การจำแนกระหว่างศรัทธาและไม่ศรัทธา
  จำนวนคนเข้าชม  4176

การจำแนกระหว่างศรัทธาและไม่ศรัทธา

 

อับดุลอะซีซ บิน มัรซูก อัฏ-เฏาะรีฟีย์


 

          อีมาน และ กุฟรฺ คือ คำนามสองคำและหุก่มสองหุก่มที่พระองค์อัลลอฮฺเท่านั้นเป็นผู้ชี้ขาด ดังนั้น จึงไม่สามารถเจาะจงว่าผู้ใดเป็นกุฟรฺเว้นแต่จะมีหลักฐานอ้างอิงอย่างชัดเจน โดยมนุษย์บนโลกนี้แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่านั้น คือ ผู้ศรัทธา และ ผู้ไม่ศรัทธา พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า 

 
“พระองค์ คือผู้ทรงสร้างสูเจ้า แล้วในหมู่สูเจ้าก็มีคนที่เป็นกาฟิรฺ และมีคนที่เป็นมุอ์มิน” 
 

(อัต-ตะฆอบุน :2) 
 

         ทั้งนี้ หุก่มชี้ขาดต่อบุคคลสองกลุ่มนี้ต้องเป็นหุก่มที่ถูกประทานโดยพระองค์อัลลอฮฺในคัมภีร์ของอัลลอฮฺและในหะดีษนบีของพระองค์เท่านั้น
 

 

ส่วนคนมุนาฟิกนั้น พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้
 

         หนึ่ง : คนกาฟิรที่ปกปิดความกุฟรฺและแสร้งแสดงความอีมาน เช่น ผู้แสร้งแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ คัมภีร์ และ เราะสูลของพระองค์ แต่ภายในใจพวกเขากลับต่อต้าน ไม่ศรัทธา ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็น การนิฟากใหญ่
 

 

         สอง : คนมุสลิมที่ปกปิดมะศิยะฮฺและแสร้งแสดงทำเป็นผู้ภักดี เช่น ผู้แสร้งทำเป็นผู้ทำตามสัญญาและปกปิดการฉ้อโกงและบิดพลิ้ว หรือ แสร้งทำจริงใจในคำพูดและปกปิดความหลอกลวงไว้ในใจ นี่คือ การนิฟากเล็ก 
 

 

          อนึ่ง กฎในการคลุกคลีกับคนมุนาฟิกนั้นให้ยึดหุก่มผิวเผินหรือให้มองจากการแสดงออก กล่าวในที่นี้คือให้คลุกคลีกันในฐานะที่เขาเป็นชาวมุสลิมตามสิ่งที่เห็นจากการแสดงออกของพวกเขากฎเดิมของทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อของชาวมุสลิมคือหะรอม และของกาฟิรฺคือหะลาล แต่ก็ไม่ใช่จะคงที่เช่นนี้เสมอไป เพราะบางทีคนกาฟิรฺอาจได้รับการคุ้มครองอันเนื่องจากพันธะสัญญา การสงบศึก หรือการเป็นประชาชนของประเทศอิสลาม ในขณะที่คนมุสลิมเองอาจต้องโทษประหารชีวิตเพราะความผิดบาป เช่น การฆ่าผู้อื่น หรือการซินาหลังจากที่แต่งงานแล้ว เป็นต้น
 

 

ทั้งนี้ บุคคลหนึ่งย่อมไม่ถูกตราว่าเป็นกุฟรฺนอกจากเป็นผู้ที่พระองค์อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ชี้ขาดเท่านั้น เช่น 
 

- เป็นผู้ปฏิเสธพระองค์อัลลอฮฺหรือนบีของพระองค์อัลลอฮฺ 

 

 

- หรือ เยาะเย้ย ดูหมิ่นพระองค์อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
 

“จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่าพวกท่านทำเล่นๆ กับพระองค์อัลลอฮฺ โองการของพระองค์และเราะสูลของพระองค์กระนั้นหรือ?

