การต่อสู้ของมุสลิมในต่างประเทศ
  จำนวนคนเข้าชม  6289

การต่อสู้ของมุสลิมในต่างประเทศ

 

“ ผู้ใดหันหลังให้อัลกุรอาน แท้จริงเขาจะแบกโทษหนักในวันกิยามะฮ์ ( อยู่ในนรก) ”(Al-Quran 20:100)


          ถ้ามองโดยไม่ศึกษาจะเห็นความรุนแรงของมุสลิมในหลายๆ ประเทศ แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งจะเห็นว่ามีผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ที่จริงแล้วทุกคนรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่มีใครยอมรับที่จะออกมาพูดเพราะอำนาจเงิน อำนาจจอมปลอมของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นมหาอำนาจได้อยู่เบื้องหลังการฆ่ากันเองของคนในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะสนับสนุนด้านการเงิน การทหาร อาวุธยุทธโธปกรณ์   เพื่อที่จะเข้าไปมีบทบาท ครอบครองและแผ่ขยายสาขาต่างๆ ของเศรษฐกิจ ขโมยวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเหล่านั้น  ใส่แนวความคิดเสรีภาพที่จอมปลอม  กลุ่มลัทธิเซอร์คิวร่า (ยิว)ที่กำลังระบาดพยายามสร้างกระแส โดยการแยกวิถีการดำเนินชีวิตออกจากหลักปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม หรือความเชื่อในลัทธิอื่นๆ โดยนำหลักความเชื่อผิดๆ ทางวิทยาศาสตร์มาเป็นพื้นฐาน พวกเขลาเหล่านั้นไม่มีศาสนาและไม่นับถือพระเจ้า เรียกร้องให้คนมัวเมาอยู่แต่ในโลกนี้ไม่มีโลกหน้าและโลกหลังความตาย ทุกอย่างเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แล้วธรรมชาติเกิดมาจากไหนกันเล่า?


“ และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาหลงผิด และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา และแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้าง และผู้ใดได้ยึดเอาชัยฏอนเป็นผู้ช่วยเหลือแล้ว แน่นอนเขาก็ขาดทุนอย่างชัดแจ้ง ” (Al-Quran 4:119)


         คนไทยพุทธทั่วไปเข้าใจผิดโดยเรียกมุสลิมว่าคนแขก แต่จริงๆ แล้วมุสลิมไม่ใช่แขก คนแขก คือคนอินเดีย ที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบให้พวกพ่อค้า แม่ค้าทั้งหลาย ร้อยละยี่สิบจ่ายรายวัน พวกนี้เดินเก็บเงินตามตลาดทุกวัน  (ที่รู้เพราะมีเพื่อนชาวพุทธที่กู้เงินกับแขก) รัฐบาลชุดที่แล้วบอกว่าสามารถจัดการกับผู้ที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบได้แล้วนี่นะหรือผลงาน


“อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งผู้ที่กินดอกเบี้ยและผู้ที่ให้ หรือจ่ายดอกเบี้ย ผู้เป็นพยานในเรื่องดอกเบี้ย และผู้บันทึกในเรื่องดอกเบี้ย” (บันทึกโดย อบูดาวูด)


          เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คงยากที่ใครจะบอกว่าเท่าไหร่ถึงจะพอ ทุกคนโดนหลอกลวงให้สร้างทรัพย์สินซื้อสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว การกำหนดราคาสินค้าขึ้นอยู่กับคนเพียงกลุ่มเดียว ประชาชนทั่วไปจึงต้องรับภาระและการเป็นหนี้ที่ทุกวันนี้ไม่มีใครไม่มีหนี้ ระบบดอกเบี้ยเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว


“บรรดาผู้กินดอกเบี้ยนั้นพวกเขาจะไม่ทรงตัว นอกจากจะเป็นเช่นเดียวกับผู้ที่ชัยฏอนทำร้ายเขาทรงตัว (การทรงตัวของผู้ที่กินดอกเบี้ยนั้นประหนึ่งคนบ้าเงิน)..... ชนเหล่านั้นแหละคือชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล  บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงละเว้นดอกเบี้ยที่ยังเหลืออยู่เสีย หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา ” (Al-Quran 2:275,278)


          ศาสนาอิสลามได้บัญญัติห้ามการกินดอกเบี้ยและยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่หาผลประโยชน์จากการกินดอกเบี้ย แต่เดี๋ยวนี้มีแต่ธุรกิจที่พยายามจะหาเงินโดยไม่ต้องลงแรง คือธุรกิจปล่อยเงินกู้ บัตรเครดิต นายหน้าค้าที่ดิน นายหน้าต่างๆ ที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเพียงแต่จับแพะชนแกะก็ได้เงินแล้ว นายทุนทั้งหลายที่ลงทุนโดยใช้เงินนั้นคิดค้นสูตรดอกเบี้ยมหาโหดขึ้นมา และมีผู้หลงผิดทำตามในสิ่งที่ชัยฏอนนั้นสร้างขึ้นมา และเขาจะได้รับการลงโทษจากพระเจ้าอย่างแน่นอนเพราะพระองค์ไม่เคยผิดคำสัญญา  


