ความสำคัญของการเรียนมารยาทก่อนวิชาความรู้
  จำนวนคนเข้าชม  166

ความสำคัญของการเรียนมารยาทก่อนวิชาความรู้

 

เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม 

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก 

 

          ในยุคปัจจุบัน เราได้เห็นการตื่นตัวของคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่หันกลับมาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ศาสนา ถือเป็นสัญญาณที่ดีและน่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาศาสนา คือหนทางสู่การรู้จักอัลลอฮฺ และดำรงชีวิตตามที่พระองค์พอพระทัย

 

          อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้นั้นจำเป็นต้องมี ลำดับความสำคัญ มีขั้นตอนก่อนหลังที่ถูกต้อง เพื่อให้ความรู้ที่ได้รับเกิดผลดีต่อตัวผู้เรียนและสังคมโดยรวม และหนึ่งในสิ่งสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ การเรียนรู้มารยาท (อัลอะดับ) ก่อนวิชาความรู้ทางศาสนาอื่น ๆ

 

          บรรดานักวิชาการอิสลามในอดีตต่างเน้นย้ำเรื่องนี้อย่างมาก เช่น อิมามมาลิก รอฮิมะฮุลลอฮฺ เคยกล่าวว่า:

"พ่อของฉันสอนฉันเรื่องมารยาท ก่อนที่จะสอนฉันเรื่องความรู้"

 

          มารยาทที่ดี ทำให้ความรู้มีคุณค่า ทำให้ผู้เรียนมีความถ่อมตน มีความเคารพต่ออาจารย์ รู้จักควบคุมอารมณ์ และรู้จักวางตัวต่อพี่น้องมุสลิม เมื่อเขามีความรู้แล้ว ความรู้นั้นจึงเป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุให้เขาเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่เป็นสาเหตุของความเย่อหยิ่ง การดูถูกผู้อื่น หรือการสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องมุสลิม

 

     ท่านอบูซุฟยาน อัซ-เษารีย์ กล่าวไว้ว่า:

"การเรียนรู้มารยาท ใช้เวลาถึง 20 ปี และการเรียนรู้วิชาความรู้ ใช้เวลาเพียง 20 ปี"

 

          นี่แสดงให้เห็นว่า มารยาทในศาสนาไม่ใช่เรื่องรอง แต่คือพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง ดังนั้น คนหนุ่มสาวที่เริ่มต้นการศึกษาศาสนา ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขัดเกลานิสัย มารยาท การพูดจา การเคารพผู้อื่น การฟังด้วยความตั้งใจ และการหลีกเลี่ยงการโต้เถียงโดยไร้ประโยชน์ ก่อนที่จะดำเนินไปสู่การเรียนรู้วิชาความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เพราะมารยาท คือ เสน่ห์ของความรู้ และความรู้ที่ปราศจากมารยาท ย่อมนำพาไปสู่ความเสียหายมากกว่าความดีงาม

 

          แม้ว่าการตื่นตัวของคนหนุ่มสาวในการศึกษาเรียนรู้ศาสนาในยุคปัจจุบันจะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่สิ่งหนึ่งที่น่าตกใจและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือ เราพบว่าคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ยังอ่านอัลกุรอานไม่ถูกต้อง ยังไม่เข้าใจภาษาอาหรับ — ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงแหล่งความรู้ศาสนาอย่างแท้จริง — ทว่ากลับรีบร้อนเข้าสู่ การถกเถียง โต้แย้ง และถึงขั้นตัดสินผู้รู้ ทั้งๆ ที่ตนเองยังขาดพื้นฐานที่มั่นคง

          ศาสนาอิสลามได้วางระเบียบในการแสวงหาความรู้และการพูดเกี่ยวกับศาสนาไว้อย่างชัดเจน อัลลอฮฺตรัสว่า:

 

"และอย่าได้กล่าวสิ่งใดจากสิ่งที่ลิ้นของพวกเจ้าเอื้อนเอ่ยโดยอ้างว่า นี่ฮะลาลและนี่ฮะรอม เพื่อพวกเจ้าจะได้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ"

(อัลกุรอาน 16:116)

 

          การพูดเกี่ยวกับศาสนาโดยไม่มีความรู้ เป็นอันตรายใหญ่หลวง และบาปร้ายแรงยิ่งกว่าการกระทำบาปทั่วไป เพราะมันอาจนำไปสู่การบิดเบือนศาสนา ทำให้ผู้คนหลงทาง และก่อให้เกิดฟิตนะฮฺ (ความวุ่นวาย)

