สนับสนุนความดีและยับยั้งความชั่ว
  จำนวนคนเข้าชม  7435

  

สนับสนุนความดีและยับยั้งความชั่ว


โดย : ซุฟอัม อุษมาน


♥ ความร่วมมือกันในการสนับสนุนความดีและยับยั้งความชั่ว

         เนื่องจากมวลมนุษย์ไม่สามารถจะใช้ชีวิตได้โดยลำพัง หากแต่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์และการคบค้าสมาคมระหว่างหมู่มนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น หลักสำคัญประการหนึ่งที่อิสลามได้กำหนดไว้สำหรับการดำเนินชีวิตของพวกเขาทั้งหลาย คือหลักแห่งความสงบสุข ความศานติ และความมั่นคง

         ความสัมพันธ์ของศาสนาอิสลามกับศาสนาอื่นไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคลหรือระดับประเทศ คือความสัมพันธ์ในรูปของ การทำความรู้จัก การเกื้อกูลกัน การเผยแผ่และทำความดี ไม่ใช่ความสัมพันธ์ในรูปของการปะทะ ต่อสู้ ก่อการร้ายหรือทำความชั่ว  อิสลามเรียกร้องให้มวลมนุษย์ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือในความดีงามและการสร้างความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า อิสลามปฏิเสธการร่วมมือกันในการทำบาปและการทำความชั่ว

ในการนี้อัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาได้มีดำรัสเรียกมนุษย์ทั้งมวลว่า

"โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าทั้งเพศชายและเพศหญิง และให้พวกเจ้าเป็นกลุ่มพวกและหมู่เหล่า เพื่อพวกเจ้าจะได้สร้างความรู้จักกัน

แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในระหว่างพวกเจ้า ณ อัลลอฮฺ คือผู้ที่ยำเกรง (ต่อพระองค์) มากที่สุด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง"

(อัลกุรอาน 49 : 13)

        การเรียกร้องมนุษย์สู่ความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า คือ การเรียกร้องมนุษย์สู่การประพฤติอยู่บนความดีและหลีกเลี่ยงจากความชั่วทั้งหลาย

อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอานว่า

"และจงช่วยเหลือเกื้อกูลกันในความดีและการยำเกรง และอย่าได้ร่วมมือช่วยเหลือในการทำบาปและการละเมิด

และจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้หนักหน่วงในการลงโทษ"

(อัลกุรอาน 5 : 2)

          ธรรมชาติของความสัมพันธ์และการรู้จักกันจะนำไปสู่การเกื้อกูลกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่หลากหลาย อิสลามได้วางเงื่อนไขการช่วยเหลือเกื้อกูลที่เป็นเป้าประสงค์บนหลักของการทำดีและการยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า ทั้งสองหลักนี้เป็นจุดรวมของความดีงามและสันติภาพสำหรับมวลมนุษย์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในขณะที่การช่วยเหลือกันในการกระทำผิดบาปและการละเมิดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งระหว่างผู้คนในโลกนั้นเป็นที่ต้องห้ามในอิสลาม เพราะทั้งสองประการ คือเหตุแห่งความชั่วร้ายและหายนะทั้งหลายที่นำไปสู่สงคราม การแตกแยก และจุดไฟแห่งการปะทะที่จะทำลายสันติภาพและความสงบสุขของมนุษยชาติในที่สุด

          การร่วมกันสนับสนุนความดีและยับยั้งความชั่วเป็นสิ่งที่อิสลามให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือว่าการละเลยในภารกิจนี้เป็นเหตุที่ทำให้โลกต้องพบความเสื่อมโทรมและกลายเป็นหายนะของสังคมมนุษย์ การรับผิดชอบต่อความเป็นไปของโลกถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของมนุษย์โลก

"พวกเจ้าจงระวังการลงโทษ (ที่อัลลอฮฺใช้ทดสอบ) ที่จะไม่ประสบกับบรรดาผู้อธรรมเท่านั้น และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้หนักหน่วงในการลงโทษ"

(อัลกุรอาน 8 : 25)

ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ได้สั่งเสียว่า

"ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺผู้ซึ่งชีวิตข้าอยู่ในพระหัตถ์แห่งพระองค์ พวกท่านต้องร่วมสั่งเสียในความดี หักห้ามจากความชั่ว

หรือ (ถ้าพวกท่านไม่ทำเช่นนั้น) เห็นทีอัลลอฮฺจะส่งการลงโทษของพระองค์ลงมายังพวกท่าน

เมื่อนั้นแม้พวกท่านจะวิงวอนขอจากพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงตอบรับ"

(รายงานโดย อะหฺมัด และอัต-ติรฺมิซีย์)

         การลงโทษของอัลลอฮฺที่กล่าวถึงนี้หมายถึงความหายนะและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลก และสร้างผลเสียให้กับสังคมมนุษย์ทั้งมวล ซึ่งบังเกิดขึ้นให้เห็นทั่วทุกแห่งดังที่อัลลอฮฺได้มีดำรัสว่า

"ความวิบัติ (ความผิดบาปและหายนะ) ได้เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากสิ่งที่มือของมนุษย์ได้ทำขึ้น

เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสผลบางส่วนจากที่พวกเขากระทำไว้ โดยหวังที่จะให้พวกเขากลับเนื้อกลับตัว"

 (อัลกุรอาน 30 : 41)

         ด้วยการมองเช่นนี้ อิสลามจึงกำหนดให้การเชิญชวนสู่ความดีและห้ามจากความชั่วเป็นภารกิจของมุสลิมทุกคน และเป็นเครื่องหมายแห่งความดีงามของประชาชาติอิสลาม

"พวกเจ้านั้นเป็นประชาชาติอันประเสริฐสุดที่ถูกให้กำเนิดขึ้นมาเพื่อมนุษยชาติ

ด้วยการที่พวกเจ้าสั่งเสียในความดี หักห้ามยับยั้งจากความชั่ว และด้วยการที่พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ"

(อัลกุรอาน 3 : 110)