คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจากชาวชีอะฮ์(2)
  จำนวนคนเข้าชม  2657


คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจากชาวชีอะฮ์(2)

โดย... ชาวชีอะฮ์ที่กลับใจมาเป็นซุนนะฮ์

แปลโดย ... อาจารย์อิหฺซาน มีพลกิจ

ข้อที่

 

          ท่านอัลฮาซัน อิบนิ อาลี อิบนิ อบีฏอลิบ ได้สละตำแหน่งให้กับมุอาวียะฮ์ ในขณะที่กองกำลังของท่านมีความพร้อมที่จะทำสงครามต่อได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านฮาซันก็ไม่ทำสงคราม แต่กลับยกตำแหน่งให้แก่มุอาวียะฮ์ ในทางตรงกันข้ามท่านฮุซัยน์มีกองกำลังที่ด้อยกว่า ยะซีด อิบนิ มุอาวียะฮ์ เป็นอย่างมาก แต่กลับประกาศสงครามกับฝ่ายยะซีด ทั้ง ที่ด้วยกองกำลังอันน้อยนิด น่าที่จะประนีประนอม ดังนั้น ระหว่างท่านฮาซันกับท่านฮุซัยน์จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่ถูกต้อง และอีกฝ่ายจะต้องเป็นฝ่ายผิด 

 

          กล่าวคือ หากการไม่ประกาศสงครามของท่านฮาซันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฝ่ายท่านฮุซัยน์ก็จะต้องเป็นฝ่ายผิดที่ไปประกาศสงครามกับฝ่ายยะซีด อิบนิ มุอาวียะฮ์ แต่ถ้าหากการประกาศสงครามของท่านฮุซัยน์นั้นถูกต้องแล้ว ท่านฮาซันก็จะต้องเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ยอมประกาศสงครามกับมุอาวียะฮ์ แต่ในขณะเดียวกันบรรดาชาวชีอะฮ์กลับบอกว่าทั้งสองท่าน คือ ท่านฮาซัน และท่านฮุซัยน์ทำถูกทั้งคู่ ซึ่งดังกล่าวมันเป็นไปไม่ได้เลยตามหลักพื้นฐานตรรกะของความเข้าใจ เพราะสิ่งที่ตรงกันข้ามจะไม่สามารถนำมารวมกันได้อย่างเด็ดขาด

 

          และหากว่าชาวชีอะฮ โยนความผิดไปให้ท่านฮาซันที่ไม่ประกาศสงครามกับมุอาวียะฮ์แน่นอน ความผิดของท่านฮาซันก็จะส่งผลให้ท่านไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ และยังจะส่งผลไปถึงท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบผู้เป็นบิดาด้วยว่าท่านไม่คู่ควรแก่การเป็นผู้นำ และมิได้เป็นมะอ์ซูมจริง เพราะท่านอาลี คือผู้ที่สั่งเสียให้ท่านฮาซันดำรงตำแหน่งผู้นำต่อจากท่าน ซึ่งตามแนวทางของชีอะฮ์นั้น ผู้นำ (อิมาม) ที่มะอ์ซูมจะต้องมอบตำแหน่งให้แก่อิมามมะอ์ซูมเช่นกัน แต่ในกรณีนี้ท่านฮาซันไม่ถือว่าเป็นอิมามที่มะอ์ซูมแล้ว เพราะท่านกระทำในสิ่งที่ผิดพลาด คือการไม่ยอมประกาศสงครามกับมุอาวียะฮ์

 

          และหากว่าชาวชีอะฮ์โยนความผิดไปยังท่านฮุซัยน์ที่ไปประกาศสงครามกับยะซีด อิบนิ มุอาวียะฮ์ ทั้ง ที่มีกองกำลังที่ด้อยกว่า แน่นอน ความผิดของท่านฮุซัยน์ก็จะส่งผลไปยังบรรดาอิมามหลังจากท่านด้วยเช่นกัน เพราะท่านฮุซัยน์คือรากฐานของอิมามชีอะฮ์ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อรากฐานมีความบกพร่องฉันใด สิ่งที่แตกออกไปจากรากฐานก็ต้องบกพร่องด้วยฉันนั้น หมายความว่า หากท่านฮุซัยน์ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่ง อิมาม บรรดาอิมามทั้งหมดต่อจากท่านก็ไม่มีคุณสมบัติ เพราะเขาเหล่านั้น คือผู้สืบเชื้อสายจากท่านฮุซัยน์ที่ไม่มีสถานะเป็นผู้ที่มะอ์ซูมแล้วมิใช่หรือ?

