ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม (ภรรยาฟาโรห์)
  จำนวนคนเข้าชม  19394

ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม


ภรรยาฟาโรห์แห่งอียิปต์

ตอนที่ 1


          ฟิรอูน(ฟาโรห์) ตื่นจากการนอนด้วยความหวาดกลัว และกระสับกระส่าย เขานั่งทอดถอนหายใจอย่างรุนแรงที่ปลายเตียง อาซียะห์ภรรยาของเขา ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจกับอาการของสามี นางพินิจจารณาสามีของนาง และเอ่ยถามขึ้นว่า :

           เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือค่ะ?

           ฟิรอูนไม่ได้ตอบคำถามโดยทันที แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงงึมงำออกมาจากปากของเขา อาซียะห์ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดนอกจากคำว่า :

           “ความฝัน.... ฝันร้าย”

นางจึงถามว่า :

           ท่านฝันถึงอะไรหรือคะ?

หลังจากที่เขาได้สงบนิ่งอยู่พักหนึ่ง เขาได้กล่าวขึ้นว่า :

          ฉันฝันเห็นไฟลุก และไฟได้ไหม้บ้านเมือง และวังของฉัน ประชาชนของฉันล้มตายหมด ไม่เหลือใครเลย

นางปลอบใจสามีว่า :

          สงบใจเถิดท่าน มันเป็นเพียงความฝัน มิใช่ความจริงหรอก เหตุใดท่านถึงได้ตระหนกตกใจขนาดนี้??

เขาตอบว่า :

          ความฝันนี้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันทำให้ฉันเกิดความกังวล และหวาดกลัว

นางตอบว่า :

          คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ดิฉันจะเรียกนักทำนายผู้ยิ่งใหญ่ให้เขามาทำนายความฝันที่คอยรบกวนจิตใจของท่าน

          เมื่อถึวเวเลาเช้า ฟิรอูนได้มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรง และได้นั่งบนบัลลังก์ที่ทำมาจากทองคำ และประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดา และไข่มุกอันล้ำค่า รูปร่างของฟิรอูนนั้นมีความน่าเกรงขามเนื่องมาจากร่างกายที่ใหญ่โต และมงกุฎที่เขาสวมอยู่บนศีรษะ บัลลังก์ของเขานั้นตั้งตระหง่านอยู่สูงกว่าท้องพระโรงหลายขั้นด้วยกัน บริวารของเขาต่างก็ยอยกปอปั้นเขาด้วยคำชมต่างๆนานา ล้วนแล้วแต่สูงส่งเกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะมีลักษณะเช่นนั้นได้ เป็นทั้งนักวางแผนผู้ปราดเปรื่อง เป็นทั้งนักปราชญ์ผู้มองการณ์ไกล เป็นทั้งนักรบที่ไร้เทียมทาน เป็นทั้งแม่ทัพที่ไม่เคยพ่ายศึก และยังเป็นผู้นำที่ราษฎรพร้อมจะถวายชีวิตให้

          คำยกยอเหล่านี้ทำให้ฟิรอูนหยิ่งผยอง ลำพองตนจนกระทั่งในที่สุด คิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถที่จะมอบหมายชีวิต ทรัพย์สิน และอำนาจให้แก่ใครก็ได้ถ้าเขาต้องการ

          โหรได้เขามายืนต่อหน้าฟิรอูนด้วยความยำเกรง มองเขาด้วยสายตาอันหวาดกลัว เขาได้โค้งคำนับให้ฟิรอูน ฟิรอูนอนุญาตให้เขายืนตรง และได้กล่าวกับโหรว่า :

           โอ้โหร ฉันฝันร้ายทุกๆคืน ฝันฉันทำให้ฉันต้องตื่นมาด้วยความหวาดผวา และกระสับกระส่าย เจ้าพอมีวิธีที่จะทำให้ฉันหลุดพ้นจากอาการดังกล่าวบ้างไหม!?

โหรกล่าวกับฟิรอูนว่า :

           วางใจเถอะครับท่าน ความฝันที่น่ากลัวนั้นสามารถทำให้พระเจ้ากังวลใจกระนั้นหรือ?


