สิทธิของมารดาในศาสนาอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  21318

สิทธิของมารดาในศาสนาอิสลาม

 

           เราจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับความประเสริฐของบรรดาผู้เป็นแม่และอะไรคือผลตอบแทนอันใหญ่หลวงของพวกนาง ณ ที่อัลลอฮฺผู้ทรงเมตตา? แท้จริงอัลลอฮฺ ได้สรรเสริญนบีของพระองค์คือ อีซา อะลัยฮิสลาม แล้วตรัสว่า

«وَبَرًّا بِوَالِدَتِي» [مريم/32]

“และ(พระองค์)ทรงให้ฉันทำดีต่อแม่ของฉัน”

 
          ความหมายของการทำดี คือ การติดต่อสัมพันธ์ ดังที่ท่านนบี ได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งแล้วถึงฐานะของแม่ที่ทรงเกียรติในหะดีษที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ ในขณะที่เศาะหาบะฮฺมาถามท่านว่า ใครที่สมควรแก่การทำดีมากที่สุด? ท่านตอบว่าแม่ของท่าน....” และตามความหมายของหะดีษนี้แล้ว ผู้เป็นแม่ควรต้องได้รับการทำดีจากลูกสามเท่าของผู้เป็นพ่อ อันเนื่องมาจากความยุ่งยากลำบากของการอุ้มครรภ์ การคลอดและการให้นม อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

«وَوَصَّيْنَا الْإِنْسَانَ بِوَالِدَيْهِ إِحْسَانًا حَمَلَتْهُ أُمُّهُ كُرْهًا وَوَضَعَتْهُ كُرْهًا وَحَمْلُهُ وَفِصَالُهُ ثَلَاثُونَ شَهْرًا» [الأحقاف/15]

 “และเรา(อัลลอฮฺ)ได้สั่งเสียมนุษย์ให้ทำดีกับพ่อแม่ของเขา แม่ของเขาได้อุ้มครรภ์เขาด้วยความเหนื่อยยาก

และได้คลอดเขาด้วยความเจ็บปวด และการอุ้มครรภ์เขาและการหย่านมของเขาในระยะเวลาสามสิบเดือน”

 
และอัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า

«وَلَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنْسَانَ مِنْ سُلَالَةٍ مِنْ طِينٍ، ثُمَّ جَعَلْنَاهُ نُطْفَةً فِي قَرَارٍ مَكِينٍ، ثُمَّ خَلَقْنَا النُّطْفَةَ عَلَقَةً فَخَلَقْنَا الْعَلَقَةَ مُضْغَةً فَخَلَقْنَا الْمُضْغَةَ عِظَامًا فَكَسَوْنَا الْعِظَامَ لَحْمًا ثُمَّ أَنْشَأْنَاهُ خَلْقًا آَخَرَ فَتَبَارَكَ اللَّهُ أَحْسَنُ الْخَالِقِينَ» [المؤمنون/12-14]

“และแท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้สร้างมนุยษ์มาจากธาตุดิน, แล้วทำให้เป็นเชื้ออสุจิอยู่ในที่พักอันมันคง(คือมดลูก),

แล้วเราก็ได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด ได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ จากนั้นได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก

ได้หุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วได้เป่าวิญญาณให้กลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮฺทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง”


           และดังที่ได้ผ่านเรามาแล้วในอายะฮฺอันยิ่งใหญ่ว่า แม่นั้นเดินผ่านระยะเวลาต่างๆ ทุกๆระยะเวลานั้นมีความยากลำบากยิ่งกว่าระยะเวลาอื่นๆที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่การที่เชื้ออสุจิของสามีตกวางอยู่ในมดลูกของนาง นางต้องลำบากโดยที่ไม่มีใครรู้นอกเสียจากอัลลอฮฺ เท่านั้น ที่ทรงทราบว่านางเหน็ดเหนื่อยเพียงใด  หลังจากนั้นก็เป็นระยะเวลาของการคลอดลูกซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายถึงชีวิต บางทีแม่อาจเสียชีวิตขณะที่นางคลอดลูกออกมา สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นกับแม่ที่ต้องรับทุกข์แต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นทั้งหมดก็เป็นระยะเวลาของการให้การอบรมสั่งสอนร่วมกันระหว่างพ่อแม่ทั้งสองคน


 

สถานะอันสูงส่งของแม่

           แท้จริงหน้าที่ของแม่ในการอบรมสั่งสอนนั้นเป็นส่วนที่เยอะที่สุด(มากกว่าพ่อ) นางได้แบกภาระอย่างหนักหน่วงและเหนื่อยยาก ต้องแบกภาระความเจ็บปวดเมื่อเจ็บครรภ์และความลำบากของมัน ต้องดูแลการให้นมลูกอย่างจริงจัง ทั้งหมดนี้นางไม่เคยคิดถึงความเจ็บปวดหรือโรคภัยที่ต้องประสบหรือความเหนื่อยยากที่คอยรบกวนนางเลยแม้แต่นิด พร้อมกันนั้นไม่เคยรอคอยค่าตอบแทนหรือคำขอบคุณต่อสิ่งเหล่านั้นเลย เว้นแต่หวังความโปรดปรานจากอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งเท่านั้น

