ข้อชี้ขาดสำหรับผู้ที่ทิ้งละหมาด
  จำนวนคนเข้าชม  8290


      ข้อชี้ขาดของบรรดานักปราชญ์สำหรับผู้ที่ทิ้งละหมาด

 


          สำหรับปัญหาในประเด็นนี้ นักวิชาการได้มีความเห็นขัดแย้งกันตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน  โดยที่ท่านอิหม่ามอะหมัดได้กล่าวว่า

“ผู้ที่ได้ละทิ้งละหมาดนั้น เขาก็ตกศาสนา     และจะต้องถูกฆ่า  หากเขาไม่กลับเนื้อกลับตัว”

          แต่ในทัศนะของ  อะบูอะนีฟะฮ์ มาลิก และ ชาฟีอีย์  ยังไม่ตัดสินว่า ผู้ที่ทิ้งละหมาดเป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา แต่พวกเขาถือว่าผู้ที่ทิ้งละหมาดเป็นคนชั่วที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์  และพวกเขายังมีความขัดแย้งกันในประเด็นอื่นอีกโดยที่ อิหม่ามมาลิก  และ อิหม่ามชาฟีอีย์ ได้ให้ความเห็นว่า

“ผู้ที่ทิ้งละหมาดนั้นจะต้องถูกฆ่าในฐานะที่มีความผิด” 

         ส่วนอิหม่ามอบูอะนีฟะฮ์ มีความเห็นว่า  ให้ขับไล่พวกเขา (หมายถึงผู้ที่ไม่ละหมาด) โดยไม่จำเป็นต้องฆ่า

         เมื่อเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาที่ขัดแย้งกัน จำเป็นที่จะต้องนำปัญหานี้กลับสู่อัลกุรอาน และอัซซุนนะฮ์  ซึ่งเมื่อได้กลับไปดูอัลกุรอานและอัซซุนนะฮ์  จะพบว่าแท้จริงอัลกุรอานและอัซซุนนะฮ์ของท่านนะบี   ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้น เป็นผู้ที่ปฎิเสธศรัทธา 

สำหรับหลักฐานในเรื่องนี้ จากอัลกุรอาน  ดังคำตรัสของอัลลอฮ์ ความว่า 

“ หากพวกเขาได้กลับเนื้อกลับตัว  และพวกเขาได้ดำรงละหมาด  และพวกเขาชำระซากาต ดังนั้นพวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมศาสนากับพวกเจ้า”

และอีกอายะหนึ่งที่อัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า

“ภายหลังจากพวกเขา  ชนรุ่นหนึ่งได้สืบต่อมา  พวกเขาได้ทำการละทิ้งละหมาด  และปฏิบัติตามอารมณ์ใคร่

ต่อมาพวกเขาได้ประสบกับความหายนะ  เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธาและกระทำความดี  ชนเหล่านั้นแหละจะได้เข้าสวรรค์

และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด” 

(ซูเราะห์มัรยัม 59-60)

         เมื่อเราพิจารณาใคร่ครวญอายะนี้  ก็จะเห็นว่าอัลลอฮ์ ทรงตรัสถึงกลุ่มชนที่จะมาทีหลัง  โดยที่พวกเขาเป็นผู้ที่ละทิ้งละหมาด  เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา  และจะต้องประสบกับความหายนะ  นอกจากผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวได้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี  จากอายะนี้ชี้ให้เห็นว่า  ผู้ที่ไม่ละหมาด คือ ผู้ปฏิเสธศรัทธา

         และจากซูเราะห์อัตเตาบะฮ์  อัลลอฮ์  ทรงกำหนดเงื่อนไขเพื่อที่จะให้ความเป็นพี่น้องร่วมศาสนาระหว่างเราและพวกตั้งภาคีไว้  3  เงื่อนไข  คือ

1. พวกเขาจะต้องเลิกจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์

2. พวกเขาจะต้องดำรงการละหมาด

3. พวกเขาจะต้องชำระซากาต

          ดังนั้น ถ้าพวกเขาละทิ้งการตั้งภาคี  แต่ไม่ละหมาด ก็ไม่ถือว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมศาสนา  เมื่อเราได้พิจารณาถึงอายะอัลกุรอานที่อัลลอฮ์  ทรงตรัสไว้ถึงในกรณีที่ฆ่ากันตาย ความว่า

“แล้วผู้ใดที่สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขา  ถูกอภัยให้แก่เขาแล้วก็ให้ปฏิบัติตามนั้นโดยชอบ  และให้ชำระแก่เขาโดยดี” 

(ซูเราะห์อัลบากอเราะห์  อายะที่  178 )

           ความหมายอายะนี้ คือ  ผู้ใดที่ฆ่าผู้อื่นตาย  โดยที่มีคนหนึ่งจากเครือญาติของผู้ตายได้ให้อภัยแก่เขา  โดยไม่ปรารถนาให้ผู้ที่ฆ่าต้องรับโทษ คือ จะต้องถูกฆ่าให้ตายตามกันก็ให้ถือปฏิบัติตามนั้น  ถึงแม้ว่าญาติคนอื่นจะไม่ยินยอมก็ตาม  คำว่า  “สิ่งหนึ่งจากพี่น้องของเขา”  นั้นหมายถึงว่าได้มีการอภัยส่วนหนึ่งจากเครือญาติของผู้ตายและใช้ถ้อยคำว่าพี่น้องของเขา  ให้รู้สึกเป็นพี่น้องกันเพราะผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน 