พวกท่านอย่ามาแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ตกเป็นกาฟิรฺแล้ว หลังจากที่เคยศรัทธามา

หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด”

 (อัต-เตาบะฮฺ :65-66) 
 

 

- หรือ ดื้อดึง ไม่นอบน้อมต่อทั้งสอง

 

- หรือ ปฏิเสธบทบัญญัติอิสลามที่ชัดเจน

 

- หรือ ปั้นเรื่องเท็จโดยกล่าวอ้างไปยังพระองค์  พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า 

"มีเพียงพวกที่ไม่ศรัทธาต่อโองการต่างๆ ของพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้นที่ปั้นเรื่องเท็จขึ้น พวกเหล่านี้แหละคือพวกโกหก” 

(อัล-นะห์ลฺ :105) 

พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
 

“และใครเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้กุความเท็จขึ้นแอบอ้างพระองค์อัลลอฮฺ หรือปฏิเสธสัจธรรมเมื่อมาถึง

ในนรกญะฮันนัมนั้นมีที่พำนักสำหรับบรรดาคนกาฟิรฺไม่ใช่ดอกหรือ ?” 
 

(อัล-อันกะบูต :68) 
 

 

- หรือ ทำอิบาดะฮฺต่อผู้อื่นนอกเหนือพระองค์อัลลอฮฺ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :  

“และผู้ใดวิงวอนขอจากพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺ โดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์แก่เขาในการนี้

แท้จริงบัญชีของเขาอยู่ที่พระเจ้า แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบความสำเร็จ”
 

 (อัล-มุอ์มินูน :117) 
 

         ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอิบาดะฮฺที่ทำเพื่อผู้อื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ หรือ ยึดเอาพระเจ้าจอมปลอมต่างๆ เป็นสื่อกลาง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกุฟรฺ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
 

“และพวกเขาจะเคารพภักดีสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ ที่มิให้คุณให้โทษแก่พวกเขา

และพวกเขาจะกล่าวว่า เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ พระองค์อัลลอฮฺ

จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) พวกท่านจะมาบอกอัลลอฮฺเกี่ยวกับสิ่งในชั้นฟ้าต่างๆ และในแผ่นดินที่พระองค์ไม่ทรงรู้กระนั้นหรือ ?

พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น” 

(ยูนุส :18) 
 

- หรือ ทำอิบาดะฮฺต่อผู้อื่นในสิ่งที่สมควรกระทำต่อพระองค์อัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น เช่น ละเมิดสิทธิในการตราบทกฎหมายและออกหุก่ม โดยทำเรื่องหะรอมให้เป็นเรื่องหะลาล เพราะการตราบทกฎหมายและออกหุก่มเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺเรียกว่าอิบาดะฮฺ ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า :


“การบัญญัติกฎเป็นสิทธิสงวนไว้สำหรับพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น พระองค์ทรงใช้มิให้พวกท่านเคารพอิบาดะฮฺสิ่งใด

นอกจากต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือศาสนาที่เที่ยงธรรมแต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่รู้” 
 

(ยูซุฟ :40) 

- หรือ ยอมรับว่ามีผู้อื่นนอกเหนือพระองค์อัลลอฮฺล่วงรู้สิ่งเร้นลับ เช่น ทำไสยศาสตร์ หรือ ดูหมอ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :


 “จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าต่างๆ และแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากพระองค์อัลลอฮฺ

และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพ”

 (อัน-นัมลฺ :65) 

- หรือ อ้างความสามารถในการสร้างและบริหารจักรวาล ชีวิต และความตาย พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า


“หรือพวกเขานั้นได้ยึดเอาเหล่าภาคีที่สามารถบันดาลสร้างเหมือนกับการสร้างของพระองค์ จนพวกเขาสับสนแยกแยะงานสร้างไม่ถูกกระนั้นหรือ?