 

ข้อที่

 

          ปรากฏในหนังสืออัลกาฟีย์ของอัลกุลัยนีย์ เล่มที่หนึ่ง ได้ระบุถึงชื่อของบรรดานักวิชาการชาวอะฮ์ลุ้ลบัยตฺที่ได้รายงานฮะดิษ และคำกล่าวของบรรดาอิมามต่าง ดังนี้

มุฟัฏฏ็อล อิบนิ อุมัร , อะหมัด อิบนิ อุมัร อัลฮะละบีย์ . อุมัร อิบนิ อะบาน . อุมัร อิบนิ อะซัยนะฮ์ .อับบ๊าส อิบนิ อุมัร . อุมัร อิบนิ อับดุลอะซีซ . อิบรอฮีม อิบนิ อุมัร . อุมัร อิบนิ ฮันซ่อละฮ์ และมูซา อิบนิ อุมัร

          จากบรรดารายชื่อของบรรดานักรายงานฮะดิษของชาวอะฮ์ลุ้ลบัยตฺทั้งหมดนี้ จะสังเกตเห็นว่ามีชื่ออุมัรอยู่หลายชื่อด้วยกัน เพราะเหตุอันใดเล่า บรรดาชาวชีอะฮ์จึงตั้งชื่อผู้ที่เป็นชีอะฮ์ว่าอุมัรทั้ง ที่พวกเขานั้นเกลียดชังท่านอุมัรเป็นอย่างยิ่ง?

 

ข้อที่ 10 

 

ในอัลกุรอาน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ว่า

     “จงแจ้งข่าวดีกับบรรดาผู้ที่อดทนเถิด คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบกับพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริง พวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และแท้จริง พวกเราเป็นผู้กลับไปยังพระองค์

(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 155-156)

     “และบรรดาผู้ที่อดทนต่อความทุกข์ยาก และความเดือดร้อน และขณะต่อสู่ในสมรภูมิ

(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 177)

          และในหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ปรากฏว่าท่านอาลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวภายหลังจากที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เสียชีวิตว่า

     “หากว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ห้ามฉันในเรื่องการตีโพยตีพาย และไม่ใช้ให้ฉันอดทนแล้วละก็ เราคงหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ไม่เหลืออะไรให้หลั่งอีกแล้ว เพื่อแสดงความเสียใจต่อการจากไปของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

และท่านอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ยังได้กล่าวอีกว่า

      “ผู้ใดที่เอามือตบตีต้นขาของเขา (ตีโพยตีพาย) ยามประสบเคราะห์กรรม การงานของเขาก็จะไร้ผล” 

และท่านฮุซัยน์ได้เคยกล่าวกับนางซัยหนับ น้องสาวของท่าน ที่เมืองกัรบะลาอ์ (จากหนังสือมุนตะฮาอัลอาม้าล”) ว่า 

      “โอ้ น้องสาวเอ๋ย... ฉันขอให้เธอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เธอนั้นจะต้องรักษาคำของฉันไว้ให้ดีว่า หากฉันถูกฆ่าตาย เธอก็อย่าตีโพยตีพายด้วยการฉีกเสื้อผ้า ข่วนหน้าตา และจงอย่าส่งเสียงเอะอะโวยวาย หรือร้องขอความวิบัติแก่ตนเอง หากฉันตายชะฮีดเป็นอันขาด

มีรายงานจากอบูญะอ์ฟัร อัลกอมอีย์ ว่า : อะมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลัยฮิสลาม ได้กล่าวกับบรรดาสาวกทั้งหลายว่า

     “ท่านทั้งหลาย จงอย่าสวมชุดสีดำ เพราะมันเป็นเครื่องแต่งกายของฟิรอูน

 

ในหนังสือตัฟซีรอัลซอฟีย์ (ของพวกชีอะฮ์) ได้อธิบายอายะฮ์กุรอาน ดังนี้

และพวกเธอจะไม่ขัดขืนคำสั่งของท่านในเรื่องที่ดีงาม(อัลมุมตะฮินะฮ์ 60 : 12)

