น้องมุสลิมที่เคารพรักทุกท่าน พึงยำเกรงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เถิด เพราะการยำเกรง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะตาอาลา เป็นเสบียงที่ดียิ่งสำหรับเรา ทั้งในโลกนี้และโลกอาคิเราะฮฺ

 

          ในสังคมปัจจุบัน เราจะพบเห็นพฤติกรรมของการเลียนแบบเพศตรงข้ามว่าได้แพร่หลายเข้ามาอยู่ในสังคมของเรามากขึ้นทุกวัน มีการรณรงค์ให้มีการยอมรับพฤติกรรมดังกล่าวนี้ทั้งทางสื่อ และให้มีการยอมรับทางกฎหมายด้วย มีการเรียกร้องให้พวกเขามีความเท่าเทียมกันในสังคม สร้างทัศนคติให้ผู้คนคิดว่าคนที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศถือเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งในสังคมเรานี้ ไม่มีใครที่จะพูดเรื่องนี้มากนัก เพราะถ้าพูดก็จะกลายเป็นว่าไม่ให้เกียรติคนประเภทนี้ หรือไม่ให้สถานะทางสังคมแก่คนประเภทนี้

 

         ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มีทัศนะและได้ปฏิบัติไว้เป็แนวทางแก่ประชาติของท่าน ต่อคนประเภทนี้ไว้แล้วเมื่อ 1400 กว่าปี โดยมีฮะดิษรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส ว่า

 

     “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่งชายที่ตัวเป็นหญิง และหญิงที่ทำตัวเป็นชาย

      แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขับไล่พวกเขาออกจากบ้าน

     แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขับไล่กระเทยคนหนึ่ง และท่านอุมัรก็ได้ขับไล่กะเทยอีกคนหนึ่งด้วย

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ อบูดาวูด อัตติรมิซีย์ อิบนุมาญะฮฺ และท่านอื่นๆ)

 

     เราจะพบว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้างทุกสิ่งมาเป็นคู่ๆ พระองค์ได้ตรัสไว้

เราได้สร้างทุกสิ่งมาเป็นคู่ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้ไตร่ตรอง

(อัซซาริยาต 51 : 49)

 

         ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้างมาเป็นคู่ๆ เพื่อให้ใช้ชีวิตร่วมกัน อยู่เป็นครอบครัว ให้มีลูกมีหลาน ให้มีทายาท ซึ่งเป็นที่มาของการแพร่พันธุ์ของสิ่งมีชีวิต เป็นแนวทางการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา 

          ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงสร้างให้มนุษย์มี 2 เพศ แต่พระองค์ ก็ทรงทดสอบบุคคลบางคนโดยทรงสร้างให้พวกเขามีความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยไม่มีความชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงให้อยู่ในคนคนเดียวกัน คนประเภทนี้เรียกในภาษาอาหรับว่าคุนซาคือ คนที่มีอวัยวะเพศทั้งของชายและหญิงอยู่ในคนเดียวกัน หรือที่ไม่มีอวัยวะเพศทั้งสองเลย เพียงแต่มีช่องทางเป็นทางออกของปัสสาวะเท่านั้น 

          ส่วนอีกประเภทหนึ่งเรียกว่ามุคอนนัษคือ ผู้ชายที่มีเพศชัดเจน แต่เลียนแบบพฤติกรรมให้เหมือนผู้หญิง ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูด โดยพฤติกรรมนั้นมิได้เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งเป็นบุคคลประเภทที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวสาปแช่งเอาไว้ดังฮะดิษข้างต้น ดังนั้น จึงชัดเจนว่า มุคอนนัษ เป็นชายที่ไม่เหมือนกับ คุนซา

 

          ท่านพี่น้องพอจะสรุปได้ว่าคุนซา คือ ผู้ที่มีความผิดปกติทางโครงสร้างที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้มา บุคคลประเภทนี้อิสลามกำหนดบทบัญญัติต่างๆ อย่างชัดเจนสำหรับพวกเขา เพราะถือว่าพวกเขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป มิใช่พลเมืองชั้นสองหรือเป็นคนต่างชั้นวรรณะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความครบถ้วนสมบูรณ์ของอิสลามที่ได้วางบทบัญญัติเฉพาะมาให้ และให้ความสำคัญกับบุคคลประเภทนี้ด้วย 