          จากอายะนี้ทำให้รู้ว่า การทิ้งละหมาด ถือว่า เป็นการกระทำที่ร้ายแรงมากกว่าการฆ่าชีวิตของผู้อื่นเสียอีก  โดยที่อิสลามยังถือว่าผู้ที่ฆ่ากันตายนั้นยังเป็นพี่น้องร่วมศาสนาอยู่  แต่ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา  เพราะเขาได้ละทิ้งละหน้าที่ของเขาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า  จึงจำเป็นสำหรับผู้ที่ละทิ้งละหมาดจะต้องกลับเนื้อกลับตัวขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์  เพื่อว่าเขาจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์  และจะได้เข้าสวนสวรรค์ของพระองค์


หลักฐานจากอัซซุนนะฮ์

ท่านเราะซูล   ได้กล่าวว่า 

“แท้จริงระหว่างคนคนหนึ่งกับการตั้งภาคี (ต่ออัลลอฮ์)  และการปฏิเสธศรัทธา  คือ  การทิ้งละหมาด” 

และอีกคำพูดหนึ่งที่ว่า 

“สัญญาหนึ่งที่จะมาแบ่งแยก  ระหว่างเราและพวกเขา (หมายถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา)  คือการละหมาด 

ดังนั้นผู้ใดละทิ้งการละหมาด  แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธา”

(บันทึกโดย  อะหมัด  อบูดาวูด  อัตตีรมีซีย์)
   

          สำหรับคำว่า  “ปฏิเสธ”  ในหะดิษนี้นั้นหมายถึง  การปฏิเสธที่ทำให้ตกศาสนา  เนื่องจากท่านนะบีมุฮัมมัด     ได้ทำให้การละหมาดมาเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธ   และเป็นที่ทราบกันดีว่า  แนวทางของการปฏิเสธไม่ใช่แนวทางของอิสลาม และผู้ใดที่ไม่รักษาสัญญานี้ (หมายถึงการละหมาด)  เขาก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธา


ความสำคัญของการละหมาดในอิสลาม

          1. บัญญัติอิสลามได้ให้ผู้ที่ละทิ้งละหมาดนั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา 

          2. การละหมาดนั้นเปรียบเสมือนเสาหลักของศาสนาผู้ใดที่ไม่ละหมาด  ก็เหมือนกับเขาได้ทำให้เสาหลักศาสนาล้มลง   เท่ากับว่าเขาได้ทำลายศาสนาในตัวของเขาเอง

         3. การละหมาดจะเป็นสิ่งแรกที่บ่าวจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ ดังฮะดิษของท่านนะบี  ที่ว่า 

“สิ่งแรกที่บ่าวจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์  คือการละหมาด  ดังนั้นหากว่าการทำละหมาดนั้นดี  แน่นอนเขาจะได้รับความสำเร็จ 

และได้รับความปลอกภัย  และหากว่าการละหมาดให้เสีย (ไม่ถูกรับ)  แน่นอนเขาจะเป็นผู้ที่ขาดทุน”

          4. การละหมาดนั้นเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายที่ท่านเราะซูล  ได้สั่งเสียแก่ประชาชาติของท่านก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไป  โดยที่ท่านกล่าวว่า

   “การละหมาดและสิ่งที่มือขวาของพวกเจ้าได้ครอบครองอยู่  (หมายถึงทาสหญิง)”

          จากหะดิษนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการละหมาดในขณะที่ท่านนะบี จะจากโลกนี้ไป  คำสั่งเสียสุดท้ายของท่าคือ  ให้รักษาการละหมาด

          5. การละหมาดเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ์ อย่างเดียวที่มุสลิมจะต้องถือปฏิบัติไม่ว่าจะอยู่ในสหภาพใด  ห้ามละทิ้งเป็นอันขาด  ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเดินทาง  ซึ่งต่างกับอิบาดะฮ์อย่างอื่น  ยกเว้นคน  3  ประเภทคือ  คนบ้า  เด็กที่ยังไม่เข้าเกณฑ์บังคับของศาสนา  และคนนอนหลับจนกว่าเขาจะตื่น


โทษของผู้ที่ได้ละทิ้งศาสนาที่จะได้รับในโลกหน้า

1. มลาอิกะฮ์จะทำการลงโทษพวกเขาด้วยการตีที่ใบหน้าและแผ่นหลังของพวกเขา

2. พวกเขาจะต้องไปอยู่ร่วมกันกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา  และผู้ตั้งภาคีในนรกและอื่นๆ อีกมากมายจากการลงโทษ

 

          พี่น้องที่รักประตูแห่งการขออภัยโทษกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮ์ ยังคงเปิดอยู่เสมอ  ขอให้พี่น้องได้มุ่งหน้าหาพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ  และเสียใจต่อความผิดที่ผ่านมาในอดีต  และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำความผิดอีกต่อไป และทำการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ ให้มาก แน่นอนอัลลอฮ์  จะทรงอภัยโทษให้กับพี่น้องในความผิดของพี่น้อง  ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านนะบีมุฮัมมัด  ตลอดจนเครือญาติ  และบรรดาสาวกของท่านทั้งหมด


 
ข้อมูลบางส่วนได้แปลจากหนังสือของท่านเชคอุซัยมีน ชื่อว่า “ฮุกุมของผู้ทิ้งละหมาด”

 

โดย :  อิสมาอีล  บินกอเซ็ม