ฟาโรห์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
  จำนวนคนเข้าชม  22734

สิ่งมหัศจรรย์ที่แสดงความมีเดชานุภาพของอัลลอฮ์

กรณีศพฟาโรห์์์์

Part   1   Click !!!.........

حتى همس أحدهم في أذنه قائلا : لا تتعجل مستر
موريس .... فإن المسلمين يعرفون بالفعل (( غرق هذه المومياء )) !!!!!!
فقرآﻧﻬم منذ 14 قرنا يخبرهم بذلك..!!!

จนกระทั่งหนึ่งในทีมแพทยช์ชันสูตรได้กระซิบกับเขาว่า ท่านจะรีบร้อนไปทำไม ชาวมุสลิมรู้เรื่องฟาโรห์ จมทะเลตายมาก่อนแล้ว อัลกุรอานของพวกเขาได้เล่าเรื่องนี้มาตั้ังแต่ 14 ศตวรรษทีี่ผ่านมาแล้้ว


فتعجب البروفيسور من هذا الكلام .. واستنكر بشدة هذا الخبر
واستغربه...!!!! فمثل هذا الإكتشاف لا يمكن معرفته
إلا بتطور العلم الحديث وعبر أجهزة حاسوبية حديثة بالغة الدقة..

คำพูดนี้ทำให้ ศ.นพ. มอริส  แปลกใจมาก เขาจึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่มีทางที่อัลกุรอานจะค้นพบสิ่งเร้นลับนี้ได้ เว้นแต่ต้องอาศัยอุปกรณ์อันทันสมัยและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพสูงมาก


ثم ( وهو الأهم ) أن المومياء تم اكتشافها
!!!!.. أصلا عام 1898

ยิ่งไปกว่านั้น มัมมี่ องค์นี้ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อป 1898 !


فازداد البربروفيسور ذهولا وأخذ يتساءل : كيف
يستقيم في العقل هذا الكلام ؟؟؟..

ศ.นพ.มอริส รู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น และถามตนเองว่า ไม่มีทางที่ปัญญาของมนุษย์จะยอมรับคำบอกเล่าของอัลกุรอานในเรื่องนี้ได้


والبشرية جمعاء وليس العرب فقط لم يكونوا يعلمون شيئا عن
قيام قدماء المصريين بتحنيط جثث الفراعنة أصلا
إلا قبل عقود قليلة فقط من الزمان...!!!!

มนุษย์์ทั้ั้งมวลซึ่งไม่่เพียงแต่่ชาวอาหรับเท่านั้ั้นต่่างก็ไม่่รู้้ด้้วยซ้ำว่่าชาวอียิปต์์ยุคก่่อนรู้้วิธีรักษาศพด้้วยการห่่อศพเป็็นมัมมีี่ เว้้นแต่่ก่่อนหน้้านี้เพียงไม่กีี่ร้อยปีีเท่า่นั้ั้น


جلس موريس بوكاي ليلته محدقا بجثمان فرعون .. وهو
يسترجع في ذهنه ما قاله له صاحبه من أن قرآن المسلمين :
يتحدث عن نجاة هذه الجثة بعد أن غرقت..!!!

ศ.ดร.มอริส นั่งเพ่งพินิจศพฟาโรห์ทั้งคืนในขณะที่มันสมองของเขา หวนคิดคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า อัลกุรอานของชาวมุสลิม ได้พูดถึงศพฟาโรห์ที่ถูกนำออกจากทะเลหลังจากจมน้ำ


بينما كتاﺑﻬم المقدس : يتحدث فقط عن غرق فرعون أثناء
مطاردته لسيدنا موسى عليه السلام دون أن يتعرض لمصير
جثمانه ....

ในขณะที่คัมภีร์ไบเบิลได้เล่าเพียงการจมน้ำตายของฟาโรห์ช่วงที่ไล่ล่านบีมูซาเท่านั้น โดยไม่มีการพูดถึงว่าศพฟาโรห์ได้ถูกนำ ณ ที่ใดบ้าง


وهل يُعقل أن يعرف محمد هذه الحقيقة قبل
أكثر من ألف عام ؟؟..!!!!

เป็นไปได้หรือที่ มูฮัมมัด ของพวกเขารับทราบความจริงนี้มาตั้ังแต่พันกว่า่ ปีีแล้้ว


لم يستطع موريس أن ينام ليلتها .. وطلب أن
يأتوا له بالتوراة ( العهد القديم.. فأخذ
يقرأ في التوراة قوله:
'فرجع الماء وغطى مركبات وفرسان جميع جيش فرعون الذي
دخل وراءهم في البحر.. ولم يبق منهم ولا أحد ‘ ..