จงกล่าวเถิด พระองค์อัลลอฮฺคือผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และพระองค์คือผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต”

 (อัร-เราะอฺด์ :16)

- เช่นเดียวกับการยึดถือคนกาฟิรฺเป็นขวัญใจเฉกเช่นชาวมุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปการมอบความรักหรือการให้ความช่วยเหลือ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

“และผู้ใดในหมู่สูเจ้ายึดติดผูกพันกับพวกเขา แน่นอนผู้นั้นก็เป็นผู้หนึ่งของพวกเขา”  
 

(อัล-มาอิดะฮฺ :51) 

         และผู้ใดสามารถจะเข้าถึงความรู้อิสลามได้แต่เขากลับละเว้นและหันหลังด้วยความสมัครใจ คนเช่นนี้คือคนกาฟิรฺ แม้ว่าจะกระทำโดยไม่รู้ก็ตาม เพราะเขาจัดเป็นคนไม่รู้ประเภทที่สามารถเรียนได้แต่ไม่ยอมเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ พระองค์อัลลอฮฺ จึงได้ตรัสว่า

 “แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักไม่รู้ความจริง เลยจึงหันหลังเมินห่าง” 
 

(อัล-อันบิยาอ์ :24) 

        ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ ได้ระบุว่าพวกคนเหล่านี้เป็นคนโง่ด้วยความยินยอม พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :

“แต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้หันหลังให้กับคำตักเตือน” 
 

(อัล-อะหฺกอฟ :3)

 

          ทั้งนี้ ความไม่รู้ในรายละเอียดของอิสลามเพราะการหันหลังให้กับความจริงยามเมื่อได้ฟังนั้น ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างต่อหน้าอัลลอฮฺได้ ส่วนมากผู้คนมักตกอยู่ในความหลงผิดเพราะกรณีเช่นนี้แหละ เพราะได้ฟังความจริงแบบขาดวรรคขาดตอนแล้วก็หันหลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในรายละเอียดดังนั้น การไม่รู้จักไตร่ตรองในหลักฐานทางธรรมชาติที่อัลลอฮฺทรงสร้างและทางศาสนาที่ทรงบัญญัติจึงเป็นคุณลักษณะของคนกาฟิรฺส่วนใหญ่ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า : 

“และมีสัญญาณในชั้นฟ้าและแผ่นดินมากไหนแล้วที่พวกเขาเจอพบ แต่พวกเขากลับหันหลังไม่แยแส”
 

(ยูซุฟ :105)  

และพระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า :

“แต่ทว่าเราได้นำบทเตือนตนของพวกเขา(คืออัลกุรอาน)มาให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาเป็นผู้หันหลังให้กับบทเตือนตนของพวกเขา” 

(อัล-มุอ์มินูน :7) 

         การไม่ปฏิบัติเพราะมีความรู้ไม่เพียงพอนั้น ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างให้หลุดพ้นจากความบกพร่องไม่ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ในระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ แล้วนับประสบอะไรกับความบกพร่องในสิทธิและหน้าที่ที่ผูกพันกับพระองค์อัลลอฮฺ   ฉะนั้น สติปัญญา จึงไม่มีความหมายหากไม่วิเคราะห์และไตร่ตรองสัญญาณความยิ่งใหญ่ของพระองค์อัลลอฮฺ มันจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยแม้ว่าจะมีสิ่งแปลกประหลาดทุกๆ วันปรากฏให้เห็น

พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :

“และเราได้สร้างชั้นฟ้าให้เป็นหลังคาที่แข็งแกร่ง และพวกเขาก็ยังไม่แยแสกับสัญญาณความอลังการต่าง ๆ ของมัน” 

(อัล-อันบิยาอ์ :32) 

        มนุษย์จึงเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาสามารถลอยนวลจากความผิดบาปในการไม่ปฏิบัติตามศาสนาอย่างละเอียดและหันหลังให้กับอิสลาม

 

          สรุปแล้ว สาเหตุแห่งการเพิกเฉยต่อศาสนานั้นเป็นเพราะความหยิ่งยโส หรือ หลงระเริง หรือ ใฝ่ต่ำตามอารมณ์ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อความทุกข์ยากเกิดขึ้น มันจะกวาดความหยิ่งยโสและความสุขสบายออกไป เขาก็จะมองเห็นความจริงและหวนกลับอยู่ในหนทางที่ถูกต้องอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

ที่มา  : ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับหลักความเชื่อของมุสลิม
 

แปลโดย : ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์