ในอายะฮฺดังกล่าวนี้ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำสัญญากับบรรดาสตรีทั้งหลายว่า

พวกเธอจงอย่าสวมชุดดำ อย่าฉีกเสื้อผ้า อย่าร้องตะโกนโวยวายขอความวิบัติให้ประสบกับตนเอง

     ในหนังสือ (ฟุรูอุ้ลกาฟีย์) ของอัลกุลัยนีย์ได้ระบุว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งเสีย นางฟาติมะฮ์ ว่า : เมื่อฉันตายเธอจงอย่าข่วนใบหน้า ปล่อยผมยุ่งเหยิง และอย่าเอะอะโวยวาย และอย่าตั้งวง ตีโพยตีพายเพราะอาลัยต่อฉัน

      มุฮัมมัด อิบนิ ฮุซัยน์ อิบนิ บาบะวัยฮ์ อัลกุมมีย์ ผู้รู้ของชาวชีอะฮ์คนหนึ่งได้กล่าวถึงคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า : การเปล่งเสียงร้องดังโหยหวนนั้น เป็นการกระทำของชาวญาฮิลียะฮ์

     บรรดานักวิชาการของชาวชีอะฮ์ อย่างเช่น อัลมัจญลิซีย์ อันนูรีย์ และบุรูญิรดีย์ ได้นำเอาคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องนี้ว่า :มีเสียงอยู่สองประเภทที่อัลลอฮฺทรงสาปแช่ง และทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้คน เนื่องจากประสบเคราะห์กรรมและการตาย และเสียงของดนตรี

          ทั้งหมดที่ได้นำเสนอมานี้ อยากทราบว่า ...เพราะเหตุใดบรรดาชาวชีอะฮ์จึงไม่ยึดถือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรดานักวิชาการชีอะฮ์ที่ได้กล่าวไว้ และสำหรับพวกเราทั้งหลายจะเชื่อฟังคำสอนของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาผู้รู้ของชีอะฮ์อย่างสิ้นเชิง ??

 

ข้อที่ 11 

 

          หากการกรีดศีรษะทำให้เลือดออก ตลอดจนการตีอกชกตัว ร้องแรกแหกกระเชอนั้น จะได้รับผลตอบแทนตามที่ชาวชีอะฮ์ได้กล่าวกัน สิ่งที่ต้องการจะถามชาวชีอะฮ์ก็คือ ทำไมบรรดาผู้รู้ หรือนักวิชาการ ชาวชีอะฮ์ จึงไม่ออกมากระทำบ้าง ?

 

ข้อที่ 12 

 

          บรรดาชาวชีอะฮ์ได้กล่าวว่า ในการชุมนุมที่ฆอดีรคุมนั้น มีบรรดาซอฮาบะฮ์มารวมกันเป็นจำนวนนับพัน และพวกเขาเหล่านั้นก็อ้างว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม ได้ประกาศให้ท่านอาลี เป็นผู้นำหลังจากท่าน แต่ต่อมาท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็แย่งเอาตำแหน่งผู้นำไปจากท่านอาลี

 

          คำถามก็คือ ในเมื่อมีซอฮาบะฮ์จำนวนนับพันที่มาร่วมชุมนุม หากพวกเขาทราบว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งเสียให้ท่านอาลีเป็นผู้นำหลังจากท่าน แล้วทำไมบรรดาซอฮาบะฮ์ที่ร่วมประชุมอยู่ในขณะนั้น เช่น ท่านอัมม๊าร ยาซิร ท่านมิกด๊าด อิบนิ อัมรฺ และท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ทั้งหมด ไม่มีใครสักคนเลยหรือที่ออกมาคัดค้านการขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ หรือออกมากล่าวหาว่าท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ มาแย่งตำแหน่งจากท่านอาลีไป หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง?

