ช่วงแรกของโลกบัรซัค
  จำนวนคนเข้าชม  21857

ช่วงแรกของโลกบัรซัค (3)

 
 
โดย อ.อับดุลเราะมัน เจะอารง

          โลกบัรซัคถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งที่ไม่ถาวร แต่ระยะเวลาช่วงนั้นก็ยาวพอ สมควร คือนับตั้งแต่มนุษย์ได้เสียชีวิตและกลับไปสู่พระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงสร้างจนถึงวันที่พระองค์จะทรงอนุญาตให้โลกนี้สิ้นสลาย วันที่พระองค์จะทรงอนุญาตให้โลกนี้สิ้นสลายไม่มีใครทราบได้ แม้กระทั่งท่านเราะซูลเอง เหตุผลก็เพราะว่า วันเวลาของการสิ้นสลายของโลกนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้น คนอื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

يسألونك عن الساعة أيان مرساها قل إنما علمها عند ربي لا يجليها لوقتها إلا هو ثقلت في السموات والأرض لا تأتيكم إلا بغتة . يسألونك كأنك حفيّ عنها قل إنما علمها عند الله ولكن أكثر الناس لا يعلمون ) الأعراف/ 187

 ความว่า “พวกเขาจะถามเจ้าถึงยามอวสาน(ของโลกนี้และการเริ่มต้นของโลกหน้า) นั้นว่า เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น (โอ้มุหัมมัด) จงกล่าวเถิดว่า  แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระองค์ของฉันเท่านั้น ไม่มีใครจะเปิดเผยมันให้ทราบสำหรับเวลาของมันได้นอกจากพระองค์เท่านั้น มันหนักอึ้งสำหรับทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน(เพราะการที่อยากรู้ในสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้นั้น ทำให้รู้สึกว่าสิ่งนั้นประหนึ่งวัตถุที่หนักอึ้งอยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน) มันจะไม่มายังพวกเจ้านอกจากโดยกระทันหัน พวกเขาถามเจ้าประหนึ่งว่า เจ้านั้นเป็นผู้ที่รู้ในเรื่องนี้ดี จงกล่าวเถิด แท้จริง ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้”


 มนุษย์ทุกคนที่ใกล้จะเสียชีวิตจะอยู่ในสภาพที่ไม่พ้นจากสภาพนี้

1. ขอให้พระองค์อัลลอฮ์อย่ารีบเอาชีวิตเขา

          พวกเขาจะขอประวิงเวลาไห้พระองค์ต่ออายุอีกช่วงหนึ่ง หรือเมื่อตายแล้ว เขาจะขอให้พระองค์ให้เขามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อปรับปรุงตัวเอง ที่ผ่านมาเขายังไม่ได้ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺ หรือได้ศรัทธาแล้วแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงใช้อย่างเคร่งครัด  จะขอสัญญาว่าจะไม่ฝ่าฝืนสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามโดยเด็ดขาด พระองค์จะตอบว่า มันเป็นความฝันที่ล้มๆ แล้งๆ เจ้าจงอยู่ในโลกบัรซัคต่อไปจนถึงวันที่ข้าจะประกาศวันแห่งโลกหน้า

2. ผู้ที่ศรัทธาจะดีใจในวินาทีนั้น

         ในยามที่จะสิ้นชีพผู้ที่ศรัทธาในพระองค์อัลลอฮฺจะดีใจ เพราะรู้ตัวว่าจะพบกับพระองค์ตาม ที่พระองค์ได้นัดไว้  ส่วนผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ไม่อยากเสียชีวิตและจะมีอาการเกรงกลัว บรรดาเศาะหาบะฮฺได้รายงานหะดีษที่พวกเขาเคยได้ยินท่านเราะซูลได้กล่าวว่า

