“ความฉลาด”ของลูกนั้นได้แต่ใดมา?
  จำนวนคนเข้าชม  17792

 

“ความฉลาด”ของลูกนั้นได้แต่ใดมา? 
 
 

       “พ่อแม่มักเน้นเรื่องจะทำอย่างไรลูกถึงจะเก่ง สติปัญญาดี เหนือกว่าเรื่องอื่นๆ แต่หมออยากให้พ่อแม่ทุกคนทำความเข้าใจใหม่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่สอบได้ที่หนึ่งเสมอไป”
      
       นี่คือมุมมองของนายแพทย์ศิริไชย หงษ์สงวนศรี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลนครธนที่ต้องการทำความเข้าใจกับพ่อแม่และผู้ปกครองในเรื่องการเลี้ยงลูกอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาเด็กเครียดและขาดอิสระทางความคิดที่ดูเหมือนจะทวีคูณมากขึ้นทุกวัน  
 
       นับเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่ทุกคนต่างภาวนาว่า ขอให้ลูกเกิดมามีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าหลายคนก็คงอยากให้ลูกมีความเฉลียวฉลาดและเป็นเด็กที่เก่งกว่าคนอื่นๆ
      
       แต่ทว่าความเก่งที่พ่อแม่หลายคนพยายามตามหามาใส่ให้ลูก และความเฉลียวฉลาดที่ลูก ‘น่าจะ’ เป็นดั่งที่พ่อแม่หวังนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปหรือป้อนข้อมูลให้พวกเขาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
      
      
ทานสุข ใจสุข
      
       อย่างที่กล่าวไว้ว่า การที่พ่อแม่จะให้ลูกมีความเฉลียวฉลาด มีพัฒนาการที่ดีนั้น การดูแลและบำรุงที่ดีที่สุดควรเริ่มต้นตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของกลุยุทธสร้างลูกสมองดีเลยก็ว่าได้
      
       ทั้งนี้ นายแพทย์ศิริไชย เผยว่า ประการแรกที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจนั่นคือ ความฉลาดของทุกคนขึ้นอยู่กับสติปัญญาและสมอง ซึ่งการที่คนเรามีสมอง ความคิดและความสามารถในการเรียนรู้ที่ต่างกันออกไปนั้น ส่วนหนึ่งมันขึ้นอยู่พันธุกรรมด้วย
      
       “เด็กจะมีสมองดีมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับยีนกว่า 80% ด้วยนะครับ แต่ทุกคนก็ยังสามารถพัฒนาสมองได้ ซึ่งการพัฒนาสมองควรเริ่มต้นตั้งแต่แรกเกิดเลย”
      
       และเมื่อเราเข้าใจแล้วว่าสมองนั้นสามารถพัฒนาได้ เราก็ควรหาวิธีที่จะพัฒนาสมองของเด็กตั้งแต่ในครรภ์ทันที เพื่อให้สมองของเขาไม่ใช่เป็นเพียงก้อนไขมันธรรมดาๆเท่านั้น
      
       “ในช่วงตั้งครรภ์ แม้ว่าความวิตกกังวลของคุณพ่อและคุณแม่จะเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งสองก็ไม่ควรเครียดมากจนเกินไป เพราะสุขภาพจิตมีส่วนสำคัญ ต่อพัฒนาการทางสมอง ไอคิวและพฤติกรรม หากคุณพ่อคุณแม่เครียดมากจนเกินไป มันจะมีก่อให้เกิดสารที่เป็นพิษต่อเซลล์สมอง ที่จะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเลี้ยงยาก ขี้หงุดหงิด ก้าวร้าว และด้านอื่นๆเมื่อเขาตอนโตขั้น”
 
 
       ส่วนเรื่องอาหารการกิน คุณแม่ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ผักและผลไม้อย่าให้ขาด เน้นอาหารทะเล โดยเฉพาะปลา น้ำมันปลา เพราะสมองเป็นไขมัน ถ้ามีไขมันดีสมองก็จะดี ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ทุกชนิด
      
       “หากอยากให้ลูกสมองดีตั้งแต่อยู่ในท้อง คุณแม่ควรดูแลสุขภาพให้ดีก่อน เพราะมันจะทำให้ลูกมีสุขภาพที่ดีตาม นอกจากนี้ก็ควรทำตามที่หมอแนะนำ อาหารเสริมราคาแพงมันไม่จำเป็นเลย ทานให้ครบ 5 หมู่ก็พอแล้ว และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ควรบำรุงต่อไป เพื่อให้มีน้ำนมให้ลูก ซึ่งจากการวิจัยพบว่าถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไอคิวของเด็กจะได้รับการกระตุ้นเพิ่มขึ้นอีก 10% ทีเดียว”
      
