ภาคผลของการยืนละหมาดนานๆ
  จำนวนคนเข้าชม  3212


ภาคผลของการยืนละหมาดนานๆ

 

โดย อาจารย์ฏอฮา อับดุลเลาะห์

 

     จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยืนทำการละหมาดในเวลากลางคืน จนกระทั่งเท้าทั้งสองของท่านแตก ฉัน (อาอิชะฮฺ) จึงได้กล่าวแก่ท่านว่า ทำไมท่านต้องทำถึงขนาดนี้ โอ้! ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และ

     แท้จริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงอภัยในความผิดของท่านที่ผ่านมา และความผิดที่ยังไม่ได้เกิดมิใช่หรือ

     ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่าเราไม่ชอบที่จะเป็นบ่าวที่ขอบคุณต่ออัลลอฮฺมากๆ กระนั้นหรือ?”

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม)

 

          ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้ระบุถึงฮะดิษที่ได้ถ่ายทอดมาจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ในบทที่ว่าด้วยเรื่องความพากเพียรพยายาม ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในส่วนของความพากเพียรพยายามนั่นก็คือ มนุษย์จะต้องพากเพียรด้วยตัวเอง และผลักดันตัวเอง โดยเฉพาะการทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ และอดทนต่อการกระทำนั้น 

 

     ท่านอิมาม-อันนะวาวีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้ระบุถึงฮะดิษที่รายงานมาจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ว่าท่านนบีมุฮัมมัด ได้ทำการยืนละหมาดในเวลากลางคืน จนกระทั่งเท้าทั้งสองของท่านแตก ฉัน (หมายถึงท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา) ได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า 

     โอ้! ท่านร่อซูลของอัลลอฮฺ ทำไมท่านต้องกระทำถึงขนาดนี้ แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงอภัยในความผิดของท่านที่ได้กระทำมาแล้ว และยังมิได้กระทำมามิใช่หรือ

     ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงได้กล่าวแก่เธอว่าเราไม่ชอบที่จะเป็นบ่าวที่รู้จักขอบคุณต่ออัลลอฮฺมากๆ กระนั้นหรือ

    ซึ่งท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮา เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิด รู้ถึงสภาพและการกระทำการเคลื่อนไหวของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในขณะที่อยู่ภายในบ้านของท่านและภรรยาคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน รู้ดียิ่งกว่าบุคคลอื่นในสิ่งที่ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ปฏิบัติภารกิจขณะที่ท่านอยู่ภายในบ้าน

 

          ด้วยเหตุนี้ บรรดาซอฮาบะฮฺที่อาวุโส จึงได้ส่งตัวแทนไปสอบถามบรรดาภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงสิ่งที่ท่านนบีได้กระทำภายในบ้านของท่าน ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม ได้ยืนทำการละหมาดในเวลากลางคืน คือ ละหมาดตะฮัจญุด และแท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลา ได้ทรงกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อัลมุซซัมมิลว่า

 

     “พระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่ง ว่าเจ้ายืนละหมาดช่วงเกือบจะสองในสามของคืน (คือช่วงก่อนเวลา 2 นาฬิกา) และบางครั้งช่วงครึ่งของกลางคืน (คือช่วง 24 นาฬิกา) และบางครั้งช่วงหนึ่งในสามของกลางคืน (คือช่วง 22 นาฬิกา) และคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้ศรัทธา (ได้ปฎิบัติตามแบบอย่างนี้) ร่วมกับเจ้า

 

         ดังนั้น บางครั้งท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะทำการละหมาดตะฮัจญุดในช่วงเวลากลางคืน คือ ผ่านไปในส่วนใหญ่แล้ว หมายความว่าท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะทำการละหมาดในช่วงก่อนเวลา 2 นาฬิกา บางครั้งท่านร่อซูลจะทำละหมาดในช่วง 24 นาฬิกา และบางครั้งท่านจะทำละหมาดในช่วงเวลา 22 นาฬิกา เพราะท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ต้องการจะให้สิทธิแก่ ตัวท่านได้มีการพักผ่อน ในขณะเดียวกัน ท่านก็ดำรงไว้ซึ่งการทำอิบาดะฮฺ ต่อพระจ้าของท่านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดบกพร่องแม้แต่น้อย 

          การที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำการละหมาดในแต่ละช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ก็เป็นไปตามสภาพความคล่องแคล่วตัวของท่าน ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยืนทำการละหมาดยาวนาน จนกระทั่งเท้าทั้งสองข้างของท่านบวมเป่ง และก็แตกจนเลือดไหลออกมา

