คุณลักษณะต่างๆ ของบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอยู่ในอัลกุรอาน
  จำนวนคนเข้าชม  7396


คุณลักษณะต่างๆ ของบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอยู่ในอัลกุรอาน

โดย อาจารย์เฟาว๊าซ ปานเหล็ง

 

          โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงมีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺให้มากๆ และพวกท่านจงมีความหวังใน สิ่งที่อัลลอฮฺ  ทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอาน ถึงบรรดาคุณลักษณะต่างๆ ของบรรดาผู้ศรัทธา เพื่อที่ พวกท่านจะได้ยึดเอามาเป็นแบบอย่าง อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

1. แน่นอน บรรดาผู้ศรัทธาได้ประสบความสำเร็จแล้ว

2. บรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนในเวลาละหมาดของพวกเขา

3. และบรรดาผู้ ที่พวกเขาเป็นผู้ผินหลังให้ จากเรื่องไร้สาระต่างๆ

4. และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้บริจาคซะกาต

5. และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษา (ไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของ) ทวารของพวกเขา

       6. เว้นแต่กับบรรดาภรรยาของพวกเขา หรือที่มือขวาของพวกเขาครอบครอง (คือทาสี) ในกรณีเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ถูกตำหนิ

7. ฉะนั้น ผู้ใดแสวงหาอื่นจากนั้น ชนเหล่านั้น พวกเขาก็เป็นผู้ละเมิด

       8. และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้เอาใจใส่ต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายของพวกเขา และสัญญาของ พวกเขา

9. และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษาการละหมาดของพวกเขา

10. ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาเป็นทายาท

       11. ซึ่งพวกเขา จะได้รับสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์เป็นมรดก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล

 

จากอายาต ดังกล่าวนั้น อัลลอฮฺ  ได้ทรงกล่าวไว้ในตอนต้นของซูเราะฮฺ อัลมุอฺมินูน ไว้ว่า

บรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้ที่นอบน้อม

แน่นอน บรรดาผู้ศรัทธาได้ประสบความสำเร็จแล้ว

 

         ท่านนบี  ได้อธิบายถึงความสำคัญในสิ่งที่ได้กล่าวมาในอายาตเหล่านี้ไว้ในฮะดิษ ซึ่งรายงานโดยอิมาม อะฮฺมัด จากสายรายงานของท่าน ท่านนบี  ได้กล่าวว่า :

          “แน่นอน ได้ถูกประทานลงมายังฉัน 10 อายาต ซึ่งผู้ใดที่ปฏิบัติตามบรรดาอายาตเหล่านี้ เขาจะได้เข้าสวรรค์

หลังจากนั้น ท่านก็อ่านอายะฮฺที่ 1 จนกระทั่งถึงอายะฮฺที่ 10

 

          มีรายงานจากท่านอิมาม อันนะซาอีย์ จากสายรายงานของท่านว่า จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา) เมื่อนางถูกถามถึงมารยาท (คุณลักษณะ) ของท่านร่อซูล  

นางได้ตอบว่าคุณลักษณะของท่านก็คือ อัล-กุรอาน” 

     แล้วนางก็ได้อ่านอายะฮฺที่ 1 จนไปสิ้นสุดที่อายะฮฺที่ 9 และนางก็ได้กล่าวว่านี่แหละ คือ คุณลักษณะของท่านร่อซูล  

     ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา) หมายความว่า ท่านร่อซูล นั้น ท่านจะปฏิบัติตามบรรดาอายาตนี้ และจะดำรงตนด้วยกับคุณลักษณะต่างๆ ที่เป็นคุณลักษณะที่ดีงาม

          แน่นอน อัลลอฮฺ  ได้แจ้งว่า แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งพวกเขามีคุณลักษณะตามบรรดา อายาตข้างต้นนี้ พวกเขาคือผู้ที่จะได้รับความผาสุก และเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ และนี่เป็นการบ่งบอกว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยึดปฏิบัติหรือไม่มีคุณลักษณะเช่นนี้ เขาคือ ผู้ที่ขาดทุน เช่นเดียวกับที่อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

1. โดยแน่นอน เราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง

2. แล้วเราได้ให้เขากลับสู่สภาพที่ตกต่ำยิ่ง

3. นอกจากบรรดาผู้ศรัทธา และประกอบสิ่งดีงามทั้งหลาย โดยที่สำหรับพวกเขาจะได้รับรางวัลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

อัลลอฮฺ  ได้ตรัสว่า

1. ขอสาบานด้วยเวลาอัศรฺ

2. แท้จริง มนุษย์นั้น อยู่ในการขาดทุน

       3. นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย และตักเตือนกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน

 

ดังนั้น อัลลอฮฺ  ได้ทรงบอกไว้ในบรรดาอายาตข้างต้นว่า

          “แท้จริง มนุษย์ทุกคนอยู่ในการขาดทุน เว้นแต่ผู้ที่มีคุณลักษณะที่มีอีมาน ปฏิบัติการงานที่ดี เชิญชวนไปสู่สิ่งที่ดี และห้ามปรามกันจากความชั่ว และอดทนต่อสิ่งที่เขาได้ประสบจากการทำร้าย อันตรายที่ได้รับจากมนุษย์

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

และเพื่อพระเจ้าของเจ้าเท่านั้น เจ้าจงอดทน

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

บรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนในเวลาละหมาดของพวกเขา

และในตอนสุดท้ายของบรรดาอายาตนี้ อัลลอฮฺ  ได้ตรัสว่า

และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษาการละหมาดของพวกเขา

 

          ในอายะฮฺนี้ ได้บ่งบอกถึงความสำคัญของการละหมาด และสถานะของการละหมาดในศาสนา และการละหมาดคือ สิ่งที่ปรากฏชัดถึงลักษณะของมุอฺมิน เพราะการละหมาดเป็นเสาหลักของอิสลาม และเป็นการยับยั้งจากความชั่วร้าย และความผิดบาปต่างๆ และทำให้ง่ายดายต่อการเชื่อฟัง

เช่นเดียวกัน อัลลอฮฺ  ได้ตรัสว่า

          “และพวกเจ้าจงอาศัยความอดทน และการละหมาดเถิด และแท้จริงการละหมาดนั้น เป็นสิ่งใหญ่โต นอกจากบรรดาผู้ที่นอบน้อม ถ่อมตนเท่านั้น

(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:45)

          ในเรื่องของการรักษาการละหมาดนั้น ถือว่าเป็นสิ่งแรกๆ เลยที่จะต้องรักษาจากบรรดาวาญิบอื่นๆ ในเรื่องศาสนา และการละหมาดนั้น คือ สิ่งแรกที่บ่าวจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺจากการงานของเขา

          คำว่า อัลคุชู๊อฺ ในการละหมาด คือ หัวใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัว และให้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ให้รู้สึกต่ำต้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ อวัยวะทุกส่วนจะต้องสงบนิ่งจากการเคลื่อนไหวที่ทำให้การละหมาดบกพร่อง 

         ความคุชู๊อฺ (ความนอบน้อม) ในละหมาดนั้น คือ จิตวิญญาณของการละหมาด และจุดประสงค์ คือบ่าวคนหนึ่งจะไม่ถูกบันทึกจากการละหมาดของเขา นอกจากเขาจะมีสติในการละหมาด และ การที่หัวใจหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การละหมาด คือ การหันเหออกจากอัลลอฮฺไปสู่สิ่งอื่น และ การเคลื่อนไหวของอวัยวะ การกระทำที่ไร้สาระ ถือว่าเป็นมารยาทที่แย่ที่สุดที่มีต่ออัลลอฮฺ  

          การมองของผู้ละหมาด ที่หันไปมองซ้ายที ขวาที ถือว่าเป็นการเบือนหน้าของเขาออกจาก อัลลอฮฺ  มันคือการหลอกล่อที่ชัยฏอนจะทำการหลอกล่อในการละหมาดของบ่าว และนี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่า เป็นการหันเหของหัวใจไปสู่สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ และการมองของเขา ที่มองไปยังที่ไม่ใช่ที่สุญูด ถึงแม้ว่าจะอยู่เบื้องหน้าเขา ทำให้เขาหมกมุ่นในสิ่งอื่นและความคุชู๊อฺ ก็หายไป

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้หันหลังจากเรื่องไร้สาระต่างๆ

 

อัลลัฆว์ คือ (บาฏิล) สิ่งไร้สาระ

          คำว่า บาฏิล รวมไปถึงการทำชิริก (การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ) และรวมไปถึงการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนต่างๆ แล้วยังรวมไปถึงสิ่งที่ไม่มีประโยชน์จากคำพูดและการกระทำ 

         ดังนั้น พวกเขาจะผินหลังให้กับสิ่งไร้สาระต่างๆ จะฝักใฝ่อยู่กับความจริง ความถูกต้อง และพวกเขาจะไม่ฟังสิ่งไร้สาระ ไม่ว่าจะเป็นการนินทา การใส่ร้าย เสียงเพลง และเสียงดนตรี และพวกเขาจะต้องไม่มองไปยังสิ่งไร้สาระที่มีอยู่ในโทรทัศน์ เช่น สื่อลามก อนาจาร และพวกเขาจะไม่ร่วมในการชุมนุมสิ่งที่ไร้สาระ และสถานที่ประกอบสิ่งที่ฮะรอม และพวกเขาจะไม่เชื่อการเชิญชวนไปสู่สิ่งไร้สาระ ถึงแม้ว่าจะมีการโฆษณาชวนเชื่อ และนำเสนอในสิ่งที่ไร้สาระที่มีอยู่ในโทรทัศน์ วิดีโอ คลื่นกระจายเสียง (วิทยุ) หนังสือพิมพ์และวารสารต่างๆ

