การระบุเพศทารกในครรภ์
  จำนวนคนเข้าชม  12108

การระบุเพศทารกในครรภ์

 
คำถาม :

          อัสลามุอะลัยกุม ชัยคฺที่เคารพ ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวไว้ว่ามีเฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้นที่รู้ว่าทารกในครรภ์มารดานั้นจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง แต่ในปัจจุบันนี้ด้วยกับเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ (เช่น เครื่องอุลตร้าซาวด์, เครื่องเอกซ์เรย์ และเครื่องมือเทคโนโลยีอันทันสมัยอื่นๆ) ทำให้แพทย์สามารถที่จะบอกได้ว่าทารกในครรภ์เป็นเพศอะไร? ในเมื่อเครื่องมือทางวิทยาการใหม่ๆ เหล่านี้ก็สามารถทำสิ่งนี้ได้เช่นกัน แล้วเราจะอธิบายข้อเท็จจริงที่มีต่อประเด็นนี้ของคัมภีร์อัลกุรอานว่าอย่างไร ? ญาซากัลลอฮุค็อยร็อน.

มวลการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์


คำตอบ :

 ท่านอิบนุอุมัร (รอฎิยัลลอฮุ อันฮุมา) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลลฮฺ ศ็อลลอลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า...

“กุญแจ แห่งสิ่งเร้นลับมีอยู่ 5 อย่าง ไม่มีผู้ใดรู้สิ่งดังกล่าวนั้นได้นอกจากอัลลอฮฺ ตะอาลา คือ :

ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ นอกจากอัลลอฮฺ

 ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในครรภ์ นอกจากอัลลอฮฺ

 ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไร่ฝนจะตก นอกจากอัลลอฮฺ

 ไม่มีใครรู้ว่า ณ แผ่นดินใดที่เขาจะตาย และ

ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่วันสิ้นโลกจะมาถึง นอกจากอัลลอฮฺ”

(รายงานโดย อัลบุคอรี)
 

         อัลบุคอรียังได้รายงานไว้อีกสำนวนหนึ่งของฮาดิษนี้ : “กุญแจแห่งสิ่งเร้นลับมีอยู่ 5 อย่าง” แล้วท่านก็อ่านอายะห์นี้ตามมา... 

 

“แท้จริง อัลลอฮฺนั้น ความรู้แห่งวันอวสานมีอยู่ ณ ที่พระองค์ และพระองค์ทรงประทานฝนลงมา และพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในครรภ์มารดา

 ไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ และก็ไม่มีชีวิตใดรู้ว่า ณ แผ่นดินใดที่มันจะต้องตายลง แท้จริงพระองค์คือ ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง”

 (ซูเราะฮฺ ลุกมาน : 34) 

         มีเพียงอัลลอฮฺ ผู้เดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ในสิ่งเร้นลับ พระองค์ทรงกล่าวว่า...

“จงกล่าวเถิด (โอ้ มุฮัมมัด) ว่าไม่มีผู้ใดทั้งในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดินที่จะล่วงรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยได้ นอกจากอัลลอฮฺ

และพวกเขาก็จะไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พวกเขาจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพ (ขึ้นมาอีกครั้ง)

(ซุเราะฮฺอัน-นัมลฺ  : 65)

ซึ่งสิ่งพ้นญาณวิสัยดังที่ถูกกล่าวถึงในอายะห์นี้ ก็เช่นเดียวกับสิ่งเร้นลับดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้แล้วในซูเราะฮฺลุกมาน 

        มาถึงประเด็นที่เรากำลังให้ความสนใจ เราสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่แพทย์สามารถรู้ถึงเพศของทารก ในครรภ์ได้นั้นก็ด้วยการใช้เครื่องเอกซ์เรย์ หรืออุลตร้าซาวด์ช่วย แต่เราต้องตระหนักด้วยว่าสิ่งที่แพทย์ทราบนี้ยังคงคลุมเครืออยู่และไม่ได้สมบูรณ์เสียทีเดียว แพทย์เองอาจเกิดความผิดพลาดได้ ดังที่ได้เกิดขึ้นในหลายๆ กรณี ยิ่งกว่านั้น แพทย์จะสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อตรวจดูเพศของทารกได้ก็ต่อเมื่อหลังจากที่อายุครรภ์ได้ผ่านไปแล้วระยะหนึ่งเท่านั้น และก็ไม่สามารถที่จะตรวจดูที่อายุครรภ์ก่อนหน้านั้นได้ ถึงแม้ว่าแพทย์จะทราบว่าทารกเป็นเพศชายหรือเพศหญิงแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าทารกนั้นจะอยู่ในครรภ์จนถึงอายุครรภ์ที่ครบกำหนดตามปกติหรือไม่ หรือคลอดออกมาแล้วเด็กจะมีชีวิตรอดอยู่หรือว่าต้องตายตั้งแต่แรกเกิดหรือไม่

แพทย์ไม่อาจจะทราบระยะเวลาที่แน่นอนที่ทารกจะอยู่ในครรภ์ของมารดาได้ พวกเขาไม่สามารถจะบอกอะไรได้เลยนอกจากเป็นเพียงการคาดคะเนและข้อสันนิษฐานเท่านั้น  แพทย์ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเด็กที่คลอดมานั้นจะสามารถมีชีวิตไปได้นานอีกกี่ปี ต่อไปเขาจะมีลักษณะนิสัยใจคอหรือฐานะความเป็นอยู่อย่างไร หรือแม้กระทั่งสุดท้ายหลังจากเสียชีวิตไปแล้วเขาจะได้เป็นชาวสวรรค์หรือ ชาวนรก?
 
ความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในครรภ์นั้น ไม่ใช่เพียงแค่จะรู้ว่าทารกนั้นเป็นเพศชายหรือหญิง (หรือมีความผิดปกติทางร่างกายใดๆ)เท่านั้น ที่จริงมันกว้างกว่านั้นมาก ซึ่งสิ่งนั้นไม่มีผู้ใดจะสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น พระองค์ทรงกล่าวว่า... 

“อัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนอุ้มครรภ์ไว้ และที่บรรดามดลูกคลอดก่อนกำหนดและที่เกินกำหนด และทุกๆสิ่ง ณ ที่พระองค์นั้นมีการกำหนดภาวะไว้แล้ว”

(ซูเราะฮฺ อัร-เราะดฺ : 8)
 

          ท่านอิหม่าม อิบนุ กะษีร (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) ได้กล่าวไว้ในหนังสือตัฟซีรของท่านเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ว่า...

“อัลลอฮฺ กำลังบอกเราในที่นี้ถึงความรู้อันสมบูรณ์ของพระองค์ ไม่มีอะไรที่จะสามารถซ่อนเร้นจากพระองค์ไปได้ และพระองค์ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในมดลูกของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด พระองค์ทรงรู้ว่าทารกเป็นเพศหญิงหรือชาย ดีชั่วอย่างไร ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นชาวสวรรค์หรือนรก มีชีวิตยืนยาวแค่ใหน”

พระองค์ทรงกล่าวว่า...

“พระองค์ ทรงรู้จักพวกเจ้าดียิ่ง เมื่อครั้งบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดิน และเมื่อครั้งพวกเจ้าเป็นทารกอยู่ในครรภ์ของมารดาของพวกเจ้า

ดังนั้นพวกเจ้า อย่าแสดงความบริสุทธิ์แก่ตัวของพวกเจ้าเอง เพราะพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่มีความยำเกรง”

(ซูเราะฮฺอัน-นัจมฺ : 32)
 

           รายงานจากท่านอิบนุมัสอูด (รอฎิยัลลอฮุ อันฮุมา) ว่าท่านศานฑูต (ศ็อลลอลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวว่า...

“การบังเกิดพวกเจ้าขึ้นมาคนหนึ่ง เขาถูกรวบรวมอยู่ในมดลูกเป็นระเวลา 40 วัน

จากช่วงระยะเวลาเดียวกันจะกลายเป็นก้อนเลือด จากช่วงเวลาเดียวกันจะกลายเป็นก้อนเนื้อ

หลังจากนั้นมลาอิกัตจะถูกส่งมาเป่าวิญญาณเข้าไปในตัวเขา พร้อมกับถูกบันทึก 4 อย่างนั่นคือ

 เกี่ยวกับปัจจัยยังชีพของเขา อายุขัยของเขา การงานของเขา ทุกข์สุขของเขา”

ในบางรายงานมลาอิกัตกล่าวว่า “โอ้ พระผู้อภิบาล (เกี่ยวกับทารกผู้นี้) ให้เป็นเพศชายหรือหญิง ? ทุกข์สุขเป็นอย่างไร ? ปัจจัยยังชีพเป็นอย่างไร ? อายุขัยมากน้อยแค่ใหน ? แล้วมลาอิกัตก็บันทึกลงไปตามนั้น”

(รายงายโดย อัลบุคอรี และมุสลิม)
 

        มุสลิมทุกคนจะต้องมีความศรัทธาที่มั่นคง โดยปราศจากความสงสัยใด ๆ ว่าสิ่งที่ท่านศาสนฑูต (ศ็อลลอลลฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) กล่าวนั้นเป็น “วะฮียฺ” (วิวรณ์) ที่อัลลอฮฺทรงนำมายังท่าน ดังที่อัลลอฮฺกล่าวว่า... 

“ขอสาบานด้วยดวงดาวเมื่อมันคล้อยตกลงมา สหาย (มุฮัมมัด) ของพวกเจ้า มิได้หลงผิดและเชื่อมั่นในทางที่ผิด และเขามิได้พูดตามอารมณ์ (ของเขาเอง)

 อัลกุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮียที่ถูกประทานลงมา”

วัลลอฮุอะหฺลัม

พระองค์อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งในทุกสรรพสิ่ง

 

ตอบคำถามโดย ชัยค มูฮัมหมัด ศอลิหฺ  อัลมุนัจญิด

Sukree Ibn Qadir  แปลและเรียบเรียง