 

          ส่วนมุคอนนัษนั้นคือ ชายที่ทำตัวเป็นหญิงทั้งคำพูดและการกระทำ เขาไม่พอใจในการสร้างของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทำกิริยาท่าทาง แต่งตัวเป็นผู้หญิง บางคนถึงกับผ่าตัดแปลงเพศ หรือกินยาเพิ่มฮอร์โมน คนประเภทนี้ที่เราเรียกว่ากะเทย บุคคลประเภทดังกล่านี้จัดอยู่ในข่ายของ มุคอนนัษ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกสาปแช่งทั้งหมด ส่วนผู้ที่มีกิริยาอ่อนช้อย มีลักษณะคล้ายหญิงมาตั้งแต่เกิด โดยไม่ได้มีเจตนาเลียนแบบเพศตรงข้ามนั้นไม่มีโทษ ไม่มีบาป หากแต่ต้องพยายามระวังควบคุมพฤติกรรมของตนมิให้เกินเลยขอบเขตไป

 

        ท่านพี่น้องที่เคารพ จากฮะดิษข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่าท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สาปแช่งผู้ที่เลียนแบบเพศตรงข้าม ซึ่งการสาปแช่งจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือเป็นการบ่งบอกว่าการกระทำนั้นเป็นบาปใหญ่หรือกะบาอิร นอกจากพฤติกรรมที่เลียนแบบเพศตรงข้ามแล้ว การแต่งตัวเลียนแบบเพศตรงข้ามก็ถือว่าอยู่ในข่ายของการถูกสาปแช่งด้วยเช่นกัน มีรายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า

 

     “แท้จริงท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สาปแช่งชายที่แต่งกายเลียนแบบหญิง และหญิงที่แต่งกายเลียนแบบชาย

(บันทึกโดย อิมาม อบูดาวูด และอันนะซาอีย์) 

นั่นคือการที่ผู้ชายแต่งตัวให้ดูเหมือนผู้หญิง และผู้หญิงแต่งตัวให้ดูเหมือนผู้ชายนั่นเอง


          จากฮะดีษข้างต้น ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มีคำสั่งให้ขับไล่ผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศให้ออกจากบ้าน เพื่อให้ครอบครัวห่างไกลจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะหากปล่อยเอาไว้ คนใครอบครัวอาจเลียนแบบ หรือได้รับอิทธิพลจากบุคคลประเภทนี้ ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดก็คือให้คนในครอบครัว รวมถึงสังคมห่างไกลจากบุคคลประเภทนี้ 

มีฮะดิษรายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า

 

มีกะเทยคนหนึ่งถูกนำตัวมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เขาใช้ใบเทียน (เฮนน่า) ทามือ ทาเท้า 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถามว่าเขามีเรื่องอะไรหรือ?” 

มีผู้ตอบท่านว่าโอ้ ร่อซูลุลลอฮฺ เขาทำตัวเลียนแบบผู้หญิง” 

ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้สั่งให้ไล่เขา ไปอยู่ที่ นะเกี๊ยะอฺ (อยู่ข้างๆ เมืองมะดีนะห์

พวกเขาถามท่านว่าไม่ให้เราฆ่าเขาหรือ?” 

ท่านตอบว่าฉันถูกห้ามมิให้ฆ่าผู้ที่ละหมาด

(บันทึกโดย อิมาม อบูดาวูด)

         ดังกล่าวข้างต้น ทำให้เรารู้ว่าอิสลามต้องการให้สังคมสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ต้องการให้บุตรหลานเคยชินกับพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน ทั้งพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ และพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนออกจากทางที่เที่ยงตรง คือ แนวทางของกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ

 

         สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การที่เราพูดถึงคนมุคอนนัษข้างต้นนั้น เราหมายถึงเพียงผู้ที่มีพฤติกรรมเลียนแบบเพศตรงข้ามเท่านั้น เรายังไม่ได้รวมถึงผู้ที่ร่วมหรือถูกร่วมเพศกับเพศเดียวกัน เพราะหากมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันนั้น จะมีโทษแตกต่างกับคนมุคอนนัษข้างต้น คือ จะมีโทษตามโทษของผู้ทำซินา คือ การเฆี่ยนและการเนรเทศ ตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่

          ในสมัยของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็มีกะเทย ซึ่งส่วนใหญ่มีพฤติกรรมโดยธรรมชาติมิใช่กระทำตนเลียนแบบเพศตรงข้าม บางครั้งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงอนุญาตให้บุคคลประเภทนี้เข้าไปพูดคุยกับภรรยาของท่านได้ 

มีฮะดิษที่รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ว่า

     “มี มุคอนนัษ คนหนึ่งเข้ามาพบบรรดาภรรยาของท่านนบี โดยพวกเขา (ประชาชนคนทั่วไป) ถือว่าคนคนนี้ไม่ใช่พวกที่มีความต้องการ (ในตัวเพศหญิง)”

     แต่แล้วเมื่อมีการสนทนาในบางข้อ มุคอนนัษคนนี้ได้บรรยายลักษณะสรีระของผู้หญิงออกมา เมื่อท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็นเช่นนั้นท่านจึงกล่าวว่า

     “อย่าให้เขาเข้ามาหาพวกเธอ (คือบรรดาภรรยาของท่านนบี) อีก

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

 

        สาเหตุที่ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อนุญาตในตอนแรกก็เพราะคนคนนี้ มีพฤติกรรมคล้ายหญิงโดยธรรมชาติ มิได้เลียนแบบ จึงอนุญาตให้พูดคุยกับบรรดาภรรยาของท่านได้ เพราะถือว่าเขาไม่สนใจสภาพของพวกนางไม่ได้สนใจว่าใครจะสวย จะไม่สวย หรือไม่สนใจไม่มีความต้องการในตัวของผู้หญิง อันเป็นลักษณะของคนประเภทนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

     “และพวกนางจะไม่เปิดเผยสิ่งสวยงามของพวกนาง เว้นแต่กับสามีของพวกนาง หรือบิดาของพวกนาง หรือบิดาของสามีของพวกนาง หรือลูกชายของพวกนาง หรือลูกชายของสามีพวกนาง

     หรือพี่น้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่น้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่น้องหญิงของพวกนาง หรือที่มือขวาของพวกนางครอบครอง หรือผู้ติดตามรับใช้ชายที่ไม่มีความต้องการรู้สึกในเพศหญิง

(อันนูรฺ 24 : 31)

 

         ซึ่งก็หมายความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือว่าคนคนนี้อยู่ในประเภทที่ไม่สนใจหรือมีความต้องการในผู้หญิง แต่เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ท่านก็ห้ามเขามาพบกับบรรดาภรรยาของท่านอีก

 

         ท่านพี่น้องที่เคารพ กะเทยที่มีพฤติกรรมเลียนแบบเพศตรงข้าม มักชอบอ้างความชอบธรรมในพฤติกรรมของตน บางทีก็อ้างรายงานแพทย์ บางทีก็อ้างระเบียบปฏิบัติของตะวันตกที่ยอมรับการมีอยู่ของพวกเขา บางทีก็อ้างเรื่องสิทธิส่วนบุคคลโดยบอกว่าร่างกายเป็นของเขาเอง จิตใจก็เป็นของเขาเอง เขาจะทำอะไรกับตัวของเขาเองก็ได้ จะผ่าตัดเสริมแต่งอะไรก็ได้ จะรับประทานยาเพิ่มฮอร์โมนก็ย่อมได้ เพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเสียหาย

 

          ในทัศนะของอิสลามแล้ว การสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอำนาจของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงมีอำนาจเบ็ดเสร็จว่าจะทำให้ใครอยู่ในสภาพใดก็ได้ มีอวัยวะครบ 32 หรือพิการ จะเป็นชายหรือหญิง รวยหรือจน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ตั้งแต่อยู่ในท้อง เราไม่มีสิทธิที่จะไปเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น 

          ดังนั้นตามนัยยะนี้ ผู้ที่ถูกสร้างมาแบบคุนซาก็คือผู้ที่ถูกทดสอบ เขาจึงต้องอดทนเช่นเดียวกับผู้ที่เกิดมาพิการ ส่วนผู้ที่มุคอนนัษที่เลียนแบบเพศตรงข้ามนั้น เขาทำเสมือนกับว่าเขาไม่พอใจในการสร้างของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า การเบี่ยงเบนทางเพศนั้นมันมาจากชัยฏอน

 