 

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้บริจาคซะกาต

 

         ซะกาต คือ การทำให้สะอาด การเจริญงอกงาม ดังนั้น พวกเขาจะต้องขจัดขัดเกลาจิตใจของพวกเขา ด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นการภักดี และละทิ้ง สิ่งที่ต้องห้าม

         และพวกเขาจะต้องทำให้ทรัพย์สินของพวกเขาบริสุทธิ์ด้วยการออกหรือจ่ายในสิ่งที่เป็นสิทธิ และสิ่งที่จำเป็นของศาสนา และพวกเขาจะต้องขจัดหรืออกห่างจากการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่ดี

 

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

          “และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษา (ไว้ซึ่งความบริสุทธ์ของ) ทวารของพวกเขา เว้นแต่แก่บรรดาภรรยาของพวกเขา หรือที่มือขวาของพวกเขาครอบครอง (ทาสี) ในกรณีเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ถูกตำหนิ ฉะนั้น ผู้ใดละเมิดแสวงหาอื่นจากนั้น ชนเหล่านั้น พวกเขาเป็นผู้ละเมิด

 

          จากสามอายะฮฺข้างต้น ได้กล่าวไว้ว่า พวกเขาจะต้องรักษาอวัยวะของพวกเขา ให้ออกห่างจากการหาความสุข จากสิ่งที่ฮะรอม คือ การที่พวกเขาจะต้องไม่ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามจากทำซินา และการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก พวกเขาจะต้องจำกัดไว้แค่ในสิ่งที่อัลลอฮฺ  ทรงอนุมัติ จากการหาความสุขสำราญจากบรรดาภรรยาของพวกเขา และผู้ที่ในกรรมสิทธิ์ของพวกเขา (ทาสี)

          และพวกเขาจะออกห่างจากทุกๆ สาเหตุ ที่ก่อให้เกิดอาชญากรรมทางรูปลักษณ์ภายนอก (คือ จากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น) ดังนั้น ต้องลดสายตาจากการมองที่ฮะรอม จะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดปกปิดเอาว์เราะฮฺ ผู้หญิงจะต้องไม่เข้าไปปนอยู่กับผู้ชาย หรืออยู่ตามลำพังกับผู้ชาย หรือเดินทางไปกับผู้ที่ไม่ใช่มะฮฺรอม และจะต้องออกห่างจากการดูหนังโป๊ และฉากที่กระตุ้นอารมณ์

 

          หลังจากนั้น อัลลอฮฺ  ได้ทรงชี้แจงไว้ว่า แท้จริงผู้ใดที่เขาไม่รู้สึกพอในสิ่งที่อัลลอฮฺ  ทรงอนุมัติให้แก่เขาจากการหาความสุขจากภรรยา และทาสีของเขา แต่ทว่าเขากลับหาความสุขด้วยกับสิ่งที่ฮะรอม หรือเป็นการกระจายความชั่วร้ายและการเกิดอาชญากรรม เขาคือผู้ละเมิด ซึ่งสมควรที่จะได้รับการลงโทษจากอัลลอฮฺ

 

          บรรดาอุละมาอฺ (นักปราชญ์) ได้นำมาเป็นหลักฐานด้วยกับอายาตข้างต้น ถึงการห้ามการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง โดยไม่ใช่ภรรยาและทาสี ผู้ที่ใต้ปกครอง เขาก็จะเข้าข่ายอยู่ในดำรัสของอัลลอฮฺ  ที่ว่า 

ฉะนั้น ผู้ใดแสวงหาอื่นจากนั้น ชนเหล่านั้นแหละ พวกเขาก็เป็นผู้ละเมิด

         การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งทางการแพทย์ได้อธิบายไว้แล้ว และที่อันตรายยิ่งกว่านั้นคือมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ทำให้เกิดจิตหลอน สติปัญญาและประสาทได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

 

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า 

และบรรดาผู้ที่พวกเขา เป็นผู้เอาใจใส่ต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายของพวกเขา และสัญญาของพวกเขา

 

