อิสลามศาสนาแห่งการดำเนินชีวิต
  จำนวนคนเข้าชม  9659

อิสลามศาสนาแห่งการดำเนินชีวิต


โดย ปริญญา ประหยัดทรัพย์


ท่านนบีมูฮำหมัด ได้กล่าวว่า

ผู้ศรัทธาที่แข็งแกร่งนั้นดีเยี่ยมและเป็นที่รักยิ่ง ณ องค์อัลเลาะฮ์ มากกว่าผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ

และคุณความดีมีอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง ท่านจงปกปักรักษาสิ่งที่ยังประโยชน์ต่อท่าน และจงขอความช่วยเหลือต่ออัลเลาะฮ์

และจงอย่าแสดงความอ่อนแอหากมีสิ่งใดแผ้วพานมาประสบกับท่าน ท่านอย่ากล่าวว่าถ้าหากฉันได้กระทำเช่นนี้ ผลจะเป็นเช่นนี้

แต่ทว่าท่านจงกล่าวว่า อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดมาแล้ว และสิ่งใดที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็ทรงบันดาลให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

แท้จริงคำว่า ถ้าหากว่า มันจะเปิดประตูการงานของชัยตอนมารร้าย

(รายงานโดย มุสลิม อิบนูมาญะห์ และอะห์มัด)


คำอธิบาย

         อันที่จริงอิสลามนั้นเป็นศาสนาแห่งความเข้มแข็งที่เชิญชวนผู้ศรัทธาสู่การยึดเหนี่ยวในเหตุ และอิสลามได้ปูทางให้แก่ผู้ศรัทธาก้าวเดินไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย ในฮาดิษบทนี้ ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ ได้ยืนยันว่าผู้ศรัทธาที่แข็งแกร่งนั้นดีเยี่ยมและเป็นที่รักยิ่ง ณ.องค์อัลเลาะฮ์ มากกว่าผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ

         สรุปประเด็นทางหลักธรรมคำสอนทางศาสนาในฮาดีษบทนี้สรุปออกมาเป็น 4 สารัตถะ ที่สนับสนุนให้ผู้ศรัทธาขอความช่วยเหลือในอำนาจและพลังจากอัลเลาะฮ์ซึ่งไม่มีพลังและเดชานุภาพใดๆ นอกจากพลังแห่งอัลเลาะฮ์ ผู้ทรงหนึ่งเดียวเท่านั้น  อีกทั้งการการเสียสละการทุ่มเทเพื่อการต่อสู้ในหนทางของอัลเลาะฮ์ ของผู้ศรัทธาจะต้องไม่ท้อถอยและอ่อนแอ อีกทั้งไม่ยอมสยบต่อผู้ใด  กอรปกับมีความอดทนขันติในภาวะที่ประสบกับภัยพิบัติโดยไม่พิรี้พิไรรำพึงรำพันแต่อย่างใด  และไม่สิโรราบต่อการกระซิบกระซาบของชัยตอนมารร้ายใดๆ  

 

สารัตถะที่หนึ่ง

          เป็นข้อบัญญัติที่เรียกร้องให้ผู้ศรัทธาทุกคนตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อฉกฉวยโอกาสและแสวงหาผลประโยชน์ในห้วงเวลา และโอกาสที่เอื้ออำนวยให้ และคุณานุประโยชน์ใดๆ ที่ผู้ศรัทธาได้โอบกอดไว้ในโลกดุนยาและโลกอาคีเราะฮฺ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นที่จะต้องปกปักรักษามันไว้ให้ดีที่สุด อีกทั้งต้องพัฒนาให้ก้าวเดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง 

