สถานภาพของครอบครัวในอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  11268

 

 

สถานภาพของครอบครัวในอิสลาม

 


คำถาม

อิสลามได้สอนอะไรเกี่ยวกับครอบครัว และบทบาทของผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กบ้าง?


บรรดาการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์


คำตอบ

 

          ก่อนที่เราจะได้พิจารณาถึงบทบาทของอิสลามในระบบครอบครัวและการมีบทบาทของศาสนาอิสลามในการปกป้องครอบครัว เราจึงควรที่จะทราบถึงสถานภาพของครอบครัวก่อนการมีมาของศาสนาอิสลาม และรูปแบบของครอบครัวในรูปแบบทางตะวันตก

            ก่อนการมาของศาสนาอิสลาม สถานภาพของครอบครัว มีการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องและมีการกดขี่ข่มเหงสมาชิกภายในครอบครัว  หน้าที่ทุกอย่างจะถูกควบคุมดูแลโดยฝ่ายชายเท่านั้น  กล่าวคือ  สตรีและเด็กผู้หญิงจะถูกกดขี่และไม่ได้รับการให้เกียรติ  ดังตัวอย่างที่เมื่อมีผู้ชายภายในครอบครัวเสียชีวิตลง และได้ทิ้งภรรยาเอาไว้ ลูกชายที่เกิดมาจากภรรยาอีกคนนั้น มีสิทธิอันชอบธรรมที่เขาจะสามารถแต่งงานกับเธอ หรือควบคุมดูแลชีวิตของเธอได้ อีกทั้งสามารถห้ามเธอไม่ให้แต่งงานใหม่ได้ และผู้ชายนั้นจะเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์ในการรับมรดก ซึ่งผู้หญิงและเด็กจะไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกเลย 

          ซึ่งผู้ชายในสมัยนั้นมีความคิดว่า บรรดาสตรี ลูกสาว หรือพี่สาวและน้องสาว เป็นแหล่งกำเนิดของความอับอาย  แม้ว่าบรรดาสตรีจะเป็นมารดาของเขาก็ตาม  ซึ่งด้วยความคิดเช่นนี้บรรดาสตรีจึงถูกปฏิบัติเยี่ยงนักโทษ เพราะเธอเหล่านั้นได้นำมาซึ่งความอับอายให้แก่ครอบครัว  ดังนั้นผู้ชายจึงทำการฝังลูกสาวของเขาทั้งเป็น ดังมีหลักฐานจากอายะฮ์ ในอัลกุรอ่าน ที่พระองค์อัลลอฮ์ ทรงตรัสไว้ว่า

“และเมื่อผู้ใดในหมู่พวกเขาได้รับข่าวว่าได้ลูกผู้หญิง ใบหน้าของเขากลายเป็นหมองคล้ำและเศร้าสลด”   

(ซูเราะฮ์ อัลนะฮล์ 16:58)

“และเขาจะซ่อนตัวเองจากกลุ่มชน เนื่องจากความอับอายที่ได้ถูกแจ้งแก่เขา เขาจะเก็บเอาไว้ด้วยความอัปยศหรือฝังมันในดิน

พึงรู้เถิด สิ่งที่พวกเขาตัดสินใจนั้นมันชั่วแท้ ๆ” 

(ซูเราะฮ์ อัลนะฮฺล์ 16:59)

          ก่อนอิสลาม  คำว่าครอบครัวมีความหมายกว้าง ๆ คือ การอยู่ร่วมกันเป็นวงศ์ตระกูล  มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทุก ๆสิ่ง  แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อศาสนาอิสลามได้มีมา ความไม่ถูกต้องที่มีในครอบครัวได้ถูกทำให้หายไปด้วยกับความยุติธรรม  ซึ่งสมาชิกทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง เด็กทารก หรือแม้แต่เด็กทารกที่อยู่ในครรภ์แล้วเกิดการตายขึ้น เขามีสิทธิ์ที่จะได้รับการเอาใจใส่ และได้รับการละหมาดให้(การจัดพิธีศพที่เหมาะสม)

