ท่านษุมามะห์ อิบนุ อุษาล
  จำนวนคนเข้าชม  8892

 

ท่านษุมามะห์ อิบนิ อุษาล

ผู้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจชาวกุเรช

           
           ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย เพราะเขาคือประมุขของชาวอาหรับยุคญาฮิลียะห์ซึ่งยุคนั้น คำสั่งของหัวหน้าเผ่าต้องได้รับการตอบสนองเสมอ และเขาเป็นหัวหน้าเผ่า "บะนีฮะนีฟะห์" เป็นราชาแห่งแคว้น "ยะมามะห์" ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งอีกด้วย

          "ษุมามะห์" ได้รับสาส์นของท่านร่อซูล แต่เขาแสดงท่าทีดูถูกและหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับฟังและยังได้ตอบโต้คำเชิญชวนนั้นด้วยความแค้นเคืองและความผิดบาป เขาทำเป็นหูตึงไม่ยอมรับฟังคำเชิญชวนที่เป็นสัจจะและดีงาม และมารร้ายได้เข้าสิงสู่ล่อลวงจนเขาคิดจะฆ่า ท่านร่อซูล และคิดว่าจะต้อง ฝังสาส์นที่ท่านร่อซูลส่งมานั้นลงในหลุมศพของท่านนบีพร้อมกันเสียเลยทีเดียว

          เขาพยายามหาโอกาสจัดการฆ่าท่านนบีจนตัวเองถึงกับจะบ้าคลั่งเสียสติอาชญากรรมชั่วเกือบสำเร็จแต่ต้องชงักลงเพราะอาของเขาคนหนึ่งได้ขอร้องให้เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น ในโอกาสสุดท้ายก่อนลงมือดังนั้น อัลเลาะห์ ทรงให้ท่านร่อซูล รอดพ้นจากความชั่วร้ายครั้งนี้แม้ว่า "ษุมามะห์" จะเลิกล้มเรื่องฆ่าท่านร่อซูล แต่ก็ยังไม่งดเว้นที่จะเลิกเล่นงานบรรดา "ศอฮาบะห์"

          เขาเริ่มคอยจ้องหาโอกาสติดตามล้างผลาญจนกระทั่งประสบเหมาะ จึงเข่นฆ่าศอฮาบะห์อย่างชั่วช้าสามานย์ที่สุด ท่านร่อซูล จึงประกาศให้เหล่าศอฮาบะห์ทราบว่า "บัดนี้ เลือดของษุมามะห์เป็นที่อนุมัติแล้ว" อีกไม่กี่วันต่อมา "ษุมามะห์" ปรารถนาที่จะทำ อุมเราะห์ ตามแบบประเพณีของอาหรับญาฮิลียะห์เขาจึงออกเดินทางจาก ยะมามะห์ มุ่งหน้าสู่มักกะห์เพื่อต้องการจะฎอวาฟรอบกะบะห์ และเชือดสัตว์ถวายรูปปั้นที่อยู่รอบๆบริเวณนั้น

          เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับมะดีนะห์ก็หยุดพักผ่อนโดยไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นและในขณะนั้นมีกองลาดตระเวณของ ท่านร่อซูล กำลังวนเวียนตรวจตราอยู่ทั่วเมืองเพราะเกรงว่าจะมีการรุกรานมะดีนะห์หรือเข้ามากระทำมิดีมิร้าย ณ ที่นั้นทหารได้จับตัวษุมามะห์ โดยไม่รู้ว่าเขาคือใครแล้วนำตัวเข้ามะดีนะห์และจับมัดไว้กับเสามัสยิดรอท่านร่อซูลสั่งการด้วยตัวเองว่าจะจัดการกับเชลยผู้นี้อย่างไร

เมื่อท่านนบีออกจากบ้านจะไปมัสยิด ก่อนจะเข้ามัสยิดท่านเห็น ษุมามะห์ ถูกมัดอยู่ที่เสา ท่านจึงถาม ศอฮาบะห์ว่า :

          พวกท่านรู้ไหมว่าจับตัวใครมา?

พวกเขาตอบว่า :

          ไม่ทราบครับ โอ้ท่านร่อซูล

ท่านจึงบอกว่า :

          คนนี้แหละคือ ษุมามะห์บิน อุษาล อัลฮะนะฟีย์ ขอให้พวกท่านปฎบัติกับเขาด้วยดี

หลังจากนั้น ท่านก็เดินกลับบ้านและบอกกับภรรยาของท่านว่า :

          ที่เธอมีอาหารอะไรบ้าง?