          ฟิรอูนนึกขึ้นมาได้ว่า เขาคือพระเจ้าแห่งอียิปต์ มีผู้คนมากมายให้ความเคารพ บูชา และกราบไหว้เขา ความฝันที่น่ากลัวเพียงเล็กน้อยจะมารบวนจิตใจของเขาได้อย่างไรเล่า? เขาจึงขยับนั่งตัวตรง เชิดศีรษะของเขาขึ้น และกล่าวกับโหรของเขาด้วยความหยิ่งผยองว่า :

           ฉันต้องการให้เจ้าทำนายความฝันนี้

โหรตอบว่า :

            โปรดเล่าความฝันให้ข้าน้อยฟังเถิดครับท่าน

         ฟิรอูนได้เริ่มเล่าความฝันที่คอยรบกวนจิตใจของเขาทุกคืนวันอย่างละเอียด โหรตั้งใจฟังด้วยความสนใจอย่างมาก และหลังจากที่ฟิรอูนเล่าเสร็จ เขาก็ได้มองไปยังโหร และเร่งเร้าให้เขาทำนายฝันดังกล่าวโดยทันที

โหรกล่าวด้วยสีหน้าตกใจว่า :

             มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะครับท่านฟิรอูน

ฟิรอูน :

             ใหญ่อย่างไรหรือ??

โหร :

           จะมีเด็กผู้ชายที่เกิดจากบนีอิสรออีล เด็กคนนี้จะทำให้ท่านและกลุ่มชนของท่านพินาศด้วยน้ำมือของเขา

ฟิรอูน :

           เจ้ามั่นใจในคำพูดของเจ้าหรือ?

โหร :

           ข้าน้อยมั่นใจอย่างยิ่งครับ เจ้านาย สิ่งที่ข้าน้อยขอบอกกับท่าน คือ คำทำนายตามที่ท่านเห็นในความฝัน

          หลังจากที่โหรได้กลับออกไป ฟิรอูนก็หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาได้ยิน และคิดหาวิธีที่จะแก้ปัญหานี้เพื่อรักษาบัลลังก์ เกียรติยศ และอำนาจของเขาไว้ เขาเดินไปเดินมาอยู่ในท้องพระโรง สมองของเขาไม่หยุดนิ่งที่จะคิดถึงเรื่องนี้ จนกระทั่งมารร้าย(ชัยฏอน) ได้ชี้นำเขาให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องฆ่าเด็กผู้ชายทุกๆคนที่เกิดมาจากบนีอิสรออีล เพื่อรักษาชีวิตและอำนาจ(บัลลังก์)ของตนไว้

          คำสั่งของฟิรอูนทำให้ชาวบนีอิสรอีลได้รับความยากลำบาก จนไม่มีเด็กคนใดที่เกิดมาเว้นแต่ว่าทหารจะต้องนำไปฆ่าอย่างไร้ซึ่งความเมตตา โดยไม่มีผู้ใดกล้าที่จะฝ่าฝีนคำสั่งนี้

          เวลาผ่านไปหลายปี เหตุการณ์ลักษณะนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป ฟิรอูนก็ยังคงเข่นฆ่าเด็กๆบนีอิสรออีล ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็ค่อยๆล้มหายตายจากไป ชาวอียิปต์มีความรู้สึกว่าพวกเขานั้นกำลังขาดแคลนผู้ที่จะมาคอยรับใช้ ช่วยเหลือพวกเขาในบ้านเรือน พวกเขาจึงไปหาฟิรอูน และกล่าวแก่เขาว่า :

           ถ้าหากท่านยังคงทำเช่นนี้ต่อไป เราจะไม่มีชาวบนีอิสรออีลไว้คอยรับใช้ช่วยเหลือเราอีกแน่นอน

          ฟิรอูนจึงมีคำสั่งให้ฆ่าเด็กจากบนีอิสรออีลเป็นปีเว้นปี ซึ่งฮารูน ซึ่งเป็นพี่ชายของมูซา ได้เกิดในปีที่ฟิรอูนนั้นเว้นจากการฆ่าเด็กๆ เขาจึงรอดพ้นจากการถูกฆ่า

          เมื่อนาง ยูกาปิด ตั้งครรภ์ใกล้จะถึงกำหนดคลอด นางหวาดกลัว และนึงถึงชะตากรรมของเด็กที่อยู่ในครรภ์ นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะหลบซ่อนการตั้งครรภ์ของนาง จากบรรดาสายสืบที่คอยสอดส่องบรรดาหญิงชาวบนีอิสรออีล โดยเฉพาะเพื่อนของนางที่เป็นคนทำคลอด ซึ่งมาเยี่ยมนางเป็นประจำ

          ภายหลังไม่นาน นางยูกาปิด ก็ได้ให้กำเนิด เด็กชายหน้าตาน่ารัก เธอได้ตั้งชื่อทารกน้อยนี้ว่า “มูซา” เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานเธอก็ต้องมีอาการเศร้าโศกเสียใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า จุดจบของทารกผู้น่ารักผู้นี้ก็คือ ความตาย

          แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างที่สุดที่จะหลบซ่อนลูกชายจากสายจาของเหล่านักสืบของฟิรอูน แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวของเธอต่อชะตากรรมของลูกชายทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น เธอเกือบจะเป็นบ้าจากการที่เธอไม่สามารถปกป้องลูกชายของเธอ เธอจึงอ้อนวอนขอต่ออัลเลาะห์(ซ.บ.) ด้วยความความยำเกรง และขอให้พระองค์ชี้ทางที่ถูกต้องให้แก่เธอ ทางที่จะทำให้เธอปกป้องลูกของเธอจากการอธรรมของฟิรอูน เธอวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ จนกระทั่งเหนื่อยล้า

           ความหวาดกลัว และความเศร้าโศก ทำให้เธอหมดเรี่ยวแรง เธอจึงเข้านอนโดยหวังว่าเธอจะพบทางออก และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็พบว่าจิตใจของเธอนั้นเบิกบาน ความกลัดกลุ้มจางหายไป และเธอก็รู้ดีว่าเธอควรทำอย่างไร เธอได้เรียกลูกสาวของเธอให้นำกล่องใบเล็กมา แล้วเธอก็วางมูซาลงในกล่องใบนั้น และจูบลาลูกชายด้วยความอาลัยอาวรณ์ ใบหน้าของเธอนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา เธอได้นำกล่องนั้นลอยลงไปในแม่น้ำไนล์ ให้คลื่นค่อยๆพัดพาไป

          แม่ของมูซาเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความเศร้าโศก ต้องพลัดพรากจากลูกชายซึ่งเธอมิรู้เลยว่า ชะตากรรมของเขาจะเป็นเช่นไร หากว่าอัลเลาะห์ ไม่ทรงให้เธอมีความอดทนและความมั่นใจ ดังนั้น เธอจงยึดมั่นต่ออัลเลาะห์ อดทนต่อความเจ็บปวดและการพลัดพราก เธอสั่งให้ลูกสาวของเธอเดินไปตามชายฝั่งติดตามดูกล่องนั้น เพื่อที่จะได้รู้ว่าสายน้ำนั้นพัดพากล่องไปยัง ณ ที่ใด

          ขณะที่นั้น ฟิรอูนและภรรยาของเขา นางอาซียะห์ ได้ออกมานั่งชายฝั่งแม่น้ำไนล์เพื่อชมทิวทัศน์ และสูดอากาศบริสุทธิ์ รอบเขาทั้งสองนั้นมีนางกำนัลคอยรับใช้ นางอาซียะห์เหลือบไปเห็นกล่องที่ค่อยๆลอยเข้าใกล้ชายฝั่ง เธอจึงสั่งให้นางกำนัลคนหนึ่งไปนำกล่องนั้นมา เมื่อเปิดออกดูก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นทารกน้อยหน้าตาน่ารัก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีดวงตาที่เป็นประกาย เป็นที่ดึงดูดใจ จนเธอแทบจะไม่ยอมละสายตาจากเด็กคนนั้น

นางจึงพูดขึ้นว่า :

           เด็กอะไร ช่างน่ารักเหลือเกิน ใครหนอใจร้ายทิ้งเด็กได้ลงคอ

          นางกำนัลรับใช้ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็สาละวนอยู่กับเด็กทารก บ้างก็หยอกล้อ บ้างก็อุ้มด้วยความรักใคร่ นางอาซียะห์ได้อุ้มเด็กทารกคนนี้ไปยังสามีของนาง  ในขณะนั้นฟิรอูนมองไปยังเด็กทารกอย่างไร้ความรู้สึกใยดีใดๆเลย เขากล่าวแก่อาซียะห์ว่า :

          เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนชาวกันอาน เขาเป็นเด็กจากบนีอิสรออีลแน่เลย เขาเพิ่งจะคลอด แล้วเขารอดพ้นจากการถูกฆ่ามาได้อย่างไร?