         อันทรัพย์สินนั้นจำเป็นสำหรับผู้ศรัทธาต้องพากเพียรแสวงหาจากปัจจัยที่ฮาลาลเท่านั้น ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงก็เป็นหน้าที่ ที่ผู้ศรัทธาจักต้องทุ่มเทเพียรพยายามในหนทางเต็มตามศักยภาพ และสรรพกำลังที่มีให้ดำเนินอยู่ในกรอบของอิสลามอย่างแท้จริง สำหรับวิทยาการในสาขาแขนงต่างๆ มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้โลกมีการวิวัฒน์พัฒนาเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกลไกแห่งชีวิตที่เตรียมพร้อมในการดูแลเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อาทิเช่น แพทย์ วิศวะ ครู เพราะสาขาวิชาการเหล่านี้เป็นศาสตร์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ที่ผู้ศรัทธาจะต้องศึกษา และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง

        สำหรับจริยธรรมอันประเสริฐต้องใช้ความเพียรพยายามในการฝึกปฎิบัติ ยับยั้งชั่งใจ อดทนขันตินั้นจำเป็นที่ผู้ศรัทธาจักต้องน้อมรับสิ่งเหล่านั้นด้วยความบริบูรณ์ยิ่งต่อการที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจริยธรรมอันสูงส่ง  ส่วนหลักธรรมะและองค์ความรู้ทางศาสนาเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น และสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ผู้ศรัทธาทุกคนต้องมีความมุ่งมั่นในการแสวงหาเสบียงแห่งธรรมะทางศาสนา เพื่อเตรียมพร้อมเดินทางสู่มิติหนึ่งแห่งชีวิตในโลกอาคีเราะฮ์ ดังนั้นจำเป็นที่ทุกคนต้องปฎิบัติภารกิจด้วยความเข้มแข็งอดทนบนพื้นฐานแห่งการสร้างคุณานุประโยชน์ในโลกใบนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันคือกระบวนการแห่งการขัดเกลาจิตใจ ปลุกจิตใต้สำนึกให้มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

 

สารัตถะที่สอง

         อธิบายถึงการขอความช่วยเหลือต่ออัลเลาะฮ์  กล่าวคือเป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นเตือนให้ผู้ศรัทธามีจิตสำนึกต่อภารกิจที่ต้องปฎิบัติ โดยไม่หันเหออกจากแนวทางของอัลเลาะฮ์ยิ่งไปกว่านั้นผู้ศรัทธาจักต้องคะนึงหาผูกพันกับพระผู้อภิบาลของเขาอย่างต่อเนื่อง เพราะแท้ที่จริงแล้วพระองค์อัลเลาะฮฺ จักทรงเปิดทางแห่งความสะดวกง่ายดายให้แก่เขา คราใดที่เขาได้เข้าสู่การปฎิบัติภารกิจหน้าที่การงานแน่นอนเขาจะมีความรู้สึกว่า พละกำลังและความสามารถแห่งความเป็นมนุษย์นั้นมีขอบเขตที่จำกัดอย่างมาก สรรพกำลังที่วาดหวังเอาไว้มันก็จะถดถอยอ่อนแอลง เพราะฉะนั้นจำเป็นที่มนุษย์จะต้องขอความช่วยเหลือและความสัมฤทธิผลจากพระองค์อัลเลาะฮฺ เพื่อที่จะรับการสงเคราะห์ช่วยเหลือจากอัลเลาะฮฺ และดำเนินชีวิตอยู่ในแนวทางของพระองค์อย่างมั่นคง ในอันที่จะนำพาเขาไปสู่สิ่งที่เขาพึงปรารถนา บรรลุไปสู่สิ่งที่วาดหวังเอาไว้ด้วยการกระทำอย่างเต็มตามศักยภาพของตนเองที่มีอยู่

         ดังนั้นขอพระองค์อัลเลาะฮฺ ขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคขวากหนามและอื่นๆให้หมดสิ้นไปจากมวลผู้ศรัทธาทั้งหลาย เนื่องด้วยเหตุที่ผู้ศรัทธาได้ขอความช่วยเหลือต่ออัลเลาะฮฺ อยู่เป็นอาจิณโดยที่พระองค์ทรงกำชับให้เราทุกคนอ่านในทุกๆ รอกาอัตของการละหมาดทุกๆ เวลาด้วยถ้อยคำ

"เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เรานมัสการกราบไหว้และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ"

         ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงกำชับให้ผู้ศรัทธาทำการกล่าวรำลึกถึงพระผู้อภิบาลให้มากที่สุดในขณะที่พวกเขาออกศึกสงครามสู้รบกับศัตรู ดังที่พระองค์ทรงดำรัสไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านว่า ความว่า

"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าพบข้าศึกกลุ่มหนึ่งพวกเจ้าก็จงตั้งมั่น (ในการเผชิญกับข้าศึกนั้น)

 และพวกเจ้าจงรำลึกถึงอัลเลาะฮฺ์ ให้มากเถิดเพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบความสำเร็จ"

(ซูเราะฮฺ อัลอัมฟาล โองการที่ 45 )

 

สารัตถะที่สาม

เล่าจากท่านอานัส บินมาลิก  ว่า ท่านรอซูลลุลเลาะฮ์ เคยกล่าวไว้ในการขอพรของท่านว่า

 "โอ้อัลเลาะฮ์ แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากความอ่อนแอ และความเกียจคร้าน ความขี้ขลาด ความตระหนี่"

        จากคำสอนของท่านรอซูลลุ้ลเลาะฮฺ ในบทนี้ชี้ให้เห็นว่า ท่านรอซูล ได้ขอความคุ้มครองจากอัลเลาะฮฺ ให้รอดพ้นจากสิ่งดังกล่าว และชิงชังกับความเกียจคร้าน ประกาศทำสงครามกับบุคคลที่นั่งงอมืองอเท้าโดยไม่ทำมาหากินแต่อย่างใดเลย(อัตตะวากุ้ล) ยิ่งไปกว่านั้นอิสลามมิพึงปรารถนาให้ผู้ศรัทธาอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ ซึ่งมันจะทำให้เขาต้อยต่ำด้อยค่า และไม่ปราถนาให้เขาเกียจคร้านกระทั่งทำให้ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเป็นอาจิณ หรือละเลยต่อภาระหน้าที่ของตัวเองจนต้องตกอยู่ในความล้าหลัง ทั้งๆ ที่ภารกิจเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใดเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขามีเกียรติและมีศักดิ์ศรี

 

สารัตถะที่สี่

        ฮาดิษบทดังกล่าวนี้ได้วางกรอบให้ผู้ศรัทธาทุกคนปิดประตูแห่งความเพ้อฝันจินตนาการและฝันเฟื่องแห่งชีวิต เพราะมุมินจักต้องดำเนินชีวิตของเขาเพื่อวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด มิใช่ดำเนินชีวิตเพียงแค่วันวานอย่างเดียว และต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับชีวิตจริงมิใช่เพียงแค่ความฝันและกลลวง

         ดังนั้นเมื่อมนุษย์ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพียงเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง หรือเป้าหมายใดแห่งโลกดุนยา ซึ่งบางครั้งเขาก็ประสบความล้มเหลวหรือเผชิญกับอุปสรรค เขาจะน้อมรับสิ่งที่มากีดขวางเส้นทางของเขาด้วยวิญญาณแห่งผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งเขารู้ดีว่าสิ่งต่างๆ ที่แผ้วพานมาประสบนั้นมันคือการลิขิตและพระประสงค์ของอัลเลาะฮฺทั้งสิ้น

