ศาสนาของอัลลอฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  7179

 

ศาสนาของอัลลอฮฺ

 

อับดุลอะซีซ บิน มัรซูก อัฏ-เฏาะรีฟีย์ 

 

          อิสลาม คือ ศาสนาของอัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ พระองค์จะไม่ทรงรับศาสนาอื่นจากบ่าวของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือญิน พระองค์ตรัสว่า 
 

﴿ وَمَن يَبۡتَغِ غَيۡرَ ٱلۡإِسۡلَٰمِ دِينٗا فَلَن يُقۡبَلَ مِنۡهُ﴾ [آل عمران: ٨٥]  
 

 “และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด” 
 

(อาล อิมรอน 85)

 
﴿ إِنَّ ٱلدِّينَ عِندَ ٱللَّهِ ٱلۡإِسۡلَٰمُۗ ﴾ [آل عمران: ١٩]       “แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคืออิสลาม” 
 

(อาล อิมรอน 19)
 

และอิสลามก็คือศาสนาของเหล่าศาสนทูตทั้งหมด อัลลอฮฺได้ตรัสความว่า    

          “และเรามิได้ส่งศาสนทูตคนใดก่อนหน้าเจ้า นอกจากเราได้มีบัญชาแก่เขาว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า” 

(อัล-อันบิยาอ์ 25)    

          “แท้จริง เราได้มีโองการแก่เจ้า เช่นเดียวกับที่เราได้มีโองการแก่นูหฺและบรรดานบีหลังจากเขา และเราได้มีโองการแก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสหาก ยะอฺกูบ เหล่าลูกหลานของยะอฺกูบ อีซา อัยยูบ ยูนุส ฮารูน และสุลัยมาน และเราได้ประทานคัมภีร์ซะบูรฺให้แก่ดาวูด 

# และมีบรรดาศาสนทูตซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว และมีบรรดาศาสนทูตซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขา และอัลลอฮฺได้ตรัสแก่มูซาจริงๆ 

# พวกเขาเหล่านั้นคือบรรดาศาสนทูตที่มาในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและในฐานะผู้ตักเตือน เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใดๆ อ้างแก้ตัวแก่อัลลอฮฺได้ ในเมื่อมีบรรดาศาสนทูตเหล่านั้นแล้ว และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ”

 (อัน-นิสาอ์ 163-165) 

          หลังจากที่พระองค์ทรงกล่าวถึงนบีนูหฺ, อิบรอฮีม, อิสหาก, ยะอฺกูบ, ดาวูด, สุลัยมาน, อัยยูบ, ยูซุฟ, มูซา, ฮารูน, ซะการียา, ยะห์ยา, อีซา, อิลยาส, อิสมาอีล, อิลยะสะอฺ, ยูนุส และ ลูฏ จากนั้นพระองค์ก็ตรัสความว่า   

           “ชนเหล่านี้ คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงให้ทางนำแก่พวกเขา ดังนั้น ด้วยแนวทางของพวกเขานี่แหละเจ้าจงเจริญรอยตามเถิด จงกล่าวเถิด(มุหัมมัด)ว่า ฉันจะไม่ขอต่อพวกท่านซึ่งค่าจ้างใดๆ ในการใช้ให้ศรัทธาต่ออัลกุรอาน มันมิใช่อะไรอื่นนอกจากคำตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งหลายเท่านั้น”

 (อัล-อันอาม 90)

          ศาสนาของบรรดานบีนั้นจะเหมือนตรงกันหมดในประเด็นที่เป็นหลักการพื้นฐาน อาจจะมีต่างกันบ้างในเรื่องปลีกย่อยบางส่วนแต่ก็ไม่ทั้งหมด ส่วนปลีกย่อยอาจจะมีเปลี่ยนแปลงแต่ส่วนหลักการนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง แท้จริงอัลลอฮฺได้ส่งนบีมูซาและอีซามายังกลุ่มชนอิสรออีล ในคัมภีร์อินญีล(ไบเบิล)ที่ถูกประทานแก่นบีอีซาก็จะมีส่วนที่ยกเลิกบทบัญญัติบางส่วนในคัมภีร์เตารอต(โตราห์)ซึ่งถูกประทานให้แก่นบีมูซาด้วย ท่านนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม ได้กล่าวแก่หมู่ชนของท่านว่า   

         “และฉันจะเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของฉัน อันได้แก่คัมภีร์เตารอต และเพื่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกท่านซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกท่าน และฉันได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของท่านมายังพวกท่านแล้ว ดังนั้นจึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิดและจงเชื่อฟังฉัน” 

(อาล อิมรอน 50)

          มูซาและอีซานั้น ทั้งสองคนเป็นนบีที่ถูกส่งมายังประชาชาติเดียวกัน กระนั้นเรื่องปลีกย่อยของแต่ละสมัยก็ยังมีที่ต่างกันบ้าง นับประสาอะไรกับนบีอื่นๆ ที่ถูกส่งมายังประชาชาติที่ต่างกันไปเลยทีเดียว !