         เพื่อจะนำไปให้ษุมามะห์ นอกจากนั้นท่านยังได้สั่งให้รีดนมอูฐและนำอาหารไปให้ษุมามะห์ทุกเช้าเย็นอีกด้วยก่อนที่จะได้พบท่านร่อซูล เพื่อเจรจากัน

ต่อมาท่านร่อซูล ได้มาหา ษุมามะห์ เพื่อต้องการจะให้เขารับนับถือศาสนาอิสลาม ท่านถามว่า :

          ษุมามะฮฺท่านได้รับการปฎิบัติเช่นไรบ้าง?

ษุมามะห์ตอบว่า :

          โอ้มุฮัมมัด ฉันได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมทีเดียว ถ้าหากท่านจะฆ่าก็จงฆ่าฆาตกรที่เคยฆ่าพรรคพวกของท่านมาแล้ว แต่ถ้าหากท่านจะอภัยก็จงอภัยผู้ที่ขอบคุณท่านเถิด หรือถ้าต้องการทรัพย์ ก็ให้บอกมา ท่านจะได้รับตามจำนวนที่ท่านต้องการ

ท่านร่อซูล ได้ยินดังนั้นก็กลับเข้าบ้านจนกระทั้งถึงวันรุ่งขึ้นท่านมาหาอีกครั้งหนึ่งและยังถามอีกว่า :

          ษุมามะห์เจ้าจะเอาอย่างไร?

ษุมามะห์ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ท่านร่อซูลจึงหันไปสั่งซอฮาบะห์ว่า :

          ปล่อยษุมามะห์ได้

          พวกเขาจึงเข้าแก้มัดและปล่อยตัวษุมามะห์ไป ทันทีที่ได้รับอิสรภาพษุมามะฮฺห์ออกจากมัสยิดของท่านร่อซูล และเมื่อไปถึงสวนอินทผาลัมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณใกล้กับกุบู้รบะเกี๊ยะอฺ ณ ที่นั้น มีแหล่งน้ำ เขาจึงให้อูฐคุกเข่าลงและตนเองก็อาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดหมดจดเสร็จแล้วก็ย้อนกลับมาที่มัสยิดท่านนบีอีกครั้งหนึ่ง และเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าบรรดาพี่น้องมุสลิมซึ่งกำลังจับกลุ่มกันอยู่ พร้อมกับได้กล่าวว่า :

          อัชฮะดุ อันลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะอัชฮะดุอันนะ มุฮัมมะดันอับดุฮูวะร่อซูลุฮู

          "ข้าพเจ้าขอปฎิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฎิญาณว่ามุฮัมมัดคือบ่าวของพระองค์และร่อซูลของพระองค์ "

ษุมามะห์ กล่าวกับ ท่านร่อซูล อีกว่า :

          โอ้มุฮัมมัด ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าไม่เคยมีใครในโลกนี้อีกแล้วที่ฉันเกลีอดน้ำหน้ามากไปกว่าท่านแต่บัดนี้ท่านเป็นที่รักยิ่งของฉันยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าไม่มีศาสนาใดที่ฉันเกลียดมากเท่าศาสนาอิสลามแต่บัดนี้อิสลามได้กลายเป็นศาสนาที่ฉันรักมากที่สุด ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าไม่เคยมีเมืองใดที่ฉันเกลียดยิ่งไปกว่าเมืองของท่านแต่บัดนี้เมืองของท่านได้กลายเป็นที่รักยิ่งแก่ฉันยิ่งกว่าเมืองใดทั้งหลาย

ต่อจากนั้นเขาก็กล่าวสารภาพว่า :

          ฉันเองเป็นผู้ฆ่าซอฮาบะห์ของท่าน ท่านจะจัดการอย่างไรฉันก็ยอม

ท่านร่อซูลกล่าวว่า :

          ษุมามะห์เอ๋ย เจ้าไม่มีข้อครหาใดๆอีกแล้วเพราะการรับนับถือศาสนาอิสลามได้ลบล้างการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าที่เกิดขึ้นมาในอดีตจนหมดสิ้น