ในคืนนั้น ดร.มอริสไม่สามารถหลับตานอนได้เลย เขาได้ส่ั่งให้ผู้ช่วยของเขานำคัมภีร์์โตราห์์ และเขาได้้อ่านตอนหนึึ่ง

ความว่่า“และแล้วน้ำก็ได้โถมเข้า้ใส่ ทำให้เหล่าทหารม้าของฟาโรห์จมใต้ทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตแม้เพียงคนเดียว”

            


وبقي موريس بوكاي حائراً .. فحتى  الإنجيل لم يتحدث عن
نجاة هذه الجثة وبقائها سليمة .. لا التوراة ولا الإنجيل ذكر
مصير جثة فرعون..!!!!

ดร.มอริส ยังคงแปลกใจอยู่่ว่่า แม้้กระทั่งไบเบิลก็ไม่เคยพูดถึงศพของฟาโรห์ว่าถูกรักษาไว้อย่างดี คัมภีร์โตราห์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้้กล่าวถึงรายละเอียดจุดจบของศพ ฟาโรห์เ์ลย


بعد أن تمت معالجة جثمان فرعون
.. وترميمه أعادت فرنسا لمصر المومياء

หลังจากการตรวจชันสูตรสำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่งคืนมัมมี่ฟาโรห์กลับคืนไปยังอียิปต์


ولكن موريس لم  يهنأ له قرار ولم يهدأ له بال
منذ أن هزه الخبر الذي يتناقله المسلمون عن
سلامة هذه الجثة

แต่ความรู้สึกของ ดร. มอริส ยังคงว้าวุ่นกระวนกระวาย หลังจากที่เขาทราบว่าชาวมุสลิมรู้มาก่อนหน้านี้ว่าศพฟาโรห์ถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย


فحزم أمتعته وقرر السفر لبلاد المسلمين
لمقابلة عدد من علماء التشريح المسلمين..

เขาจึงจัดแจงสัมภาระ และตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศมุสลิม เพื่อขอพบกับบรรดาศัลยแพทย์มุสลิม


وهناك كان أول حديث تحدثه معهم عما اكشتفه من
نجاة جثة فرعون بعد الغرق !!!!... فقام أحدهم
وفتح له المصحف وقرأ له قوله تعالى  :

 ณ ที่นั่น เขาได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับศัลยแพทย์มุสลิม พร้อมทั้งเล่าสิ่งที่เขาค้นพบเกี่ยวกับศพฟาโรห์ที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีหลังจากจมน้ำตาย หนึ่งในศัลยแพทย์มุสลิมได้้ลุกขึ้น พร้้อมเปิิดอัลกุรอานและอ่่านพจนารถของอัลลอฮฺว่า


فاليوْم نَُنجيكَ ببدَدنِكَ لِتَكُونَ لِمَنْ خَلفََك آيَةً وإنَّ كَثيراً
مِّنَ النَّاسِ عَنْ آيَاتِنَا َلغَافُِلون يونس 92

“ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่า่ง ๆ ของเรา” (ยูนุส / 92)


كان وقع الآية عليه شديدا .. ورجت له نفسه رجة
جعلته يقف أمام الحضور ويصرخ بأعلى صوته : لقد
دخلت الإسلام وآمنت ﺑﻬذا القرآن ..!!!!

อายะฮฺนี้ทำให้เขาต้องตะลึงแน่นิ่ง หัวใจเต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ เขาได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาผู้คน พร้อมป่าวตะโกนเสียงก้องว่า ฉันขอประกาศรับอิสลาม และฉันศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้


ثمثم رجع موريس بوكاي إلى فرنسا بغير
الوجه الذى ذهب به..!!!

ดร. มอริส บูกายย์ ได้กลับสู่ประเทศฝรั่งเศสในสภาพที่ต่างจากช่วงที่เขาออกมาอย่างสิ้นเชิง


وهناك مكث عشر سنوات ليس لديه شغل يشغله
سوى دراسة: مدى تطابق الحقائق العلمية
والمكتشفة حديثا مع القرآن الكريم...!!!!