 

ข้อที่ 13 

 

          ชีอะฮ์ได้อ้างว่า ก่อนที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเสียชีวิต ท่านได้ขอให้ท่านอาลีเขียนสาสน์ถึงประชาชนฉบับหนึ่งว่า

     “หลังจากท่านนบี ศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะซัลลัม จากโลกนี้ไปแล้ว ประชาชนทั้งหลายจะไม่มีวันหลงทางตลอดไป

          แต่คำถามก็คือ เพราะเหตุใดเล่าท่านอาลีจึงไม่ออกมาประกาศให้ประชาชนทราบเรื่องดังกล่าว ทั้ง ที่ท่านอาลีนั้นเป็นคนกล้าหาญไม่เกรงกลัวใครนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น และท่านอาลีก็ทราบดีไม่ใช่หรือว่า การที่ไม่ออกมาพูดความจริงนั้นเท่ากับเป็นชัยฏอนที่เป็นใบ้

 

ข้อที่ 14 

 

           บรรดานักวิชาการของชีอะฮ์บางท่านได้กล่าวว่าหลักฐานส่วนใหญ่ที่อยู่ในหนังสืออัลกาฟีย์นั้น เป็นหลักฐานที่อ่อน (ฎ่ออีฟ) แต่หลักฐานที่ถูกต้องที่สุดของเรา ก็คือ จากอัลกุรอาน ดังนั้น บรรดาชาวชีอะฮ์จะนำเอาหลักฐานจากหนังสืออัลกาฟีย์ที่พวกเขากล่าวว่า เป็นหลักฐานที่อ่อน (ฎออีฟ) มาอธิบายเรื่องของพระเจ้าได้อย่างไร?

 

ข้อที่ 15 

 

     คำว่าผู้เป็นบ่าวนั้น จะต้องใช้กับอัลลอฮฺเท่านั้น เช่น บ่าวของอัลลอฮฺ (อับดุลลอฮฺ) ดังที่ อัลกุรอานได้กล่าวว่า

จงเคารพภักดี (อิบาดะฮ์) ต่ออัลลอฮฺเท่านั้น

(อัซซุมัร 39 : 66)

          แต่ว่าเพราะเหตุใดชาวชีอะฮ์ จึงเรียกผู้ที่เป็นชีอะฮ์ว่า บ่าวของฮุซัยน์ (อับดุลฮุซัยน์) บ่าวของอาลี (อับดุอาลี) บ่าวของท่านหญิงอัซซะฮ์ร็ออ์ หมายถึงท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อับดุซะฮ์ร็ออ์) เหตุใดบรรดาอิมามผู้นำทั้งหลาย จึงไม่มีใครเลยตั้งชื่อลูกหลานของตัวเองว่า บ่าวของฮุซัยน์หรือบ่าวของอาลี มันใช่หรือที่จะบอกว่า ความหมายของอับดุลฮุซัยน์ ตามคำอ้างของพวกเขาคือ (ผู้รับใช้อัลฮุซัยน์) ภายหลังจากที่ท่านอัลฮุซัยน์ได้ตายชะฮีดแล้ว?? มันกินกับปัญญาหรือที่การนำน้ำ นำอาหารให้ท่านในกุโบร เพื่อจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับใช้ ท่านฮุซัยน์กระนั้นหรือ?

 

ข้อที่ 16 

 

           ชาวชีอะฮ์กล่าวอ้างว่า ท่านอาลีรู้ดีว่าตนคือคอลีฟะฮ์ตามที่อัลกุรอานได้ระบุไว้แล้เพราะเหตุใดเล่า ท่านอาลีจึงให้สัตยาบัน (มุบายะอะฮ์) ยอมรับการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และท่านอุสมาน ร่อฎิยัลลลอฮุอันฮุ 

     หากตอบว่าท่านอาลีนั้นไม่สามารถขัดขืน แน่นอน คนที่ไร้ความสามารถย่อมขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้นำ

     หากตอบว่า ท่านอาลีสามารถที่จะไม่ให้สัตยาบันก็ได้ แต่ท่านไม่ทำ นั่นก็แสดงว่าท่านอาลีเป็นคน คดโกงประชาชน ซึ่งผู้ใดคดโกงผู้นั้นไม่คู่ควรแก่การเป็นคอลีฟะฮ์ ไม่คู่ควรแก่การได้รับความไว้วางใจจากประชาชน (แน่นอน ท่านอาลีห่างไกลจากลักษณะเหล่านี้โดยสิ้นเชิง)

          พวกชีอะฮ์ทั้งหลายจะตอบอย่างไร ทำไมท่านจึงให้สัตยาบัน พอจะมีคำตอบที่เหมาะสมกับคำถามนี้ไหม?