 

     ได้มีบรรดาคนหนุ่มสาวจากเหล่าซอฮาบะฮฺ ร่วมละหมาดตะฮัจญุดกับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่ท่านเหล่านั้นเมื่อยล้าจนแทบจะอดทนไม่ไหว ดังมีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า

     “ฉันได้ทำละหมาดร่วมกับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในคืนวันหนึ่ง ท่านร่อซูลได้ยืนละหมาดยาวนานมาก จนกระทั่งฉันคิดจะกระทำสิ่งที่ไม่ดี พวกเรา (บรรดาซอฮาบะฮฺ) ถามว่า ท่านคิดจะทำอะไรหรือ

     (ท่านอับดุลลอฮฺ) กล่าวว่า ฉันคิดว่าฉันจะนั่งลง และก็ปล่อยให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (ยืนอยู่คนเดียว) หมายความว่า ท่านอับดุลลอฮฺต้องการจะนั่ง เพราะไม่สามารถที่จะอดทนยืนนานๆ ได้เหมือนอย่างที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระทำได้ จึงอยากจะเลิกทำละหมาด

 

         ท่านฮุซัยฟะฮฺ อิบนุล ยะมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ทำละหมาดร่วมกับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในคืนหนึ่ง ซึ่งท่านนบีได้อท่านซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ ซูเราะฮฺ อันนิซาอฺและซูเราะฮฺ อาละอิมรอน รวมทั้งหมด 5 ญุซ กับอีกหนึ่งในสี่ของญุซโดยประมาณ และท่านฮุซัยฟะฮฺ กล่าวว่า คราใดที่ท่านอ่านมาถึงอายะฮฺเราะฮฺมะฮฺท่านร่อซูล อ่านมาถึงอายะฮฺ ตัสบี๊ฮฺ ท่านก็จะกล่าวตัสบี๊ฮฺ” (สรรเสริญต่ออัลลอฮฺ) และคราใดที่ท่านร่อซูลอ่านผ่านอายะฮฺวะอี๊ด” (สัญญาลงโทษ) ท่านร่อซูลจะขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ 

          เป็นที่ทราบกันดีว่าเวลาท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านอัลกุรอานนั้น ท่านจะอ่านช้าๆ ชัดถ้อย ชัดคำ ห้าญุซกับอีกหนึ่งในสี่ญุซ พร้อมกับการกล่าววิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ขณะที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านผ่านอายะฮฺที่กล่าวถึงความเมตตา และท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ เมื่อท่านอ่านมาถึงอายะฮฺที่กล่าวถึงสัญญาการลงโทษ และจะมีการกล่าวสรรเสริญต่ออัลลอฮฺขณะที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านอายะฮอัตตัสบี๊ฮฺ” (การสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ) ดังนั้น การยืนละหมาดจะเป็นเช่นไร

          การยืนละหมาดนั้นจะต้องยาวนานมาก ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม จะอ่านในละหมาดกลางคืนเช่นดังกล่าวมาแล้ว เมื่อท่านร่อซูลอ่านยาวเวลารุกัวะอฺ ท่านก็รุกัวะอฺยาวนาน และเวลาท่านร่อซูลสุญุด ท่านก็สุญุดยาวนานเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะอ่านยาว รุกัวะอฺและสุญูดก็จะยาวนานเป็นประจำเสมอ

 

     และท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

ฉันจะไม่ชอบที่จะให้ฉันเป็นบ่าวที่ขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มากๆ กระนั้นหรือ?”

 

          ในคำพูดของท่านร่อซูลนี้ เป็นหลักฐานยืนยันให้เห็นว่าการกตัญญูนั้นคือการดำรงไว้ซึ่งการฏออะฮฺต่ออัลลอฮฺ มนุษย์นั้นเมื่อใดที่เขากระทำการฏออะฮฺต่ออัลลอฮฺเพิ่มมากขึ้น แน่นอนการกตัญญูต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเงาตามตัว 

          การกตัญญูนั้นมิใช่อยู่ที่การพูดแต่ปากว่าฉันขอขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ฉันขอสรรเสริญต่ออัลลอฮฺเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นก็ถือเป็นการกตัญญู แต่เพียงลมปาก แต่ที่พูดนี้หมายถึง การกตัญญูด้วยการกระทำโดยที่มนุษย์จะต้องดำรงไว้ซึ่งการฏออะฮฺ เต็มความสามารถที่มีอยู่ 

          และในฮะดิษนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับการอภัยโทษในความผิดของท่านที่ได้กระทำมาแล้วและที่ยังมิได้กระทำขึ้น แน่นอนอัลลออฺก็ทรง อภัยโทษให้แก่ท่านด้วยเช่นกัน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้จากโลกดุนยานี้ไปในสภาพที่ปราศจากความผิดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะท่านได้รับการอภัยโทษ และความเมตตาจากอัลลอฮฺ นั่นเอง

 

     บางทีอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงเจาะจงที่จะลบล้างความผิดของกลุ่มชนต่างๆ ด้วยความดีงามที่พวกเขากระทำเอาไว้ อย่างเช่น ผู้ที่เข้าร่วมทำสงครามบะดัร ซึ่งจำนวนของผู้ที่เข้าร่วมทำสงครามในครั้งนั้นมีอยู่ประมาณ 310 คน ฮาติบ อิบนิ อะบีย์ บัลติอะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็เป็นคนหนึ่งที่เข้าร่วมทำสงครามบะดัร เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้พูดกับท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอย่างแพร่หลายว่า

 

     อุมัร ท่านไม่ทราบหรอกหรือว่า อัลลอฮฺ ทรงรู้ ทรงเห็น บรรดาผู้ที่เข้าร่วมในสงครามบะดัร ดังพระองค์ทรงกล่าวว่า

 

 “พวกเจ้าทั้งหลาย จงกระทำตามที่พวกเจ้าปรารถนาเถิด แท้จริงข้าได้อภัยโทษ แก่พวกเจ้าแล้ว

 

     นี่เป็นลักษณะพิเศษส่วนหนึ่งของบรรดาผู้เข้าร่วมทำสงครามบะดัร นั่นคือ อัลลอฮฺได้ทรงลบล้างความผิดที่พวกเขาได้กระทำขึ้น ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว ความผิดที่ฮาติบกระทำนั้นมันใหญ่หลวงยิ่ง เรื่องดังกล่าวนั้นก็คือว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประสงค์จะทำสงครามปราบปรามพวกกุร็อยชฺ ในฐานะที่ทำผิดสัญญาที่ได้ทำกันไว้ระหว่างท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กับพวกนั้น ในซุลฮุลฮัยดัย บียะฮฺ (สนธิสัญญา การประนีประนอม ระหว่างท่านร่อซูลกับพวกมุชริก กุร็อยชฺ ตำบลอัลฮุดัยบียะฮฺ

     เรื่องดังกล่าวนั้นคือ ฮาติบได้ส่งจดหมายซึ่งเขียนด้วยลายมือของตัวเอง ส่งไปยังชาวมักกะฮฺ โดยเปิดเผยถึงการเดินทางของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะไปบุกจู่โจมพวกกุร็อยชฺ ท่านนบีได้รับทราบเรื่องดังกล่าวผ่านทางวะฮีย์ ท่านนบีจึงได้ส่งท่านอะลี อิบนิอบีฏอลิบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ พร้อมกับผู้ร่วมเดินทางอีกหลายท่าน ติดตามท่านหญิงคนหนึ่งที่ถือจดหมายไปส่งให้ชาวมักกะฮฺ คณะของผู้ที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ส่งไปติดตามจับกุมหญิงคนดังกล่าว ได้ตามไปทันที คือ ส่วนที่เป็นที่รู้จักกันดี ตั้งอยู่ในเส้นทางผ่านไปมักกะฮฺ 

     เมื่อคณะของท่านอาลีได้ตามมาทัน ท่านก็ได้สั่งให้นางผู้นั้นหยุด และพูดกับนางว่า เธอจงนำเอาจดหมายฉบับที่จะนำไปมอบแก่ชาวมักกะฮฺออกมาเดี๋ยวนี้ 

     นางตอบว่า ไม่มีจดหมายใดๆ เลยที่ฉัน 

     คณะของท่านอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า จำเป็นที่เธอจะต้องเอาจดหมายที่เธอนำติดตัวออกมา จงเอามันออกมาเสียดีๆ มิเช่นนั้นพวกเราจะตรวจค้นตัวเธอ แม้จนกระทั่งภายใต้เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ 

     เมื่อนางรู้ชัดถึงเจตนา และท่าทีที่เป็นจริงเป็นจังของคนเหล่านั้น นางจึงยอมนำเอาจดหมายที่ซ่อนเอาไว้ออกมามอบให้ ในจดหมายฉบับนั้นมีข้อความว่า จากฮาติดถึงชาวมักกะฮฺ คือ บอกให้ชาวมักกะฮฺรู้ถึงเจตนาของท่าน ร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่าจะบุกมักกะฮฺ 