           แท้จริงแม่ได้ใช้ชีวิตชั่วอายุของนางเพื่อเป็นผู้รับใช้ให้กับลูกๆ เป็นนางพยาบาลให้กับพวกเขา เป็นแม่ที่รักเอ็นดูลูกๆ ไม่รังเกียจที่จะล้างสิ่งสกปรกหรือภาพที่เห็นและเหตุการณ์ที่ประสบกับลูก คอยอดนอนเพื่อให้ท่านได้นอน ต้องเป็นทุกข์เพื่อให้ท่านมีความสุข และต้องอดจากความสุขของโลกนี้เพื่อท่านคนเดียว ท่านเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของนาง วันที่แม่มีความสุขและปิติยินดีที่สุดคือวันที่นางเห็นท่านเป็นชายหนุ่มที่เบิกบานที่เชื่อฟังในคำสั่งของอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งและออกห่างจากสิ่งที่ต้องห้าม

           แท้จริงฉันขอสาบานด้วยอัลลอฮฺว่า ฉันรู้สึกฉงนนักกับหัวใจของผู้เป็นแม่ หัวใจของแม่นั้นไม่เคยโกหกแถมนางยังมีความรู้สึกที่แปลกประหลาดต่อลูกของนาง มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺ! หากว่าลูกของนางได้ประสบกับบางสิ่งบางอย่าง แน่นอนหัวใจของแม่นั้นเป็นพยานส่อให้เห็นถึงความรู้สึกของนางต่อลูก ซึ่งหัวใจของแม่นั้นไม่เคยโกหก

 

มีรายงานว่า ชายชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้เฏาะวาฟ(เวียนรอบวิหารกะอฺบะฮฺ)กับแม่ของเขา โดยที่เขาแบกนางไว้บนหลัง เมื่อเสร็จสิ้นจากการเฏาะวาฟ

เขาก็ได้ถามอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ว่า ท่านเห็นฉันได้ตอบแทนบุญคุณของแม่แล้วหรือไม่?

อิบนุ อับบาส ตอบว่า “ไม่ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺว่า แม้ขนาดความเจ็บปวดเพียงครั้งเดียวของแม่ยามให้กำเนิดเจ้า (เจ้าก็ยังตอบแทนไม่เท่ากับบุญคุณนั้นเลย)"

          

          มีรายงานจากอัลหะซัน บิน อาลี เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ว่า ท่านเกรงกลัวและระมัดระวังอาหารที่กินร่วมกันกับแม่ของท่านมาก เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ท่านตอบว่า "ฉันกลัวว่ามือของฉันจะล้ำไปหยิบอาหารคำหนึ่งที่สายตาของนางมองอยู่ แล้วฉันก็กลายเป็นผู้ที่ได้เนรคุณต่อท่าน"

         

          ยังมีรายงานจากชาวสะลัฟอีกคนหนึ่งว่า เมื่อเขาได้เสร็จสิ้นจากการฝังศพแม่ของเขาแล้ว เขาหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น ณ หลุมฝังศพของนาง เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เขาตอบว่า "จะไม่ให้ฉันหลั่งน้ำตาได้อย่างไรในเมื่อประตูหนึ่งของสวรรค์ได้ถูกปิดสำหรับฉันแล้ว"
 

อัลลอฮุ อักบัร ! เราอยู่ส่วนไหนของพวกเขาเหล่านั้น?

           นี่แหล่ะคือสถานะของแม่ ที่ควรแก่การยกย่องด้วยเหตุผลทุกประการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใครคนหนึ่งต้องลืมสิทธิของพ่อ ซึ่งตลอดระยะเวลานานพ่อได้กระตือรือร้นทำงานหนักเพื่อพวกเราและพี่น้องคนอื่นๆ ของเรา พ่อได้แบกภาระความเหนื่อยยากเพื่อให้พวกเรามีความสุขและปลอดภัย พ่อกินอาหารราคาถูกและสวมใส่เสื้อผ้าหยาบกร้าน เพื่อเก็บออมชีวิตที่สุขสบายให้กับลูกๆ พ่อได้ฟังคำหนักหูที่สั่งเขาให้ทำโน่นทำนี่ พ่อได้กลืนความขมขื่นและแบกภาระหนี้สิน และเผชิญหน้าทุกอย่างเพื่อลูกๆ โดยที่พวกเขาในขณะนั้นกำลังหลับนอนหรือเล่นรื่นเริงอยู่ หรือไม่รู้สึกถึงการดูแลของพ่อเลย

ครั้งหนึ่งท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้เห็นชายคนหนึ่งเดินตามชายอีกคนหนึ่ง ท่านถามเขาว่า คนผู้นี้เป็นใคร?