“และหากเขา (ลูกหนี้) เป็นผู้ยากไร้ ก็จงให้มีการรอคอยจนกว่าจะถึงคราวสะดวก และการที่พวกเจ้าจะให้เป็นทานนั้นย่อมเป็นการดีแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้” (Al-Quran 2:280)


“ และแก่บรรดาชาวยิว เราได้ห้ามสิ่งที่เราบอกกับเจ้ามาแต่ก่อนแล้ว และเราไม่ได้ อยุติธรรมต่อพวกเขา แต่พวกเขาได้อยุติธรรมต่อพวกเขาเอง ” (Al-Quran 16:118)


          รัฐบาลที่กระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้เงินเป็นหลักพื้นฐานของชีวิตการนับถือคนรวย เชื่อผู้ที่มีอำนาจเงินจนกระทั่งผู้นำของประเทศ สั่งฆ่าแม้กระทั่งประชาชนและพี่น้องมุสลิมด้วยกันเอง


“มุสลิมต่อมุสลิมนั้น เกียรติของเขา เลือดของเขา เป็นที่ต้องห้าม การยำเกรงต่ออัลลอฮ์นั้นอยู่ที่นี่ (หัวใจ) ดังนั้นนับได้ว่าเป็นความชั่วแล้วในการที่เขาดูถูกเหยียดหยามพี่น้องมุสลิม” (บันทึกโดย  ติรมิซีย์)


          สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์คือ มหาอำนาจนำสินค้าเข้ามาขาย ทำลายล้างระบบการค้าและเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ ในที่สุดประชาชนเป็นได้แค่ลูกจ้างหรือพนักงานตามห้างสรรพสินค้าที่มีนายทุนจากต่างชาติควบคุมเศรษฐกิจและเผยแพร่ให้คนในประเทศต่างๆยอมรับวัฒนธรรม และกฎหมายเสรีที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่แต่งขึ้นมาของพวกเขาเอง ประชาธิปไตยที่พวกเขาได้ผลประโยชน์อย่างมากมาย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงประเทศเหล่านั้นสามารถจะดำรงอยู่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พวกเขาอยู่กันได้โดยไม่ต้องพึ่งพามหาอำนาจ


“ใกล้เข้ามาแล้วที่ประชาชาติทั้งหลาย จะรุมกินโต๊ะพวกท่าน เหมือนกับกลุ่มคนที่นั่งล้อมวงกินอาหารจากสำรับ ไม่ได้หมายความว่าพวกเรามีน้อย  พวกเรามีมากแต่เหมือนฟองน้ำที่อยู่ในทะเล ศัตรูจะไม่เกรงขาม ความอ่อนแอจะเกิดขึ้นก็คือ ความรักดุนยา และการเกลียดกลัวความตาย” (บันทึกโดย อะห์มัด)


          พวกเขาอ้างว่ารัฐบาลที่มีอยู่กดขี่ข่มเหงประชาชนและแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นหุ่นเชิด แต่งตั้งเจ้าของร้านอาหารมาทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดี สั่งฆ่าประชาชนในประเทศ ก่อความแตกแยกในสังคมยุยงให้พี่น้องมุสลิมฆ่ากันเอง นี่นะหรือ! คือความชอบธรรม นี่นะหรือ!ประชาธิปไตย  ประชาธิปไตยที่สนับสนุนอาวุธให้ฆ่ากันเอง ถ้าประเทศนั้นไม่มีเงินก็ทำสัญญาโดยการให้ยืมเงินเพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อซื้ออาวุธในการต่อสู้ หลังจากสงครามสงบต้องพัฒนาประเทศให้กลับสู่สภาพเดิม ก่อสร้างถนนหนทางเพื่อรองรับความเจริญ จะต้องใช้เงินมหาศาลแค่ไหนในการฟื้นฟูประเทศ ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ในการทำให้ประเทศชาติสงบ ต้องเป็นหนี้อีกเท่าไหร่ ดอกเบี้ยที่ปล่อยมานั้นจะมหาศาลขนาดไหน และประเทศต้องตกอยู่ใต้อำนาจของพวกบ้าอำนาจ พวกเขาจะนำพาเศรษฐกิจไปทางไหน จะนำสินค้าอะไรเข้าไปขายใครจะกล้าที่จะขัด จะยัดเยียดความเท่าเทียมและสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพตามแบบฉบับของพวกเขา  แค่นี้เองหรือที่พวกเขลาต้องการ “อำนาจ”  และ “เงิน”