อาซียะห์ตะโกนใส่หน้าสามีพลางกล่าวว่า :

          อย่าฆ่าเขา ฉันมองเห็นว่าเด็กคนนี้ท่าทางดี มีแววเฉลียวฉลาดฉันหวังว่าเขาจะทำประโยชน์ให้เรา ฉันจะรับเขาเป็นลูกของเรา

          เมื่อฟิรอูนเห็นความมุ่งมั่นของภรรยาที่มีต่อเด็กคนนี้ เขาจึงตกลงให้เธอดูแลเด็กคนนี้ ทำให้มูซารอดพ้นจากการถูกฆ่า

          อาซียะห์ รับเด็กคนนี้ไว้ในอ้อมอกของนาง อัลเลาะห์ทำให้หัวใจของนางมีความรักใคร่ผูกพันต่อเด็กคนนี้ ประหนึ่งดังแม่ที่ให้กำเนิด

          ทันใดนั้นเอง ทารกคนนั้นก็ได้ส่งเสียงร้องจ้าออกมา นางพยายามที่จะทำให้เขาเงียบ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เธอคิดขึ้นว่า เด็กคงจะหิวและต้องการนม เธอจึงส่งคนไปหาสตรีเพื่อมาทำหน้าที่เป็นแม่นมให้กับทารกผู้นี้

          เมื่อแม่นมมาถึง ก็พยายามให้ทารกดูดนมของนาง แต่ทารกไม่ยอม นางพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เด็กก็ยังปฏิเสธ และไม่ยอมหยุดร้องไห้ นางอาซียะห์จึงสั่งให้ไปหาแม่นมมาใหม่

          เมื่อแม่นมคนที่สองมาถึง และพยายามให้นมทารกผู้นั้น แต่ก็ไม่สำเร็จ เด็กยังคงปฏิเสธที่จะดูดนม และยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด อาซียะห์กรีดร้องออกมาด้วยความโกรธและพูดขึ้นว่า :

          จงไปรวบรวมเหล่าแม่นมทั้งหมดมาให้ฉันโดยเร็ว ก่อนที่ฉันจะเสียเด็กทารกคนนี้ไป

          บรรดาแม่นมต่างพยายามที่จะให้นมแก่เด็ก แต่เด็กนั้นก็ยังไม่ยอมดูดนมของแม่นมคนใดเลย นางอาซียะห์อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพื่อให้เด็กหยุดร้อง

          ขณะนั้นเองพี่สาวของมูซา ซึ่งคอยติดตามดูน้องชายตั้งแต่แม่ของนางเอาน้องลอยไปตามสายน้ำ จนกระทั่งเขามาอยู่ในมือของนางอาซียะห์ เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะให้มูซากลับไปอยู่กับแม่ของเขา เธอจึงเข้าไปหาอาซียะห์ ซึ่งขณะนั้นเธอยังอยู่ที่ชายฝั่ง และกล่าวกับนางอาซียะห์ว่า :

         ฉันจะชึ้แนะชาวบ้านให้แก่พวกท่านเอาไหม เพื่อคุ้มครองเขาแทนพวกท่าน และเขาเป็นผู้ดูแลอย่างดี
         (อัลเกาะศ็อศ 28 : 12)

อาซียะห์จึงได้ตอบว่า :

          เอาซิ เสียงร้องของเด็กแทบจะทำให้ฉันใจจะขาด น้ำตาของเขาทำให้ฉันเจ็บปวด และรู้สึกเศร้าเสียใจ

         พี่สาวของมูซาจึงรีบกลับไปที่บ้านของเธอ และบอกข่าวดีแก่แม่ของเธอว่าน้องชายปลอดภัยแล้ว พร้อมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ของเธอฟัง และรีบพาเธอไปยังวังของฟิรอูน นางอาซียะห์จึงรีบส่งเด็กให้กับเธอ


           ทันทีที่เด็กถึงอ้อมกอดแม่ เขาก็หยุดร้องไห้ และยอมที่จะดูดนมจากอกของแม่ด้วยความสุขใจ นางอาซียะห์รู้สึกยินดี สบายใจที่ได้เห็นเช่นนี้ หลังจากที่นางเฝ้าเสาะหาแม่นมที่เหมาะสมให้แก่เขา นางจึงเสนอให้เธอพักอยู่ที่วังเพื่อคอยให้นมแก่เด็ก แม่ของมูซาจึงตอบรับในสิ่งที่นางอาซียะห์เสนอมา เธอพักอยู่ในวังของฟิรอูนอย่างมีเกียรติ และได้รับการยกย่องพร้อมกับลูกของเธอมูซา ซึ่งทั้งสองนั้นไม่ได้ห่างกันเลยแม้แต่น้อย ทั้งในยามค่ำคืนและกลางวัน พร้อมกันนั้นมูซาก็ได้รับความรักความเอาใจใส่จากนางอาซียะห์เป็นอย่างดี

โปรดติดตามตอนต่อไป


ท่านหญิงอาซียะห์ บินตฺ มุซาฮิม ตอนที่ 2