เขาตอบว่า พ่อของฉันเอง

อบู ฮุร็อยเราะฮฺจึงกล่าวว่า "เจ้าจงอย่าเรียกเขา(พ่อของเจ้า)ด้วยนามของเขา(เพื่อเป็นการให้เกียรติ) จงอย่านั่งก่อนที่เขาจะนั่ง และจงอย่าเดินนำหน้าเขา"


 

การตักเตือนจากการเนรคุณต่อพ่อแม่

           แท้จริงการเนรคุณต่อพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้ามและเป็นส่วนหนึ่งของบาปใหญ่  และผู้ที่เนรคุณต่อพ่อแม่ของเขาก็จะได้เห็นผลตอบแทน(โทษ)ในโลกดุนยาก่อนโลกอาคิเราะฮฺ ซึ่งมันเป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ในโลกดุนยาก่อนโลกอาคิเราะฮฺ ดังนั้นผู้ที่ทรมานและเนรคุณต่อพ่อแม่ของเขาก็จงระวังว่าอัลลอฮฺกำลังสังเกตดูอยู่และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺจากการกระทำของเขาเช่นนี้ และท่านจงอย่าให้ทั้งสองได้ยินแม้แต่คำที่แสดงถึงอาการไม่พอใจแก่ท่านทั้งสอง นับประสาอะไรกับสิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้น

          รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อัลอาศ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

“บาปใหญ่นั้นคือ การตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ การเนรคุณต่อพ่อแม่ การฆ่าตัวตายและการสาบานที่ตั้งใจโกหก(ไม่ทำตามที่สาบาน)

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)

           และรายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อัลอาศ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา อีกเช่นกันว่า

ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งของบาปใหญ่นั้นคือ การที่ผู้ชายด่าว่าพ่อแม่ของเขา”

เศาะหาบะฮฺถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ มีคนด่าว่าพ่อแม่ของเขาด้วยหรือ?

ท่านตอบว่า “ใช่ นั่นคือ เขาไปด่าว่าพ่อของคนอื่น และเขาคนนั้นก็ด่าว่าพ่อของเขากลับ และเขาไปด่าว่าแม่ของคนอื่น และเขาคนนั้นก็ด่าว่าแม่ของเขากลับ”

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม)

 

พี่น้องมุสลิม...และมุสลิมะฮฺที่มีเกียรติ

           ในตอนท้ายนี้ หลังจากที่ได้รับรู้ถ้อยคำที่ดีเหล่านี้ ซึ่งได้ให้ความกระจ่างแก่เราเกี่ยวกับความประเสริฐของผู้ที่เป็นสาเหตุให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้หลังจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา และสิ่งที่ควรมีให้กับทั้งสอง(พ่อแม่)ซึ่งการยกย่องและให้เกียรติ ไม่มีอะไรที่หลงเหลืออีกแล้วนอกจากว่า พวกเราแต่ละคนต้องกลับทบทวนและดูตัวเองว่า เราเป็นผู้ที่บกพร่องหรือว่าเราเป็นผู้ที่ทำดีต่อท่านทั้งสองแล้ว?

ถ้าหากว่าเราอยู่ในกลุ่มแรกก็จงขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ เสียใจ สำนึกผิดในสิ่งที่ผ่านและเริ่มทำดีต่อทั้งสองใหม่ แต่ถ้าหากทั้งสองหรือใครคนใดคนหนึ่งได้เสียชีวิตแล้ว ก็ให้ขอดุอาอ์และความเมตตาให้กับทั้งสองและทำดีต่อมิตรสหายของทั้งสอง

แต่ถ้าหากอยู่ในกลุ่มที่สองก็จงสรรเสริญอัลลอฮฺและกระทำเช่นนั้นต่อไป เพราะส่วนหนึ่งของสัญญาณการตอบรับความดีนั้นคือ การทำดีอย่างหนึ่งถัดจากความดีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมันเป็นความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ให้กับเขา และจงมุ่งมั่นใช้โอกาสช่วงที่ทั้งสองมีชีวิตด้วยการทำดีต่อท่านก่อนที่ห้วงเวลาอันมีค่านี้จะผ่านเลยไปโดยไม่หวนคืนอีก


     

ขออัลลอฮฺทรงประทานความจำเริญและสันติแด่นบีมุหัมมัด และแด่วงศ์วานของท่านและสหายทั้งหลายของท่านด้วยเทอญ

 

 


By : Islamhouse