 หลังจากนั้น เขาจึงได้ทุ่มเทเวลานานนับสิบปีศึกษาวิจัยความสอดคล้องของวิทยาการและการค้นพบทางวิชาการยุคใหม่กับเนื้อหาที่ปรากฏในอัลกุรอาน


بل واجتهد في البحث عن تناقض علمي واحد
.... مما يتحدث به القرآن فلم يجد

นอกจากนี้ เขายังใช้ความพยายามค้นหาข้อผิดพลาดทางวิชาการที่อาจมีอยู่ในอัลกุรอาน แต่เขาก็ไม่เจอะเจอ แม้เพียงเรื่องเดียว


فخرج بعدها بنتيجة قوله تعالى:
َلا يَأْتِيهِ اْلبَاطِل مِن بَيْنِ يَدَيْهِ وََلا مِنْ خَلْفِهِ
( تَنزيلٌ مِّنْ حَكِيم حَمِيدٍ ( فصلت: 42

 และแล้้ว เขาก็ต้้องยอมจำนนกับพจนารถของอัลลอฮฺทีี่ได้้ดำรัสความว่า

“ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่สามารถย่างเข้้าไปสู่อัลกุรอานได้้ (เพราะ) เป็็นการประทานจากพระผู้้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ”


فكانت ثمرة هذه السنوات التي قضاها الفرنسي موريس :
أن خرج بتأليف كتاب عن القرآن الكريم هز الدول
الغربية كافة .. ورج علماؤ ها رجا !!!!..

ผลพวงจากความทุ่มเทตลอดระยะเวลาสิบปีนี้ ทำให้ ดร.มอริส สามารถผลิตผลงานชิ้นเอกที่พูดถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน ซึ่งได้รับการกล่าวขานอย่่างกว้้างขวางในประเทศยุโรป และทำให้้วงวิชาการทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน

            


لقد كان عنوان الكتاب
التوراة والإنجيل :
والقرآن والعلم

ตำราที่ท่านได้เขียนไว้้มีชืื่อว่่า “คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์กุรอาน และ วิทยาศาสตร์”


دراسة الكتب المقدسة في ضوء المعارف الحديثة ..
ولقد نفدت جميع نسخ الكتاب من أول صدور لها ومن
أول طبعة ..!!! وما زال الطلب عليه كبيرا في
أوروبا وأمريكا حتى وقتنا هذا

ผู้เขียนได้ศึกษาบรรดาคัมภีร์อันประเสริฐ โดยการใช้ความรู้สมัยใหม่มาเปรียบเทียบ เป็นหนังสือที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเล่มหนึ่ง จนกระทั่งขาดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการต้อนรับอย่างดีในยุโรปและอเมริกาจนกระทั่งปัจจุบัน


ولقد حاول من طمس الله على قلوﺑﻬم وأبصارهم أن
يردُُّّوا على هذا الكتاب فلم يكتبوا سوى ﺗﻬريج جدلي
ومحاولات يائسة يمليها عليهم وساوس الشيطان

มีนักวิชาการบางคนที่อัลลอฮฺได้ปกปิดดวงใจและนัยน์ตาของเขามิให้มองเห็นสัจธรรม ได้พยายามตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่พวกเขาไม่ได้้เขียนอะไรเลยเว้้นแต่การโต้้แย้้ง ที่เต็มไปด้วยความอคติและความพยายามอันสูญเปล่า ที่บรรดาชัยฏอนได้ดลใจให้แก่พวกเขา


بل الأعجب من هذا أن بعض العلماء في الغرب بدأ يجهز
ردًا على الكتاب فلما انغمس بقراءته أكثر وتمتمعن فيه
زيادة .. أسلم ونطق بالشهادتينين على الملأ

สิ่งที่แปลกกว่่านี้มีนักวิชาการตะวันตกบางคน ได้้เตรียมการที่จะตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือนี้อย่างลึกซึ้งและพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้้ว นักวิชาการเหล่านี้กลับกล่าวคำปฏิญาณตนและประกาศรับอิสลามเสียเอง


คุณรู้จัก ศ.ดร.มอริส บูกายย์์ ดีแค่ไหน ?

 

มอริส บูกายย์ เป็นชาวฝรั่งเศส  เกิดเมื่อ 19 July 1920 เติบโตจากครอบครัวที่เป็นคริสเตียนนิกายออร์ทอด็อกส์ เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฝรั่งเศสเขา้ รับอิสลามเมื่อปี 1982


คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอาน และ วิทยาศาสตร์ เป็นงานชิ้นเอกของ มอริส บูกายย์ ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างยาวนาน ทั้งจากคัมภีร์ไบเบิล อัลกุรอานและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ บูกายย์ ได้ทุ่มชีวิตให้กับการเรียนรู้อิสลามด้วยการศึกษาภาษาอาหรับ และคัมภีร์อัลกุรอานอย่างมุ่งมั่นก่อนที่จะสรุปว่า

“ ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยพบความสอดคล้องระหว่างศาสตร์และศาสนาเลยจนกระทั่งผมได้ศึกษาอัลกุรอาน  ในทัศนะอิสลามแล้วศาสนาและความรู้้เป็็นคู่่แฝดทีี่ไม่่สามารถแยกออกจากกันได้เลย ”