     หลังจากคณะของท่านก็ได้นำเอาจดหมายฉบับนั้นกลับมามอบให้กับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ผู้มีพลังเข้มแข็งยิ่งในการยึดมั่นศาสนาของอัลลอฮฺ รู้ข่าว จึงขออนุญาตท่านนบี ส้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ฆ่าฮาติบ 

     โดยท่านอุมัรพูดว่าแท้จริงเขาเป็นมุนาฟิก เขาเขียนจดหมายแพร่งพรายความลับให้กับศัตรู

     ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่าอุมัร ท่านไม่ทราบหรอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงรู้ ทรงเห็นบรรดาผู้ที่เข้าร่วมในสงครามบะดัร ดังพระองค์ทรงกล่าวว่า พวกเจ้าทั้งหลาย จงกระทำตามที่พวกเจ้าปรารถนาเถิด แท้จริงข้าได้อภัยโทษให้แก่พวกเจ้าแล้ว

     ซึ่งฮาติบก็เป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เข้าร่วมในสงครามบะดัร ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เขาได้กระทำไปนั้น ถือเป็นอาชญากรรมอันยิ่งใหญ่

 

           ฉะนั้น ในฮะดิษนี้ยืนยันชัดเจนถึงความประเสริฐอย่างยิ่งยวดของการละหมาดในเวลากลางคืน และการยืนละหมาดนานๆ อีกด้วย แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงชื่นชมบรรดาบุคคล ที่ยืนละหมาดในเวลากลางคืนเป็นเวลานานๆ โดยพระองค์ทรงกล่าวว่า

 

     “สีข้างของพวกเขาออกห่างจากที่นอน (พวกเขาลุกขึ้นจากที่นอน ในช่วงเวลาที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนที่นอนที่นุ่ม)

 

     “ในสภาพที่พวกเขาวิงวอนขอต่อพระเจ้าของพวกเขา ด้วยความกลัว (เมื่อพวกเขามองดูความผิดของพวกเขา) และความหวัง (เมื่อเขามองดูความกรุณาเมตตาของอัลลอฮฺ พวกเขามีความหวัง มีความปรารถนาที่จะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)

 

     “และจากสิ่งที่เรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา พวกเขาก็บริจาค ดังนั้น จึงไม่มีชีวิตใดรู้ถึงสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้สำหรับพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่หัวใจของพวกเชารื่นรมย์ (ต่อความดี ความผาสุกสถาพรที่ท่วมท้นและความปติติยินดีที่มากมาย) นับเป็นการตอบแทนตามที่พวกเขาได้กระทำไว้

 

           ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงบันดาลให้ข้าพระองค์ และพี่น้องทุกท่านอยู่ในกลุ่มชนเหล่านั้นด้วยเทอญ

 

          พวกเขายอมอดหลับอดนอน มิใช่เพื่อดูทีวี หรือนั่งเล่นหมากรุกหรือหมากฮอร์ส หรือเพื่อเชิดชูเกียรติของผู้อื่น แต่พวกเขาอดหลับอดนอนเพื่อวิงวอนต่ออัลลอฮฺ และทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยสภาพที่กลัวเกรงอัลลอฮฺ และปรารถนาต้องการความเมตตาจากพระองค์

 

     “และจากสิ่งที่เรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา พวกเขาได้บริจาค ดังนั้น จึงไม่มีชีวิตใดรู้ถึงสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้สำหรับพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่หัวใจของพวกเขารื่นรมย์ เนื่องด้วยสาเหตุที่พวกเขาได้กระทำไว้ และสิ่งที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นไว้สำหรับพวกเขานั้น อยู่ที่ไหนเล่า?”

 

     มีปรากฏอยู่ในฮะดิษอัลกุดซีย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะชี้ชัดถึงสิ่งที่ถูกปกปิดดังกล่าวไว้ โดยที่อัลลอฮฺ ตะอาลา กล่าวว่า

 

     “ข้าได้เตรียมไว้แล้วแก่บ่าวของข้าที่เป็นคนดีทั้งหลาย คือ สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น และหูไม่เคยได้ยิน และหัวใจของมนุษย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย” 

(บันทึกโดย อิมาม อับบุคอรีย์)

 

     ขออัลลอฮฺ ได้ทรงดลบันดาลให้ข้าพระองค์ และพี่น้องทุกท่านได้อยู่อาศัยในสวรรค์ของพระองค์ด้วยเทอญ โอ้พระผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงใจบุญยิ่ง

 

 

ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร 18 ธันวาคม 2553