     “พวกเขาจะไม่วิงวอนขออื่นจากพระองค์นอกจากเจว็ดหญิงและพวกเขาจะไม่วิงวอนขอนอกจากชัยฏอนที่ดื้อรั้นเท่านั้น

     อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งมันแล้ว และมันได้กล่าวว่า

     แน่นอนยิ่ง ข้าพระองค์จะเอาจากปวงบ่าวของพระองค์ให้ได้ซึ่งส่วนที่ถูกกำหนดไว้ และแน่นอนยิ่ง ข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาหลงผิด

     และแน่นอนยิ่ง ข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และแน่นอนยิ่ง ข้าพระองค์จะใช้พวกเขา และแน่นอนพวกเขาก็จะผ่าหูปศุสัตว์

     และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา และแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้าง

     และผู้ใดที่ยึดเอาชัยฏอนเป็นผู้ช่วยเหลือ แน่นอนเขาก็ขาดทุนอย่างชัดเจน

(อันนิซาอฺ 4 : 117 – 119)

 

          ดังนั้น การผ่าตัดแปลงเพศจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้าง ฮุก่มของผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเพศนั้น อิสลามไม่ยอมรับการแปลงเพศของเขา และถือเอาเพศที่แท้จริงที่เขากำเนิดมา แม้ว่าหลายๆ ประเทศจะผ่านกฎหมายอนุญาตให้ใช้คำนำหน้าชื่อ ตามเพศที่เขาแปลงมาก็ตาม บุคคลประเภทนี้เปรียบเสมือนผู้ป่วยทางจิตประเภทหนึ่งที่ต้องการการเยียวยารักษาทางจิตใจ 

 

          การอ้างเรื่องธรรมชาติเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากมาจากธรรมชาติ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ทรงสร้างคุนซาขึ้นมาเป็นธรรมชาติ ซึ่งอิสลามก็มิได้ดูหมิ่นหรือลงโทษแต่อย่างใด นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเรื่องของการสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น

         ความต้องการดังกล่าวก็มาจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมของคนใกล้ชิด ถูกเลี้ยงมาอย่างไร คนใกล้ชิดมีพฤติกรรมอย่างไร สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร ปูมหลังในวัยเด็ก อบรมกันมาอย่างไร อยู่กับใคร อิสลามเรียกปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ว่าเป็นการกระซิบกระซาบของชัยฏอน เป็นการล่อลวงของชัยฏอนทั้งที่เป็นญินและมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เปลี่ยนแปลง ไม่ยอมรับการสร้างของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงสร้าง

มีฮะดิษ รายงานจากท่านอิบนุ มัสอู๊ด ว่า

 

     “อัลลอฮฺทรงสาปแช่งหญิงที่สักคนอื่น และหญิงที่ขอให้คนอื่นสักให้ หญิงที่โกนขนบนใบหน้า และขอให้คนอื่นโกนให้ หญิงที่จัดฟันให้ห่างเพื่อความสวยงาม ผู้เปลี่ยนแปลงการสร้างแห่งอัลลอฮฺ

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม)

 

        อัลลอฮฺไม่ทรงลิดรอนสิทธิของผู้ใด แต่ตรงข้าม มนุษย์กลับไปล่วงเกินกับสิทธิและอำนาจของพระองค์ หากว่ามนุษย์ยอมโอนอ่อนไปตามกระแสสังคม สักวันหนึ่งมนุษย์อาจจะสูญพันธุ์ก็เป็นได้

 

          ส่วนการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปในด้านหนึ่ง เช่น หากคนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นคนในครอบครัว เป็นลูก เป็นหลาน เป็นญาติพี่น้อง ก็ต้องหาทางรักษาให้สุดความสามารถ อาจจะบำบัดทางจิต อาจจะปรึกษาจิตแพทย์ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องเด็ดขาด คือ ต้องเด็ดขาดในการปกป้องบุคคลในครอบครัวและสังคม ดังเช่นที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยขับไล่กะเทยบางคนออกไป

 

         การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี มีส่วนสำคัญต่อพฤติกรรมของบุคคลในครอบครัว บางรายได้รับอิทธิพลจากเพื่อน บางรายเลียนแบบจากสื่อ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นหน้าที่ของพ่อ แม่ และบางคนในครอบครัวโดยตรงที่จะต้องคอยสอดส่องดูแล

 

 

ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 28 มกราคม 2555