من أحبّ لقاء الله أحبّ الله لقاءه ومن كره لقاء الله كره الله لقاءه . قالت عائشة أو بعض أزواجه إنا لنكره الموت قال : ليس دلك ولكن المؤمن إدا حضره الموت بشّر برضوان الله وبركاته فليس شيء أحبّ إليه مما أمامه فأحبّ لقاء الله وأحبّ الله لقاءه ، وأن الكافر إدا حضر بشّر بعداب الله وعقوبته فليس شيء أكره إليه مما أمامه فكره لقاء الله وكره الله لقاءه (رواه البخاري رقم الحديث 6507)

ความว่า “ผู้ใดที่ยินดีจะพบกับพระองค์อัลลอฮฺ พระองค์ยินดีที่จะพบกับเขา และผู้ใดที่ไม่อยากพบกับพระองค์ พระองค์ก็ไม่อยากพบกับเขา ท่านหญิงอาอิชะฮฺ หรือภรรยาของท่าน        เราะซูลบางท่านได้กล่าวว่า แท้จริง เราเคยมีความรู้สึกไม่อยากตาย ท่านาราะซูลตอบว่า  ไม่ใช่ ท่านไม่ได้กลัวการเสียชีวิตหรอก ผู้ศรัทธาที่ได้เสียชีวิตจะมีข่าวดีได้รับความพึงพอใจจากพระองค์   อัลลอฮฺ ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาชอบมากกว่าที่จะเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขายินดีที่จะได้พบกับพระองค์ พระองค์ก็ยินดีที่พบกับพวกเขา แต่สำหรับผู้ที่ปฏิเสธพระองค์อัลลอฮฺ เมื่อได้เสียชีวิตจะมีข่าวร้ายด้วยบทลงโทษและการทุกข์ทรมาน ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาเกลียดมากที่สุดเท่ากับความเกลียดที่จะพบกับสิ่งที่อยู้เบื้องหน้า ทำให้พวกเขาไม่อยากพบกับพระองค์ และพระองค์ก็ไม่อยากพบกับพวกเขา”

นอกจากนี้ท่านเราะซูลยังได้อธิบายสภาพของศพที่เป็นมุสลิมและศพที่มาเป็นมุสลิมว่า

كان النبي يقول : إدا وضعت الجنازة فاحتملها الرجال على أعناقهم فإن كانت صالحة قالت قدموني ، وإن كانت غير صالحة قالت لأهلها يا ويلها ! أين تدهبو بها ، يسمع صوتها كل شيء إلا الإنسان لو سمع الإنسان لصعق (رواه البخاري رقم الحديث 1316)
 
ความว่า “เมื่อศพถูกวางไว้ และมีผู้ชายได้หามบนไหล่ของพวกเขา หากศพนั้นเป็นศพที่ดี ศพนั้นจะพูดว่า รีบนำฉันไปเถิด แต่หากศพนั้นเป็นศพที่ไม่ดี ศพนั้นจะพูดกับครอบครัวเขาว่า ความพินาศได้เกิดขึ้นแล้ว พวกท่านจะพาศพไปไหน สรรพสิ่งทั้งหลายจะได้ยินเสียงนี้ยกเว้นมนุษย์ที่จะไม่ได้ยิน หากมนุษย์ได้ยินเสียงก็จะเสียชีวิต”

3. ซัยฏอน(มารร้าย)จะเกาะติดอยู่กับผู้กำลังจะเสียชีวิตตลอด

           เป็นที่รู้กันว่าซัยฏอน(มารร้าย) คือศัตรูของมนุษย์ ซัยฏอนจะใกล้ชิดกับมนุษย์ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่มนุษย์ใกล้จะสิ้นชีวิต ในยามที่มนุษย์มีความกลัวและสิ้นหวังจากการมีชีวิต ท่านเราะซูลได้อธิบายให้เราทราบสิ่งที่เรามองไม่เห็นว่า