        แต่เมื่อเราพิจารณาถึงสภาพครอบครัวตะวันตกในปัจจุบันนี้ เราจะพบว่าความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัวมีการอยู่ร่วมกันอย่างไม่ดี  ผู้ปกครอง พ่อ แม่ ไม่สามารถที่จะควบคุมดูแลบรรดาลูก ๆ ได้  ไม่ว่าจะด้านสติปัญญาหรือด้านศีลธรรม ซึ่งลูกชายนั้นมีสิทธิ์ที่จะออกไปที่ไหนก็ได้ตามแต่ที่เขาต้องการ ส่วนลูกสาวนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะนั่งหรือนอนกับใครก็ได้ตามแต่ที่เขาต้องการ  ซึ่งพฤติกรรมทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้คำว่า อิสระภาพ เสรีภาพ และสิทธิอันชอบธรรมหรือประชาธิปไตย  แล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรได้ นอกจากครอบครัวเกิดความแตกแยกขึ้น 

         มีเด็กมากมายที่กำเนิดเกิดขึ้นมาโดยที่พ่อและแม่ไม่ได้แต่งงานกัน พ่อและแม่ที่เข้าสู่วัยชราก็ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ จนกระทั่งได้มีผู้ที่ให้คำเตือนใจเอาไว้ว่า “ถ้าคุณอยากจะรู้จักธาตุแท้ของมนุษยชาตินี้ ท่านก็จงไปเยี่ยมเยียนคุก โรงพยาบาล และบ้านพักคนชรา แล้วคุณก็จะได้รู้ว่า  เด็ก ๆ นั้นไม่ได้รำลึกถึงบิดามารดาของเขาเลย  เว้นเสียแต่ในวันหยุดหรือในโอกาสพิเศษ”

 

          ซึ่งในจุดนี้สถาบันครอบครัวจึงได้ถูกทำลายลงไป เมื่ออิสลามได้เข้ามามีบทบาทในการเอาใจใส่ต่อการสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง คุ้มครองสมาชิกทุกคนในครอบครัวออกจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย และให้การดูแลเอาใจใส่คนในครอบครัวเป็นหลักสำคัญของชีวิต

           อิสลามจะให้เกียรติต่อสตรี  ไม่ว่านางจะอยู่ในฐานะ แม่ ลูกสาว หรือพี่สาวน้องสาว  ซึ่งการให้เกียรติแก่ผู้ที่เป็นมารดานั้น  มีรายงานจากท่านอะบูฮูรอยเราะฮ์ (ขอความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮ์ ทรงประทานแก่ท่านด้วยเทอญ) ได้กล่าวเอาไว้ว่า  ได้มีชายคนหนึ่งเข้ามาพบกับท่านศาสดา   และได้กล่าวถามว่า

“โอ้ท่านศาสดาของอัลลอฮ์ ท่ามกลางผู้คนทั้งหลายนี้  ใครคือผู้ที่สมควรจะได้รับการปฏิบัติดีจากฉัน” 

ท่านนะบี ได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”

จากนั้นเขาจึงถามต่อว่า แล้วใครที่ฉันควรจะปฏิบัติดีอีก 

ท่านนะบี ได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”

จากนั้นเขาจึงถามต่ออีกว่าแล้วหลังจากนั้นคือใครอีก 

ท่านนะบี ได้กล่าวตอบว่า “แม่ของท่าน”

เขาจึงถามต่ออีกว่าแล้วใครอีก

ท่านนะบี จึงได้กล่าวตอบว่า “พ่อของท่าน”

(รายงานโดยอัล-บุคอรีย์; 5626 และมุสลิม 2548)

          อิสลามให้เกียรติแก่ลูกสาว  ดังมีรายงานจากท่าน Abu Sa’eed al-khudri ได้กล่าวเอาไว้ว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด  ได้กล่าวว่า

“ใครก็ตามที่มีลูกสาว 3 คนหรือมีพี่สาวหรือน้องสาว 3 คนหรือมีลูกสาว 2 คน หรือมีพี่สาวหรือน้องสาว 2 คน 

ท่านจงดูแลพวกเขาด้วยดีและจงเกรงกลัวต่ออัลลอฮ์ เถิด  เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นจะทำให้ท่านได้เขาสู่สวรรค์” 

 (รายงานโดย Ibn Hibbaan ในฮะดีษซอเฮี้ยะของเขา 2/190)