 

     บรรดานักวิชาการสะลัฟต่างกล่าวเตือนในเรื่องนี้ อิบนุกะษีร (รอฮิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวว่า:

     "ผู้ที่กล่าวในศาสนาโดยปราศจากความรู้ คือผู้ที่เสี่ยงต่อการนำพาผู้คนไปสู่ทางที่ผิด และเป็นเหตุให้ตัวเขาเองประสบกับหายนะ"

 

     ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ เมื่อบางคนเริ่มนำทัศนะส่วนตัว ตีความผิดพลาด หรือลอกคำพูดจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือมาโต้แย้งนักวิชาการที่มีความรู้จริง และใช้คำพูดรุนแรงไร้มารยาทกับผู้ที่มีอาวุโสและมีประสบการณ์กว้างขวางในศาสนา ทั้งที่ความเข้าใจของตนยังอ่อนแอและตื้นเขิน

 

     ท่านอิบนุซีรีน (รอฮิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวเตือนไว้อย่างหนักแน่นว่า:

"แท้จริง ศาสนานี้คือความรู้ ดังนั้น จงพิจารณาว่าท่านรับความรู้จากผู้ใด"

 

          นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่คนหนุ่มสาวควรตระหนัก : การแสวงหาความรู้ต้องเริ่มจากพื้นฐานที่ถูกต้อง — อัลกุรอาน, หลักความเชื่อ  ตัฟซีร  ฟิกฮฺ  ภาษาอาหรับ, และอีกหลายๆวิชา และมารยาททางศาสนา 

 

การเร่งรีบในการพูดโดยไร้พื้นฐานทางวิชาการ  คือหนทางนำสู่ความพินาศในดุนยา และอาคิเราะฮฺ

และชัยชนะของมุสลิมที่แท้จริง คือ ชัยชนะของผู้ที่มีทั้งความรู้ที่ถูกต้อง และมารยาทที่งดงาม

 

 

     การลำดับขั้นตอนกระบวนการสร้างผู้รู้ (ตอลิบุลอิลม์) ในแนวทาง อะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ลักษณะดังนี้: 

 

     1. แก้ไขเจตนา (ตัศหีห์ อันนียะฮ์ - تصحيح النية เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาให้บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น (إخلاص لله). ไม่ศึกษาเพื่ออวด, ถกเถียง, หรือแสวงหาชื่อเสียง. 

 

     2. การวางพื้นฐานที่ถูกต้องในอะกีดะฮ์ (อัตตะอ์สีส ฟี อัลอะกีดะฮ์ - التأسيس في العقيدة)- เรียนรู้อะกีดะฮ์ที่บริสุทธิ์จากอัลกุรอาน, สุนนะฮฺ และแนวทางเศาะหาบะฮฺ (فهم السلف الصالح).  เช่น เรียนจากหนังสืออย่าง **อัลอุศูล อัสสะละซะฮ์**, อัลอะกีดะฮฺ อัลวาซิฏียะฮฺ** ของเชคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ์ ฯลฯ 

 

     3. เรียนรู้หลักการพื้นฐานทางวิชาการ (อัลอุศูล อัลอิลมียะฮฺ - الأصول العلمية) - ศึกษาวิชาพื้นฐาน ได้แก่: - ตัฟซีร (อธิบายอัลกุรอาน) - ฮะดีษ (เรียนรวบรวมหลักฐานจากสุนนะฮฺ) - ฟิกฮฺ (กฎหมายอิสลาม) - อุศูล อัลฟิกฮฺ (หลักวิธีการวินิจฉัยทางศาสนา) - ลูเฆาะฮฺ (ภาษาอาหรับเบื้องต้น เช่น นะห์วฺ, ศ็รรฟ)  

 

     4. เริ่มจากการท่องจำ (ฮิฟซ์ - الحفظ) - ท่องจำหลักฐาน, มุตูน (مُتون) หรือตำราสรุปต่าง ๆ. - เช่น อัลอัรบะอีน อันนะวะวียะฮ์ (40 ฮะดีษ), อุศูล อัษษิรอะฮฺ ฯลฯ

 

     5. อ่านและศึกษากับผู้รู้ (ตัลกีน กับเชค - التلقي عن المشايخ) - เรียนแบบมีครู (شيوخ), รับการอธิบายสด, ซักถามข้อสงสัย, ไม่เรียนจากตำราเพียงลำพัง เพราะการเรียนแบบไม่มีครูนั้น จะทำให้เราไม่สามารถเข้าใจหลักวิชาการที่ถูกต้องได้ 