   และท่านร่อซูล ก็บอกความปลื้มปิติให้เขาได้ทราบว่าอัลเลาะห์ ทรงบันทึก ความดีให้เขามากมายอันเนื่องจากการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามของเขา สีหน้าของษุมามะห์ แสดงความพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า :

          ขอสาบานต่ออัลลเลาะห์ พวกมุชริกีนต้องได้รับภัยพิบัติมากยิ่งกว่าที่บรรดาศอฮาบะห์ได้รับมา ฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าจะมอบชีวิตดาบและผู้อยู่ใต้ปกครองเพื่อช่วยเหลือท่านร่อซูล และศาสนาอิสลาม

และได้กล่าวต่อไปว่า :

         โอ้ท่านร่อซูล ทหารของท่านได้จับตัวฉันมาซึ่งขณะนั้นฉันตั้งใจจะไปทำอุมเราะห์ ท่านเห็นควรว่า จะทำอย่างไรต่อไป?

ท่านร่อซูลตอบว่า :

          จงไปทำทำอุมเราะห์เถิด แต่ต้องปฎบัติตามแบบอย่างอิสลามอย่าได้ทำตามแบบญาฮิลียะห์

          และท่านนบีก็ได้สอนวิธีทำอุมเราะห์แบบอิสลามให้เขาด้วยษุมามะห์จึงเดินทางไปสู่เป้าหมายจนกระทั่งถึงมักกะห์ เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมเปล่งเสียงตัลเบี้ยะฮฺว่า :

          "ลับบัยกัลลอฮุมมะ ลับบัยกฺ ลับบัยกะลาชารีกะ ละกะลับบัยกฺ อินนัลฮัมดะ วันนิอฺมะตะ ละกะ วัลมุลกฺ ลาชารีกะ ละกะ"

          ดังนั้นท่านษุมามะห์จึงเป็นมุสลิมคนแรกที่เข้ามักกะฮฺ โดยกล่าว "ตัลบียะห์" เมื่อพวกกุเรชได้ยินเสียง "ตัลบียะห์" ความโกรธก็พุ่งขึ้นสุดขีดดาบถูกกระชากออกจากฝักมุ่งสู่เสียงนั้นทันที เพื่อจะประหารผู้บังอาจบุกรุกเข้ามา เมื่อพวกนั้นมาถึงตัวท่านษุมามะห์ผู้ส่งเสียงตัลบียะห์ ษุมามะห์ไม่ได้หวั่นใจเลยแต่กลับมองดูพวกนั้นอย่างทรนงตน จนทำให้ชายฉกรรจ์กุเรชผู้หนึ่งถึงกับจะใช้หอกฆ่าเขาแต่ถูกพรรคพวกคว้าข้อมือไว้เสียก่อน

พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า :

          นี่จะบ้ารึ..เจ้ารู้ไหมว่าชายผู้นี้เป็นใคร? เขาคือ ษุมามะห์ บินอุษาล เจ้าเมืองแห่งแคว้นยะมามะห์หากพวกเจ้าทำร้ายเขาเพียงนิดเดียว พรรคพวกของเขาต้องตัดความช่วยเหลือพวกเราแน่นอน และจะทำให้พวกเราอดตาย

พวกกุเรชจึงเก็บดาบเข้าฝักดังเดิม และหันไปกล่าวกับษุมามะห์ว่า

          โอ้ษุมามะห์ ท่านเป็นอะไรไปแล้วหรือ? หรือว่าท่านเอนเอียงละทิ้งศาสนาของท่านและของบรรพบุรุษของท่านไปเสียแล้ว?

ษุมามะห์ตอบว่า :

          ข้ามิได้เอนเอียงแต่บัดนี้ข้าปฎิบัติตามศาสนาที่ดีที่สุดข้าได้รับนับถือศาสนาอิสลามที่ท่านมุฮัมมัด นำมาแล้ว

และยังกล่าวอีกต่อไปว่า :

          ข้าขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ว่าการกลับไปยะมามะห์ครั้งนี้จะไม่มีสินค้าใดๆ หรือแม้แต่ข้าวสาลี สักเมล็ดเดียวมาถึงพวกเจ้าอีกจนกว่าพวกเจ้าทุกคนจะนับถือศาสนาอิสลามที่ท่านมุฮัมมัดนำมา

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

 


 

 

ท่านษุมามะห์ อิบนิ อุษาล  2 >>>Click