          และอิสลามได้ให้เกียรติแก่สตรีในฐานะที่เป็นภรรยา  ดังรายงานจากท่านหญิงอาอีชะฮ์ ได้กล่าวว่า  ท่านศาสดามุฮัมมัด  ได้กล่าวว่า

“คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านนั้น  คือผู้ที่ทำดีที่สุดกับภรรยาของเขา และฉันคือผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน  ซึ่งฉันเป็นผู้ที่ทำดีที่สุดต่อบรรดาภรรยาของฉัน”

(รายงานและจัดหมวดหมู่เป็นฮะดีษฮะซัน โดยอัล-ติรมีซีย์ 3895)

          อิสลามนั้นให้สิทธิอันชอบธรรมแก่สตรีในการรับมรดกและให้สิทธิด้านอื่น ๆ แก่นางด้วย  โดยสตรีนั้นมีสิทธิเช่นเดียวกันกับที่บุรุษจะได้รับ  ซึ่งท่านนะบี ได้กล่าวไว้ว่า

“สตรีนั้นเป็นส่วนอีกครึ่งหนึ่งของบุรุษ”

(รายงานโดย อะบูดาวูด ใน Sunan 236 จากฮะดีษของ “อาอีชะฮ์” จัดหมวดหมู่เป็นซอเฮี้ยะ โดย al-Albaani ในซอเฮี้ยะ Abi Dawood 216)

 

          อิสลามส่งเสริมให้ผู้ชายดูแลบรรดาภรรยาของพวกเขาด้วยดี และให้อิสระแก่สตรีในการเลือกคู่ครองของเธอ และภรรยานั้นมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอย่างมากในการอบรมดูแลลูก ๆ ของนาง

           อิสลามมอบให้พ่อและแม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการอบรมเลี้ยงบุตรอย่างมาก  ดังมีรายงานจากท่าน อับดุลเราะฮ์ อิบนิ อุมัร ซึ่งท่านได้ยิน ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้กล่าวไว้ว่า 

“แต่ละคนนั้นคือผู้ปกป้องของกันและกัน และมีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้ที่อยู่ในการดูแลของเจ้าเป็นผู้นำและเป็นผู้ปกป้องคนที่อยู่ในการดูแลของเจ้า

บุรุษนั้นเป็นผู้ปกป้องครอบครัวของเขาและคนที่อยู่ในการดูแลของเขา 

ส่วนสตรีนั้นเป็นผู้ปกป้องครอบครัวของสามีและมีหน้าที่รับผิดชอบผู้ต่อที่อยู่ภายใต้การดูแลของนาง

ลูกจ้างหรือคนรับใช้นั้นมีหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินของนายจ้างและมีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้ที่อยู่ในการดูแลของเขา” 

(รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ 853 และมุสลิม 1829)

          อิสลามให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในการปลูกฝังหน้าที่ในการเคารพต่อบิดาและมารดา  ให้ทำการดูแลท่านและเชื่อฟังคำสั่งของท่านทั้งสองจนกระทั่งเสียชีวิต ดังดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์  ความว่า

“และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้นและจงทำดีต่อบิดามารดา

เมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า อุฟ !

และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน” 

(ซูเราะฮ์ อัล อิสรออ์ 17:23)

          อิสลามได้ปกป้องเกียรติ พรมจรรย์ ความบริสุทธิ์ และเชื้อสายของแต่ละครอบครัว  ดังนั้นอิสลามจึงสนับสนุนให้ทำการแต่งงานและถือเป็นสิ่งต้องห้ามในการปะปนกันระหว่างชายและหญิง

           อิสลามได้สั่งใช้ให้สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ  พ่อและแม่นั้นจะต้องอบรมเลี้ยงดูบรรดาลูก ๆ และสั่งสอนศาสนาให้แก่พวกเขา ให้ลูกๆเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งใช้  ให้เคารพในสิทธิของพ่อและแม่  ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเคารพ แม้ว่าฝ่ายศัตรูของอิสลามได้พยายามลดความเข้มแข็งภายในครอบครัวของพี่น้องมุสลิมก็ตาม


และอัลลอฮ์  เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง

 


 http://www.islamqa.com/en/ref/10001


แปลโดย  : นูรุ้ลนิซาอ์