 

     6. ไต่ระดับในวิชาความรู้ (อัตตะดัรรุจ ฟี อัลอิลม์ - التدرج في العلم) เริ่มจากหนังสือง่ายไปหาซับซ้อน - เช่น ศึกษาฟิกฮฺเบื้องต้น  ฟิกฮฺมัธฮับลึก  วิชาวิจารณ์ฮะดีษ  วิชาบทบาทนักวินิจฉัย ฯลฯ 

 

     7. ปฏิบัติจริง (อัลอัมลฺ บิลอิลม์ - العمل بالعلم)  นำความรู้ที่ได้มา ปฏิบัติใช้จริง (العلم بالعمل). - เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการรักษาความรู้

 

     8. เผยแผ่ (อันนัศร วัตตะอ์ลีม - النشر والتعليم) - สอน, อธิบาย, หรือเผยแพร่ความรู้ที่ตนได้เรียนมาอย่างถูกต้อง. - โดยยึดหลักอิคลาศ และตามความสามารถ. เชคอับดุลอะซีซ อิบนุ บาซ รอฮิมาอุลลอฮฺ "การศึกษาความรู้ต้องมีระบบ, ความอดทน, และต้องยึดมั่นกับแนวทางของเศาะหาบะฮฺเสมอ ไม่อาศัยแนวทางบิดอะฮฺหรืออุตริกรรมกรรมใด ๆ

 

 

หลักการสำคัญในการลำดับการเรียนรู้ศาสนา ได้แก่:

 

การเรียนอัลกุรอานและตัจญวีด  (การอ่านที่ถูกต้อง)

     ♦ เพราะอัลกุรอานคือรากฐานของศาสนา การอ่านอัลกุรอาน อย่างถูกต้องจึงเป็นก้าวแรกที่ต้องให้ความสำคัญ ก่อนที่จะอ้างอิงหรืออธิบายใดๆ เกี่ยวกับหลักศาสนา

 

 

การทำความเข้าใจภาษาอาหรับเบื้องต้น

     ♦ เนื่องจากศาสนาอิสลามถูกประทานเป็นภาษาอาหรับ การเข้าใจความหมายที่แท้จริงของอัลกุรอานและซุนนะฮฺ จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาอาหรับในระดับหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิดพลาด

 

 

การเรียนหลักศรัทธา (อะกีดะฮฺ) ที่ถูกต้อง

     ♦ โดยยึดตามแนวทางของศอหาบะฮฺ (สหายของท่านนบี ﷺ) และตาบิอีน (ผู้สืบทอดหลังศอหาบะฮฺ) เพื่อวางรากฐานความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่ปนเปื้อนการอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) หรือแนวคิดนอกรีต

 

 

การเรียนรู้มารยาททางศาสนา (อัลอะดับ)

     ♦ เพื่อขัดเกลาจิตใจ การแสดงออก และการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตามแบบอย่างของท่านนบี ﷺ.

 

 

การศึกษาฟิกฮฺ (นิติศาสตร์อิสลาม) และวิธีการวินิจฉัยปัญหา (อุซูล)

      เพื่อให้สามารถปฏิบัติศาสนาได้อย่างถูกต้องตามหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ

 

 

การยึดถือครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และความประพฤติอยู่บนแนวทางสะลัฟ (บรรพชนที่ดีงาม)

      ดังที่นักวิชาการกล่าวว่า

"แท้จริง ศาสนานี้คือความรู้ ดังนั้น จงพิจารณาว่าท่านรับความรู้จากผู้ใด"

(รายงานโดยมุสลิมในบทนำของเศาะฮีหฺ)

 

 

การขาดลำดับขั้นตอนนำไปสู่ความสับสน

 

          หากการเรียนรู้ขาดลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย เช่น การตีความผิด การตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้จริง หรือการกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มแนวคิดที่หลงผิด นี่คือสิ่งที่นักวิชาการยุคแรก ๆ เช่น อิบนุตัยมียะฮฺ และอิบนุกะษีร ได้เตือนไว้อย่างหนักแน่น

 

 

บทสรุป

 

          การสร้างผู้รู้ที่แท้จริงบนแนวทางอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ต้องอาศัยความอดทน มีลำดับขั้นตอน และให้ความสำคัญกับพื้นฐานก่อนการถกเถียงและตัดสินผู้อื่น นี่คือแนวทางที่สานต่อความมั่นคงของอิสลามรุ่นต่อรุ่น จนถึงวันกิยามะฮฺ