          หลังจากนั้นไม่นาน ไม่มีบทบัญญัติไหนๆ ที่ถูกประทานให้เว้นแต่ว่ามีการบิดเบือนเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น อัลลอฮฺได้ตรัสความว่า 

           “และแท้จริง จากหมู่พวกเขานั้น มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขาในการอ่านคัมภีร์ เพื่อพวกเจ้าจะได้หลงกลคิดว่ามันมาจากคัมภีร์ ทั้งที่มันมิได้มาจากคัมภีร์ และพวกเขากล่าวแอบอ้างว่ามันมาจากที่อัลลอฮฺ ทั้งที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮฺ และพวกเขากล่าวอ้างเท็จแก่อัลลอฮฺ ทั้งที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่”

 (อาล อิมรอน 78) 

﴿يُحَرِّفُونَ ٱلۡكَلِمَ عَن مَّوَاضِعِهِۦ﴾ [النساء: ٤٦]        “พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำจากที่ต่างๆ ของมัน” 

(อัน-นิสาอ์ 46)


          การณ์ดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดอุปสรรคสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าถึงสัจธรรมความถูกต้องตามความหมายที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ วิธีการแก้ไขอุปสรรคดังกล่าวนี้ก็คือ การแต่งตั้งนบีคนใหม่ พระองค์อัลลอฮฺจึงทรงให้ศาสนาอันถูกต้องของพระองค์ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยการแต่งตั้งท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนั้น จึงไม่มีอิสลามใดๆ ที่บริสุทธิ์ และศาสนาใดๆ ที่ถูกต้อง นอกจากศาสนาที่ถูกนำมาโดยมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เท่านั้น

 “และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด

และในวันอาคิเราะฮฺเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” 

(อาล อิมรอน 85)

          พระองค์ได้กำหนดให้สารแห่งอิสลามครอบคลุมสำหรับประชาชาติทั้งหมด ไม่ว่ามนุษย์หรือญิน ไม่ว่าอาหรับหรืออะญัม(คนที่ไม่ใช่อาหรับ)   

 “และเราไม่ได้ส่งเจ้ามา เว้นแต่เพื่อปวงมนุษย์ทั้งมวล ให้เป็นผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนแก่พวกเขา” 

(สะบะอ์ 28)

ในเศาะฮีหฺมุสลิมมีหะดีษที่รายงานว่า 

«وَالَّذِى نَفْسُ مُحَمَّدٍ بِيَدِهِ، لاَ يَسْمَعُ بِى أَحَدٌ مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ، يَهُودِىٌّ وَلاَ نَصْرَانِىٌّ، ثُمَّ يَمُوتُ وَلَمْ يُؤْمِنْ بِالَّذِى أُرْسِلْتُ بِهِ؛ إِلاَّ كَانَ مِنْ أَصْحَابِ النَّارِ» [مسلم برقم 153]

         “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ผู้ซึ่งชีวิตของมุหัมมัดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ไม่มีใครที่ได้ฟังเกี่ยวกับฉันในหมู่ประชาชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคริสต์ แล้วพวกเขาก็เสียชีวิตโดยที่ไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่ฉัน นอกเสียจากว่าเขาต้องกลายเป็นชาวนรก” 

(มุสลิม หมายเลข 153) 

และแท้จริง พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงพิทักษ์รักษาอัลกุรอานจากการถูกบิดเบือนแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง พระองค์ตรัสว่า

 

 ﴿ إِنَّا نَحۡنُ نَزَّلۡنَا ٱلذِّكۡرَ وَإِنَّا لَهُۥ لَحَٰفِظُونَ ٩ ﴾ [الحجر: ٩]   

“แท้จริง เราได้ประทานอัลกุรอานลงมา และแท้จริง เราจะเป็นผู้พิทักษ์รักษามัน” 

(อัล-หิจญ์รฺ 9)



 

แปลโดย : ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์ / Islamhouse