          คำว่าอะมานะฮฺคือ ทุกๆ สิ่งที่มนุษย์จะต้องให้การรักษาไม่ว่าสิ่งที่จำเป็นทางด้านศาสนา สิทธิทางด้านทรัพย์สิน การงานที่เป็นความลับ การได้รับอำนาจให้ปกครอง การฝากของ และการดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และอื่นๆ นอกจากนี้ ดังนั้น จำเป็นสำหรับผู้ที่มอบหมายต้องให้แก่ผู้ที่เหมาะสมที่จะดำรงหน้าที่นี้

          และจำเป็นสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ตัดสินจะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบัญญัติไว้ให้แก่มนุษย์ และการดำรงรักษาปฏิบัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และจำเป็นสำหรับผู้ที่เขาได้รับของฝากจากพี่น้องของเขา หรือรู้ถึงความลับ จะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และดำรงรักษาไว้แก่ผู้ที่เขาไว้วางใจ เช่นเดียวกับที่อัลลอฮฺ  ทรงสั่งใช้ในเรื่องการรักษาอะมานะฮฺ โดยตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 58

 

แท้จริง อัลลอฮฺทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝาก แก่เจ้าของของมัน

(อันนิซาอฺ 4:58)

และท่านนบี ได้กล่าวว่า

ท่านจงมอบคืน อะมานะฮฺ ให้แก่ผู้ที่ไว้วางใจท่าน และท่านอย่าทรยศผู้ที่ทรยศท่าน

(บันทึกโดย อิมาม อบูดาวูด และอัตติรมิซีย์)

การดูแล อะมานะฮฺ คือ การรักษาของฝาก และปฏิบัติตามที่เจ้าของได้สัญญาไว้อย่างครบถ้วน อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

และพวกเจ้าจงปฏิบัติให้ครบตามพันธสัญญาของอัลลอฮฺ เมื่อพวกเจ้าได้ให้สัญญา

 

          อัลอะฮ์ดุ คือ สัญญาระหว่างบ่าวกับพระเจ้า ระหว่างเขากับหัวหน้า ระหว่างเขากับผู้คน จำเป็นจะต้องรักษาสัญญาที่เขาได้ให้ไว้ และห้ามคดโกง

และอัลลอฮฺ  ได้กล่าวว่า

และบรรดาที่พวกเขาเป็นผู้รักษาการละหมาดของพวกเขา

          อัลลอฮฺ  ได้จบอายะฮฺสุดท้าย เหมือนกับตอนที่เริ่มต้นอายะฮฺในเรื่องการละหมาด และสิ่งที่ บ่งบอกถึงความสำคัญของการละหมาด และความหมายของการรักษาการละหมาด คือ 

1. การปฏิบัติละหมาดเป็นรูปแบบที่อัลลอฮฺ  สั่งใช้ให้ละหมาด

2. การปฏิบัติละหมาดต้องมีความสะอาดสมบูรณ์

3. เงื่อนไขของการละหมาดนั้น ต้องครบสมบูรณ์

4. รุก่นและสิ่งที่วาญิบในการละหมาด

5. เวลาของการละหมาดที่อยู่ในขอบเขต

       6. สถานที่ ที่อัลลอฮฺ  ทรงสั่งใช้ให้ปฏิบัติการละหมาดได้นั้น คือ มัสยิดพร้อมกันเป็นญะมาอะฮฺ ดังนั้น ใครที่ละเมิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากบทบัญญัติโดยไม่มีอุปสรรคทางด้านศาสนา ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่รักษาการละหมาด ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นผู้ดื้อดึงในการละหมาด

 

อัลลอฮฺ  ตรัสว่า

          “ภายหลังจากพวกเขา (ภายหลังจากผู้ศรัทธายำเกรง) ชนรุ่นต่อมาที่ได้สืบต่อจากพวกเขา ก็ได้ทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ

(มัรยัม 19:59)

ท่านอิบนุ อับบ๊าส กล่าวว่าฆอยยัน คือ ทุ่งแห่งหนึ่งในนรก

 

และอัลลอฮฺ  ได้ตรัสอีกว่า

     “ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาเป็นทายาท ซึ่งพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์เป็นมรดก พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล

          และพระองค์ได้ทรงอธิบายอีกว่า ที่พำนักของพวกเขา คือ สวรรค์ชั้นฟิรเดาส์ ซึ่งเขาจะอยู่ในนั้นตลอดไป และพวกเขาจะไม่กลัวว่าจะถูกให้ออกจากสวรรค์ชั้นฟิรเดาส์

 

      สวรรค์ คือ ดินแดนอันบรมสุข ที่อัลลอฮฺ ได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิงในโลกอาคิเราะฮฺ

 

 

 

ที่มาอนุสรณ์งานประจำปีโรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร ปี 2560”