 

ข้อที่ 17 

 

          ในช่วงเวลาที่ท่านอาลี อิบนิ อบีฏอลิบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ปรากฏว่า ท่านอาลีไม่เคยปฏิบัติสิ่งใด ที่ขัดต่อแนวทางที่ท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุ และ ท่านอุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านได้ใช้ ท่านอาลีไม่เคยนำเอากุรอานฉบับอื่นมาใช้เลย และท่านอาลีก็ไม่เคยคัดค้านพฤติกรรมใดของท่านทั้งสาม หรือไม่พอใจในการปกครองบ้านเมืองของท่านทั้งสามเลยแม้แต่น้อย ที่ปรากฏแน่นอนคือ 

     ท่านอาลีได้เคยกล่าวบนมิมบัรว่าบุคคลที่ดีที่สุดหลังจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือ ท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ

     ท่านอาลีไม่ได้บัญญัติมุตอะฮ์ท่านไม่ได้คืนที่ดินฟะดักให้แก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ และท่านไม่เคยกล่าวแก่บรรดาผู้ที่เดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ว่าการทำมุตอะฮ์เป็นที่อนุมัติ ท่านอาลีไม่เคยกล่าวประโยคที่ว่า .... ในถ้อยคำอะซาน และท่านอาลีก็ไม่ได้ตัดประโยคที่ว่าอัศศ่อลาตุคอยรุลมินัลเนาวม์ออกจากอะซานแต่อย่างใด

     และหากว่าท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และท่านอุมัร นั้นเป็นกาเฟรที่แย่งตำแหน่งมาจากท่านอาลีตามที่พวกชีอะฮ์ได้กล่าวอ้างแล้ว อยากทราบว่าเพราะเหตุใดท่านอาลี จึงไม่ออกมาชี้แจงความจริง เมื่อท่านได้รับตำแหน่ง และมีอำนาจมากมายแล้ว ทำไมท่านจึงเงียบไม่ออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะเหตุใด? แต่ในทางกลับกันท่านอาลีกลับชมเชยท่านอบูบักร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ตลอด

          ดังนั้น ชีอะฮ์กล้าที่จะพูดหรือไม่ว่าท่านอาลีไม่มีความซื่อสัตย์ คดโกง ไม่ยอมพูดความจริง? ท่านไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอนที่สุด

 

ข้อที่ 18 

 

          บรรดาชีอะฮ์ได้กล่าวหาว่าบรรดาคอลีฟะฮ์ก่อนหน้าท่านอาลีทั้งหมดตกเป็นกาเฟร แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่ายุคของบรรดาซอฮาบะฮ์เหล่านั้นสามารถที่จะพิชิตเมืองต่าง ได้รับชัยชนะเหนือบรรดาศัตรูทั้งหลาย ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ นับเป็นความโปรดปราน และเป็นการได้รับการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺทั้งสิ้น และเป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือกุฟฟาร หรือมุนาฟิกให้ได้รับชัยชนะ แน่นอน ย่อมเป็นไปไม่ได้

 

ข้อที่ 19 

 

           ชาวชีอะฮ์กล่าวหาว่าท่านมุอาวิยะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ตกเป็นกาเฟร แต่ในขณะเดียวกันพวกเราก็ทราบดีว่า ท่านฮาซัน อิบนิ อาลี ได้สละตำแหน่งผู้นำของท่านให้กับมุอาวียะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ นั่นก็แสดงว่า อิมามฮาซันมอบตำแหน่งผู้นำให้กับกาเฟรอย่างนั้นหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านฮาซันก็ไม่ถือว่าเป็นอิมามที่มะอ์ซูมที่บรรดาชาวชีอะฮ์ให้การนับถือ หรือจะบอกว่ามุอาวิยะฮ์เป็นมุสลิม ท่านฮาซันเลยมอบตำแหน่งให้ แล้วจะเอาอย่างไรดี!