 


หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลไม่น้อยกว่า 17 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยที่แปลโดย ดร.กิติมา อมรทัต ปรมาจารย์ด้านการแปล  ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ผ่านการตีพิมพ์แล้ว จำนวน 3 ครั้ง (2542 2546 และ2551 ตามลำ ดับ) โดยสำนักพิมพ์์อิสลามิคอะเคเดมี


มอริส ยังได้กล่าวอีกว่า

“อัลกุรอานสอดคล้องกับข้อมูลวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างลงตัวที่สุดความรู้สมัยใหม่ทำให้เ้ราเข้าใจโองการ หลายโองการในอัลกุรอาน ซึ่งไม่สามารถตีความได้จนกระทั่งบัดนี้”

มอริส กล่า่าวว่า่

“หากมีการอ้้างว่่า อัลกุรอานเป็็นตำาราทีี่เขียนโดยมนุษย์์แล้้ว เป็็นไปได้้อย่่างไรทีี่มนุษย์์์์ซึึ่งมีชีวิตในศตวรรษทีีีี่ 7 จะมีความรู้้้้อย่่่่างแตกฉานและถูกต้้องแม่่นยำในเนื้อหาวิชาการทีี่ไม่่เคยเกิดขึ้นในยุคของเขา”


มอริสยังเสริมอีกว่า

“สัมผัสแรกที่เราสามารถรู้สึกได้หลังจากศึกษาอัลกุรอานแล้ว คือ ความน่าทึ่งของเนื้อหาอัลกุรอานทีี่เต็มไปด้้วยสาระข้้อมูลทางวิชาการมากมาย ในขณะที่ในคัมภีร์โตราห์ มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดและไม่สามารถยอมรับได้ในวงวิชาการ แต่ในอัลกุรอาน เราจะไม่พบความผิดพลาดในลักษณะนี้แม้เพียงเรื่องเดียว”


 มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺ ซึ่งได้กล่าวว่า

“และหากปรากฏว่าพวกเจ้้าอยู่ในความแคลงใจใดๆ  เกี่ยวกับอัลกุรอาน

ที่เราได้ประทานลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว ก็จงนำมาซูเราะฮฺหนึ่งเยี่ยงอัลกุรอานนี้

และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้านอกจากอัลลอฮฺเป็นประจักษ์พยาน หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง”


มนุษย์ทั้งมวล ไม่ว่ามุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิุมก็ตาม ต่างก็ได้อ่านหรือได้ยินคำ ประกาศที่อหังการและท้้าทายสติปััญญาของมนุษย์์ทีี่สุด มาในลักษณะนี้ตั้งแต่ 14 ศตวรรษแล้ว แต่ยังไม่มีใครสักคนที่หาญกล้าตอบรับคำท้าทายนี้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนกระทั่งวันกิยามะฮ์


 อัลกุรอาน คือคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา เป็นเพราะความมหัศจรรย์ที่เหนือคำบรรยาย ที่สามารถยืนยันในสัจธรรมของ นบีมูฮัมมัด ที่มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาพิสูจน์ไ์ด้

(2- ألم ذلِكَ الكِتابُ لا رَيْبَ فِيهِ هُدًى لِلْمُتَّقِيْنَ (البقرة 1 􀂃

ความว่า "อะลิฟ ลาม มีม คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น เป็นทางนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่า่นั้น"

 


“ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่่อสัญญาณต่่าง ๆ ของเรา” (ยูนุส / 92)

อายะฮฺนี้ นำความจริงให้แก่เราอย่า่งน้อย 3 ประการ

1) ศพฟาโรห์ถูกรักษาเป็นอย่างดี ไม่เน่าเปื่อยในทะเลเหมือนศพอื่น ๆ

2) เป็็นสัญญาณในเดชานุภาพของอัลลอฮฺสำหรับผู้้ศรัทธา

3) คนส่วนมากจะเมินเฉยกับสัญญาณของอัลลอฮฺ ดังกรณีศพฟาโรห์นี้ที่คนส่วนใหญ่ดูเป็นเรื่องราวที่เกียวเนื่องกับธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณแห่งความปรีชาของอัลลอฮฺ

 

سبحان ربك رب العزة عما يصفون وسلام على المرسلين

 

والحمد لله رب العالمين

แปลและเรียบเรียง  / อ.มัสลัน  มาหะมะ

มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

8 Rabi’ Awwal 1430 / 5 March 2009

Dowload File PDF  >>>>>  Click here