“ มันสัญญาแก่พวกเขา และจะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และชัยฏอนมันจะไม่สัญญานอกจากการหลอกลวงเท่านั้น ” (Al-Quran 4:120)


          กลุ่มประเทศอาหรับที่เคร่งครัดในศาสนาผู้หญิงจะแต่งกายมิดชิด ไม่เปิดเผยส่วนใด อาจจะเปิดแค่ดวงตา แต่เดี๋ยวนี้ถ้าได้เปิดดูข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต มุสลิมะห์บางกลุ่มกำลังพยายามดัดแปลงแฟชั่นในการแต่งกายให้เลียนแบบชาติตะวันตก ผู้หญิงที่เป็นนักธุรกิจออกมาอวดโฉมเผยสัดส่วน บางคนไม่คลุมฮิญาบมีรูปลงในอินเตอร์เน็ตเผยแพร่ไปทั่วโลก แล้วสิ่งใดเล่าคือรูปแบบของมุสลิมที่ดี  มุสลิมรุ่นใหม่ที่ศรัทธาและอยากจะเห็นแบบอย่างที่ดีจะมีความรู้สึกกันอย่างไร
 
  
“ อัลกุรอานนี้เป็นแสงสว่างแห่งมวลมนุษย์ และเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และความเมตตาแก่หมู่ชนที่มีความเชื่อมั่น ”(Al-Quran 45:20)


          ประเทศมุสลิมบางประเทศกำลังเรียกร้องไปสู่อำนาจของชัยฏอน ประเทศที่มีสังคมมุสลิมแต่กลัวที่จะให้ผู้ที่เป็นมุสลิมเคร่งครัดและภรรยาคลุมฮิญาบขึ้นมาเป็นผู้นำ พวกเขาเกรงกลัวกฎหมายอิสลาม แต่ที่จริงแล้วนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานลงมาให้ ซึ่งมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตาม มีประเทศที่มีมุสลิมเพียงกลุ่มชนเล็กๆ แต่กำลังพยายามที่จะเรียกร้องให้มีกฎหมายอิสลามเข้ามาปกครอง มุสลิมกลุ่มนั้นต่างโหยหากฎระเบียบของอิสลาม เพราะเขาได้รับรู้แล้วว่าการที่ไม่ยึดคำสอนของอัลลอฮ์   และซุนนะฮ์ของท่านนะบีมุฮัมมัด    สังคมในประเทศของเขานั้นแหลกเหลวและตกต่ำเพียงใด เมื่อประเพณีวัฒนธรรมตะวันตกคืบคลานเข้าสู่ประเทศ  การค้าประเวณีมีกันดาษดื่น อาชญากรรม ฆาตกรรมมีให้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน แม้ภายนอกจะมองเป็นประเทศที่พัฒนา แต่ภายในนั้นมีแต่ความจอมปลอม  พวกเขาจะรู้ไหมว่าชัยฏอนมันกำลังหลอกล่อพวกเขาเข้าไปในขุมนรก และพวกเขากำลังเอื้อมมือของเขาไปเปิดประตูนรก

 
“ประชาชาติของฉันทุกคนจะได้เข้าสวรรค์ นอกจากผู้ไม่ยอมเข้าเท่านั้น และมีผู้ถามว่าโอ้เราะซูลของอัลลอฮ์ มีใครเล่าที่ไม่ยอมเข้าสวรรค์ ผู้ใดดื้อคือฝ่าฝืนฉัน แน่แท้เขาไม่ยอมเข้าสวรรค์”  (บันทึกโดย  บุคอรีย์)


          เมื่อยุซรอได้เปลี่ยนการแต่งกายและคลุมฮิญาบมิดชิด ไปติดต่อธุรกิจกับบริษัทหนึ่งในประเทศไทย เจ้าของที่นี่เป็นคนพุทธที่มีบริษัทและทรัพย์สินเงินทองมากมายเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เขาบอกว่ามีเพื่อนอยู่ที่ประเทศดูไบนับถือศาสนาอิสลาม แต่เพื่อนเขานั้นไม่คลุมฮิญาบและคิดว่าสมัยนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องคลุมฮิญาบ เหมือนกับว่าสมัยใหม่เขาไม่คลุมกันหรอก เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ก็ได้แต่เพียงบอกว่าจริงๆ แล้วผู้หญิงทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามจะต้องคลุมฮิญาบ  เพราะการคลุมฮิญาบได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคำสั่งจากพระองค์อัลลอฮ์  เป็นคำสั่งที่ลงมาจากฟากฟ้า เป็นข้อบังคับที่ผู้หญิงที่เรียกตนเองว่ามุสลิมจะต้องปฏิบัติโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ นี่คือแบบอย่างของประเทศมุสลิมที่ส่งผลกระทบมาถึงผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนและศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์   อย่างแท้จริง ทำให้มีความรู้สึกท้อใจบ้างแต่พระองค์ทรงทำให้มีจิตใจที่เข้มแข็งเพราะความศรัทธานั้นไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่หัวใจที่ศรัทธาต่างหาก ต่อไปคงจะเห็นประชาคมกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในประเทศมุสลิม เรียกร้องให้กลุ่มประเทศมุสลิมทำแบบอย่างที่ดี ให้เหมาะสมกับที่พระองค์ทรงให้โอกาสกลุ่มชนของพวกเขาเป็นกลุ่มแรกในการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม


“ และโดยแน่นอนเราได้ชี้แจงในอัลกุรอานนี้ เพื่อพวกเขาจะได้รำลึก แต่มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขา นอกจากการเตลิดหนี ” (Al-Quran17:41)


          และแล้วการประกวดนางงามได้ดึงประเทศที่ได้ชื่อว่านับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติส่งสาวที่คิดว่างามเข้าร่วมประกวดด้วย การประกวดนางงามเธอจะต้องสวมใส่ชุดว่ายน้ำ ชุดราตรี เห็นทรวดทรงองค์เอวและเนื้อหนังของเธอ นี่นะหรือประชาชาติมุสลิม?


“ชัยฏอนนั้นมันจะวิ่งอยู่ตามเส้นเลือดในร่างกายมนุษย์”(บันทึกโดย  บุคอรีย์ และ มุสลิม)


                                  

ผู้หญิงที่สวยที่สุดในลุ่มแม่น้ำไนล์ ส่งเข้าประกวด
นี่หรือคือประชาชาติอิสลาม  นี่หรือความสวยงามของเธอ
 นี่หรือ คลีโอพัตรา แห่งท้องทะเลทราย
 นี่หรือคือประเทศ ที่ประชาชนส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม
นี่หรือคือประเทศ ที่มีมหาวิทยาลัยสอนศาสนาอิสลาม ชื่อดัง
นี่หรือคือประเทศ ที่ให้กำเนิด “นะบี” หลายยุคหลายสมัย
นี่แหละคือความสำเร็จของ “ชัยฏอน”

 
          มีประเทศหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นประเทศมุสลิมหรือเปล่า ตำรวจต้องออกมาตามจับวัยรุ่นผู้หญิงที่ใส่ฮิญาบผืนเล็ก แทบจะคลุมผมไม่มิด แต่งตัวรัดรูปตามแบบตะวันตก วัยรุ่นผู้ชายตัดผมตามแบบฝรั่ง ไม่ไว้เคราใส่เสื้อผ้ารัดรูปตามแบบผู้หญิง เขามักจะอ้างว่าประเทศเขานับถือศาสนาอิสลาม แต่คงไม่ใช่แน่เพราะถ้านับถือศาสนาอิสลามต้องปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์นะบีมุฮัมมัด   ความศรัทธาต้องอยู่ในสายเลือดในจิตวิญญาณ แต่ถึงอย่างไรประเทศที่ปกครองด้วยรัฐอิสลามมีอำนาจที่จะกระทำเช่นนี้ได้


“ผู้ใดเชื่อฟังและปฏิบัติตามฉัน (มุฮัมมัด) เขาก็ได้เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์ ส่วนผู้ใดละเมิดต่อฉัน (มุฮัมมัด) เขาก็ได้ละเมิดต่ออัลลอฮ์”  (บันทึกโดย  อิบนุมาญะฮ์)
 

“ แล้วผู้ใดที่ผินหลังให้หลังจากนั้น ชนเหล่านี้เหละพวกเขาเป็นผู้ละเมิด ” (Al-Quran 3:82)


          ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้นั้นเป็นอีกสัญญาณหนึ่งของวันสิ้นโลกที่กำลังจะมาถึง และไม่มีใครสามารถหลีกหนีหรือหลบซ่อนได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ออกมาแล้ว สัญญาณต่างๆ ที่มีในฮะดิษปรากฏขึ้นเกือบจะหมดแล้ว นั่นแสดงว่าคงจะอีกไม่นานแล้ว ไม่นานเกินรอ


“ วันซึ่งเราจะม้วนชั้นฟ้าประหนึ่งการม้วนกระดาษสำหรับการบันทึก ดังเช่นที่เราเริ่มให้มีการบังเกิดครั้งแรกเราจะให้มันกลับเป็นขึ้นมาอีก เป็นสัญญาผูกพันกับเรา แท้จริงเราเป็นผู้กระทำอย่างแน่นอน ” (Al-Quran 21:104)

Next >>>>Click