إن الشيطان يحضر أحدكم عند كل شيء من شأنه حتى يحضره عند طعامه ، وإدا سقطت من أحدكم اللقمة فليمط ما كان بها من أدى ثم ليأكلها ولا يدعها للشيطان فإدا فرغ فليلعق أصابعه فإنه لا يدري في اي طعامه تكون البركة (رواه مسلم رقم الحديث 2031)

 ความว่า “แท้จริง ชัยฏอน(มารร้าย)จะเกาะติดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งในหมู่พวกเจ้าใน    ทุกๆกิจการของเขา จนกระทั่งจะร่วมกันในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร เมื่อมีเศษอาหารตกหล่น ให้กำจัดสิ่งที่เปื้อนแล้วกินมันเสีย อย่าปล่อยให้ชัยฏอนมีโอกาส เมื่อรับประทานเสร็จให้เลียอาหารที่ติดอยู่ที่นิ้ว เหตุผลก็เพราะว่า เขาไม่รู้ว่าอาหารเม็ดไหนที่มีบะเราะกะฮฺ(ความศิริมงคล)”

          เวลาที่ดีที่สุดของชัยฏอนในการหลอกลวงมนุษย์คือ ในยามที่มนุษย์ใกล้สิ้นลมหายใจ เหตุผลก็เพราะว่าพระองค์อัลลอฮฺจะตัดสินคนใดคนหนึ่งเป็นมุสลิม หรือไม่เป็นมุสลิมในวินาทีสุดท้ายของชีวิต หมายความว่า ถ้าหากเขาได้กระทำความดีมาตลอด แต่มาเปลี่ยนชีวิตในนาทีสุดท้าย ถือว่าเขาโชคร้าย ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเขาไม่เคยศรัทธามาก่อน หรือเคยเป็นคนเลว แต่มาเปลี่ยนชีวิตเป็นมุสลิมที่ดีในนาทีสุดท้ายถือว่าเขาโชคดี 2 ประการที่กล่าวมาขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์อัลลอฮฺ ท่านเราะซูลได้สอนให้เราทราบว่า

نظر النبي إلى رجل تقاتل المشركين وكان من أعظم الناس غناءً عنهم فقال : من أحبّ أن ينظر إلى رجل من أهل النار فلينظر إلى هدا فتبعه رجل فلم يزل على دلك حتى جرِح فاستعجل الموت فقال بدبابة سيفه فوضعه بين ثدييه فتحامل عليه حتى خرج من بين كتفيه فقال النبي : إن العبد ليعمل فيما يرى الناس عمل أهل الجنة وإنه لمن أهل النار ويعمل فيما يرى الناس عمل أهل النار وهو من أهل الجنة وإنما الأعمال بالخواتيم (رواه البخاري رقم الحديث 6493)
 
 ความว่า “ท่านเราะซูลได้มองไปยังชายคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับชาวมุชริกีน ในขณะที่ชายคนนั้นเป็นที่มีความสามารถมากมายและร่ำรวยในหมู่มุสลิม ท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดที่อยากจะเห็นคนหนึ่งในบรรดาชาวนรกให้มองชายคนนี้ ดังนั้นมีชายอีกคนหนึ่งได้ติดตามพฤติกรรมชายคนนี้ ชายคนนั้นยังต่อสู้อยู่จนกระทั่งมีบาดแผล แล้วรีบร้องที่อยากจะเสียชีวิตโดยเอาดาบมาผ่าหน้าอกของตนเอง  แล้วท่านเราะซูลได้กล่าวว่า  แท้จริง บ่าวคนใดที่มนุษย์เห็นว่าเขาทำงานงานของชาวสวรรค์ แต่ที่จริงแล้ว เขาเป็นชาวนรก  และบ่าวคนใดที่มนุษย์เห็นเขาทำงานงานของชาวนรก แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นชาวสวรรค์ เหตุผลก็เพราะว่า การงานนั้นจะตัดสินด้วยข้อสุดท้าย

โลกบัรซัค (2) >>>>Click