 

ข้อที่ 20 

 

     เป็นไปได้หรือที่ชาวชีอะฮ์กล่าวว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ก้มสุญูดลงบนดินของท่านฮุซัยน์ที่นำมาจากกัรบะลาอ์ตามที่พวกชีอะฮ์ได้สุญูดกัน

     หากชีอะฮ์ตอบว่า : ใช่ 

     เราก็ขอกล่าวว่า : พวกชีอะฮ์โกหกสิ้นดี 

     หากชีอะฮ์ตอบว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้สุญูดลงบนดินของ ท่านฮุซัยน์ 

     เราขอถามว่า : ถ้าเช่นนั้นพวกชีอะฮ์สุญูดลงบนดินของอิมามฮุซัยน์ทำไม? ไปเอาแนวทางนี้มาจากไหน? พวกชีอะฮ์ดีกว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างนั้นหรือ?

          อย่างไรก็ตามบรรดาชีอะฮ์ได้รายงานต่อ กันมาว่าญิบรีลนั้น เมื่อมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ญิบรีลได้นำเอาดินจากกัรบะลาอ์ไปให้ท่านนบีด้วย นะอูซุบิลลาฮ์ โกหกทั้งหมด !

 

ข้อที่ 21 

 

           ชาวชีอะฮ์อ้างว่า บรรดาซอฮาบะฮ์นั้นตกมุรตัดทั้งหมด และกลับไปเป็นกาเฟรดังเดิม หลังจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้จากโลกนี้ไปแล้ว

          คำถามมีอยู่ว่า แล้วบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยเป็นชีอะฮ์อิมาม สิบสองก่อนที่ท่านนบีจะเสียชีวิต และก็กลับตัวมาเป็นซุนนะฮฺ หลังจากที่ท่านนบีเสียชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ? หรือว่าก่อนที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเสียชีวิตเป็นซุนนะฮฺ แต่พอท่านนบีเสียชีวิตก็เป็นชีอะฮ์ !

 

ข้อที่ 22 

 

          ท่านฮาซัน กับท่านฮุซัยน์ ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน และท่านทั้งสองก็คือ อิมามที่มะอ์ซูมที่บรรดาชาวชีอะฮ์ได้ให้ความเชื่อถือ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ เพราะเหตุใดอิมามทั้ง 12 ท่านของชาวชีอะฮ์ จึงสืบเนื่องเอาแต่เฉพาะลูกหลานของท่านฮุซัยน์ เท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีลูกหลานของท่านฮาซันได้สืบทอดการเป็นอิมามเลยสักคน ทั้ง ที่ท่านทั้งสองนั้น มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันทุกประการ ท่านฮาซันเหนือกว่าด้วยซ้ำ ตรงที่ท่านเป็นพี่ ฮุซัยน์เป็นน้อง พอจะมีคำตอบที่สติปัญญารับได้บ้างไหม?

 

ข้อที่ 23 

 

          ในช่วงเวลาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ป่วยจนกระทั่งเสียชีวิต ไม่ปรากฏเลยว่าท่านอาลีได้ทำหน้าที่เป็นอิมามแทนท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แม้เพียงสักครั้งเดียว ถ้าหากว่าอาลีคือผู้นำคนต่อไป ต่อจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตามความเชื่อของชีอะฮ์แล้ว อย่างน้อยท่านอาลีก็น่าจะต้องมีสัญญาณให้ประชาชนได้เห็นบ้าง ในการทำหน้าที่เป็นอิมามในละหมาด เพราะการทำหน้าที่แทนท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในการนำละหมาดเป็นสัญญาณถึงการเป็นผู้นำในอนาคต ภายหลังจากการเสียชีวิตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 

ข้อที่ 24 

 

          ชาวชีอะฮ์ให้เหตุผลว่า การไม่ปรากฏตัวของอิมามคนที่ 12 นั้น เพราะเกรงจะเกิดอันตรายจากผู้อธรรมทั้งหลาย แต่การหายตัวไปของอิมามท่านที่ 12 นี้ช่างนานเหลือเกิน ซึ่งสมควรที่จะออกมาได้แล้ว เพราะขณะนี้กลุ่มชีอะฮ์ก็มีเป็นล้าน คนอยู่ในหลาย ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอิหร่าน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางการเมืองและการทหารพอสมควร ซึ่งแน่นอน สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองอิมามคนที่ 12 ได้อย่างปลอดภัยที่สุด แต่ท่านรออะไร อยู่ที่ไหนจึงไม่ยอมออกมา !

 

 

วารสารสายสัมพันธ์ : พฤศจิกายน - ธันวาคม 2559