       “นาทีทอง” ตอน 3 ขวบ
      
       “พ่อแม่มักคิดว่าเด็กเล็กไม่รู้เรื่องจึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะพูดคุยด้วย ซึ่งจริงๆแล้ว การที่พ่อแม่ใกล้ชิดเขานั้นคือ ความต้องการพื้นฐานของเด็ก ถ้ามีเวลา พูดคุย ส่งเสียงกับลูกก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะฝึกให้เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น” 

              อย่างไรก็ดี การส่งเสียงที่นอกจากการพูดคุยแล้ว การเล่านิทานจะทำให้เด็กได้เรียนรู้ มีจินตนาการ กระตุ้นทางด้านภาษา และมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสืออีกด้วย
      
       และเมื่อเด็กเริ่มมีพัฒนาการตามวัยดีขึ้นเรื่อยๆ พอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว พ่อแม่ก็ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองหยิบ จับ ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่เขาต้องการบ้าง ไม่ใช่ทำอะไรให้ทุกอย่าง
      
       “ถ้าลูกมีอายุประมาณ 1-2 ขวบ นั่นหมายถึงว่าเขาสามารถเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้เยอะขึ้น โดยเฉพาะกิจวัตรประจำวัน การอาบน้ำ แต่งตัว ทาแป้ง หรือเริ่มทานอะไรได้เองบ้าง สิ่งเหล่านี้พ่อแม่ควรให้ลูกได้ทำเอง แต่ที่ผ่านมาเราพบว่า ผู้ใหญ่ยังเลือกที่จะทำให้ลูกไปเสียทุกอย่าง เด็กเลยไม่มีโอกาสได้ทำ”
      
       อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามปีแรก สมองพัฒนาที่สุด ดังนั้นนอกจากการฝึกลูกผ่านกิจวัตรประจำวันแล้ว เมื่อเขาโตขึ้นพอที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากขึ้น พ่อแม่หลายคนอาจมองหาแหล่งเรียนรู้อื่นๆเช่นการเรียนศิลปะ หรือเล่นกีฬา ที่เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กอีกทางหนึ่ง

 
       “ศิลปะคือกิจกรรมซึ่งมันทำให้สมองสร้างสรรค์ และมีสมาธิดีขึ้น ส่วนกิจกรรมต่างๆก็จะทำให้เด็กมีไอคิวดีขึ้นเช่นกัน แต่ที่น่าเสียดายที่ เด็กไทยไม่ก้าวหน้าและอาจจลดลงด้วยซ้ำเพราะเด็กสมัยนี้เล่นแต่เกม”
      
       แต่ทว่าการที่พ่อแม่จะให้ลูกเรียนรู้ผ่านกิจกรรมนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอนั้นคือ การกระตุ้นเด็กควรมาจากความสนุกของเด็ก ไม่ใช่ความตั้งใจของพ่อแม่ ดังนั้นอย่าไปบังคับให้เขาเล่น เราต้องให้เขาชอบเสียก่อน
       
              
       จะเห็นได้ว่า ถ้าเราต้องการให้ฉลาดอย่างเดียวก็สอนเหมือนสอนหนังสือ แต่หากอยากให้ลูกมีความสุขด้วย เราควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อาศัยความใกล้ชิด ความสัมพันธ์และบรรยากาศที่ดีด้วย เพราะจะทำให้อารมณ์และทักษะดีขึ้น อันจะทำให้เด็กรู้จักการควบคุมอารมณ์ ไม่ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห
      
       คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่ใช่คนที่สอบได้ที่หนึ่งเสมอไปแต่เป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ดี มีทักษะในการควบคุมอารมณ์ และเข้าสังคมเก่ง จะทำให้เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จชีวิต
      
       ที่สุดแล้ว สิ่งที่หมออยากฝากให้พ่อแม่ทุกคนคือ การที่เรามีลูกสติปัญญาดีก็เป็นบุญของพ่อแม่ แต่คนไม่สามารถเก่งได้ทุกคน หมอไม่เห็นด้วยที่ไปเร่งลูกให้เก่งกว่าคนอื่น เพราะมันจะเสียบรรยากาศความสัมพันธ์ เพราะสุขภาพจิตจะไม่ดี เราควรเสริมเท่าที่ได้
      
       “ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขคือสิ่งที่ทำให้ลูกมีความสุขที่สุด เรารู้ว่าอะไรที่ช่วยให้ลูกสมองดี เราก็ส่งเสริม ไม่ยัดเยียด อะไรที่เราควรหลีกเลี่ยงก็ควรอยู่ห่างๆเอาไว้ แต่ในที่สุดแล้วอย่าลืมว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร เขาก็คือลูกของเรา สิ่งที่ทำให้ลูกโตมามีสุขภาพที่ดี มีความสุขคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” 
 
 

Life & Family / Manager