         อันที่จริงผู้ศรัทธามีความเชื่อมั่นว่าการลิขิต (กอดัร) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้นว่าเขาจะทำเช่นไรมันก็จะไม่เปลี่ยน  ดังเช่นคนๆ หนึ่งตายไปเนื่องจากความเจ็บป่วยโดยที่ไม่มีสิ่งใดทำให้เขาหายจากความเจ็บป่วยได้ แม้นว่าจะมีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาเยียวยารักษาเขาก็ตาม หรืออีกกรณีของคนๆ หนึ่งที่เขาแพ้คดีความไม่สามารถต่อสู้คดีให้ชนะความได้แม้นว่าจะมีทนายความที่เก่งกาจเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาสู้คดีให้ก็ตาม โดยเหตุนี้เองผู้ศรัทธาอย่าให้ความเศร้าโศกและความระทมทุกข์มาเป็นอุปสรรคต่อการกลับตัวกลับใจต่อความผิดพลาดในสิ่งที่ผ่านมา อย่าให้ชัยตอนมารร้ายมาครอบงำพื้นที่ของหัวใจจนตกเป็นทาสของมันอย่าให้เวลาที่ผ่านมาในชีวิตของเราผ่านพ้นไปโดยไร้สาระและเปล่าประโยชน์

 

บทเรียนจากอัลฮาดิษ

     1. ผู้ศรัทธาทุกคนจะต้องยืนหยัดบนหลักความเชื่อ หลักศรัทธา เจตนารมณ์ สติปัญญา และจริยธรรมของเขาให้มีความเข้มแข็งมั่นคงอยู่เสมอ
 

     2. การประพฤติปฏิบัติของผู้ศรัทธาจะต้องมีความจริงจังและจริงใจในการปฏิบัติ และต้องพากเพียรแสวงหาในหนทางที่จะได้มาเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว และสังคมด้วยเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีอันแข็งแกร่ง

 
     3. ผู้ศรัทธาจักต้องเพียรพยายามแสวงหาสิ่งที่ยังประโยชน์แก่เขา ครอบครัว สังคมแห่งอัลอิสลามในทุกๆมิติของชีวิตทั้งในโลกดุนยาและอาคีเราะฮ์ โดยเหตุนี้เองอิสลามมิใช่เป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์นั่งงอมืองอเท้าไม่ทำมาหากินรอให้ปัจจัยไหลหลั่งเข้ามา และก็มิได้สอนให้ยึดติดเป็นนักบวช นักพรตสละโลกและโดดเดี่ยววิเวกตัวเองออกจากมิติของโลกนี้แต่อย่างใดเลย
 

     4. อะกีดะฮ์ของมุสลิมถูกวางอยู่บนฐานแห่งการพึ่งพาในเดชานุภาพของอัลเลาะฮ์ในการประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อย่าได้สิ้นหวังในพระเมตตาธิคุณของพระองค์ อีกทั้งผู้ศรัทธานั้นอย่าได้เชื่อมั่นพลังในตัวเองเพียงอย่างเดียว เพราะบางทีในบางสถานการณ์เขาอาจจะเผชิญกับอุปสรรคนานัปการและความทุกข์ยากลำบาก โดยที่เขามิอาจหลุดพ้นจากวังวนแห่งการนั้นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือและทางออกแห่งความสะดวกง่ายดายจากพระองค์
 

     5. อิสลามมิใช่เป็นศาสนาที่สอนให้มนุษย์ครองชีวิติของตัวเองให้อยู่ในภาวะที่อ่อนแอนั่งงอมืองอเท้าโดยไม่ทำมาหากิน หมดอาลัยตายอยากสิ้นหวังในความเมตตาของอัลเลาะฮ์โดยการพึ่งพาขอต่อผู้อื่นเป็นอาจิณ เพราะฉนั้นอิสลามไม่สนับสนุนอีกทั้งประณามพฤติกรรมการขอทานและขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเป็นอาชีพ
 

     6. อิสลามมิใช่เป็นศาสนาที่สั่งสอนให้ผู้คนฝันเฟื่องเพ้อฝันลมๆแล้งๆและจมปลักอยู่กับอดีตแห่งความรันทดระทมทุกข์ ฉะนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาแห่งการสร้างสรรค์มิใช่เพื่อการทำลาย อีกทั้งเป็นศาสนาแห่งการดำเนินชีวิตที่มั่นคงแข็งแกร่งไม่สยบยอมแพ้ต่อความอ่อนแอใดๆ เลย

 

 


สำนักจุฬาราชมนตรี