ปาเลสไตน์ ไม่ได้มีแค่ "ฮา มาส"
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
ซาอุดีอาระเบียและบทบาทต่อปาเลสไตน์: หลักฐานที่ชี้ว่า ไม่เคยนิ่งดูดาย แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าซาอุดีอาระเบียลดบทบาทหรือไม่แสดงจุดยืนอย่างเข้มแข็งต่อปัญหาปาเลสไตน์ แต่หากพิจารณาในเชิงโครงสร้างและนโยบายระหว่างประเทศ จะพบว่าซาอุดีอาระเบียยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนประชาชนชาวปาเลสไตน์ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และการทูต โดยมีข้อชี้ชัดสำคัญหลายประการ ได้แก่:
1. การสนับสนุนผ่านกรอบนโยบายอย่างชัดเจน
ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้เสนอ “แผนสันติภาพอาหรับ (مبادرة السلام العربية)” เมื่อปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเสนอการรับรองอิสราเอลอย่างเป็นทางการโดยประเทศอาหรับทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขว่า อิสราเอลต้องถอนตัวออกจากดินแดนที่ยึดครองตั้งแต่ปี 1967 และต้องยอมรับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่มีกรุงเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การยอมรับอิสราเอลนั้นมิได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีเงื่อนไข ตรงกันข้าม กลับเป็นการยึดมั่นในหลักการเพื่อประโยชน์ของชาวปาเลสไตน์
2. จุดยืนทางการทูตที่หนักแน่น
ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รุกรานจากอิสราเอลต่อกาซาหรือเวสต์แบงก์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียมักออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงและเรียกร้องให้ประชาคมโลกยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งสนับสนุนการตั้งคณะสอบสวนหรือใช้กลไกของสหประชาชาติเพื่อฟื้นฟูความยุติธรรมแก่ชาวปาเลสไตน์
3. ท่าทีต่อความพยายามของอิสราเอลในการสร้างสัมพันธ์
แม้จะมีการพูดคุยถึงการ “ปกติความสัมพันธ์" (التطبيع) ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิสราเอล โดยเฉพาะภายใต้แรง กดดันจากนานาชาติ แต่ทางซาอุดีอาระเบียยังคงยืนยันว่า อิสราเอลจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญ นั่นคือ การยอมรับรัฐปาเลสไตน์ตามแนวพรมแดนปี 1967 ก่อนที่จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตใด ๆ โดยเจ้าชายไฟซาล บิน ฟัรฮาน (รัฐมนตรีต่างประเทศ) ได้ย้ำจุดยืนนี้หลายครั้งบนเวทีระหว่างประเทศ
จากหลักฐานข้างต้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ซาอุดีอาระเบียไม่เคยนิ่งเฉยต่อปัญหาปาเลสไตน์ หากแต่ใช้บทบาทเชิงยุทธศาสตร์ผ่านการทูต นโยบาย และเงื่อนไขที่เป็นรูปธรรม เพื่อกดดันให้อิสราเอลยอมรับสิทธิของชาวปาเลสไตน์ การวิเคราะห์ที่เป็นธรรมจึงควรพิจารณาทั้งในมิติวาทกรรมและโครงสร้างนโยบายระหว่างประเทศประกอบกัน
ความเดือดร้อนในปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพียงฮามาส แต่คือปัญหาของทั้งประชาชนมุสลิม เมื่อพูดถึงสถานการณ์ในปาเลสไตน์ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดความขัดแย้งกับอิสราเอล ผู้คนจำนวนมากมักนึกถึงกลุ่มฮามาส (حماس) ในฉนวนกาซา (قطاع غزة) ว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหลักในความรุนแรง หรือเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง แต่อันที่จริงแล้ว ประชาชนมุสลิมปาเลสไตน์ในทุกกลุ่ม ทุกแนวคิด** ทั้งในฉนวนกาซา เวสต์แบงก์ เยรูซาเล็มตะวันออก และแม้แต่ในเขตที่อิสราเอลควบคุม ล้วนได้รับความเดือดร้อนอย่างรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม
1. ประชาชนทั่วไป: เหยื่อของสถานการณ์มากกว่าผู้ร่วมขัดแย้ง ประชาชนปาเลสไตน์ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่ไม่สังกัดกลุ่มการเมืองใด ๆ โดยเฉพาะเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ต่างเผชิญกับผลกระทบโดยตรงจากการปิดล้อม การขาดแคลนอาหาร ยา น้ำสะอาด รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกทำลายซ้ำซาก ทั้งในกาซาและเวสต์แบงก์
2. กลุ่มมุสลิมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฮามาส กลุ่มทางศาสนาและการเมืองอื่น ๆ เช่น กลุ่มฟะตะห์ (فتح), กลุ่มอิสลามสายซูฟีย์, นักวิชาการศาสนาในอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) รวมถึงสถาบันการศึกษาศาสนา ล้วนได้รับผลกระทบจากนโยบายการยึดครอง ไม่ว่าจะเป็นการคุกคามสิทธิการศึกษา การละเมิดสิทธิเสรีภาพทางศาสนา หรือการทำลายมัสยิดและศาสนสถาน
3. ปาเลสไตน์ในฐานะอุมมะฮ์เดียวกัน* ในทัศนะของอิสลาม ปาเลสไตน์ไม่ใช่เพียงประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ แต่คือส่วนหนึ่งของ “อุมมะฮ์” (الأمة الإسلامية) หรือประชาคมมุสลิมทั้งมวล การได้รับผลกระทบของชาวปาเลสไตน์ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร กลุ่มใด ถือเป็นความทุกข์ร่วมกันของมุสลิมทั่วโลก ซึ่งต้องได้รับความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือตามหลักศาสนา
สรุป
การจำกัดภาพของปาเลสไตน์ไว้เพียงแค่ฮามาสเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน** เพราะความเจ็บปวดจากการยึดครองและความรุนแรงนั้น กระทบถึงทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมที่เห็นต่างจากฮามาส หรือไม่สังกัดกลุ่มใดเลย ดังนั้น การแสดงจุดยืนและช่วยเหลือปาเลสไตน์จึงควรยืนอยู่บนหลักมนุษยธรรมและความเป็นพี่น้องมุสลิมโดยไม่ยึดติดกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
การตัดสินผู้อื่นว่า "เป็นมุนาฟิก" เพราะไม่ช่วยเหลือฮามาส: ข้อควรพิจารณาในแง่หลักการศาสนา
ในบริบทของวิกฤติปาเลสไตน์ มีบางกระแสความคิดที่กล่าวว่า ซึ่งเป็นคำพูดที่ ไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนาอิสลาม และอาจนำไปสู่การตัดสินที่เกินขอบเขต (تعدي الحدود) ที่อิสลามไม่อนุญาต
ประเด็นที่ควรพิจารณา:
ฮามาสเป็นองค์กรหนึ่งในหลายองค์กรของปาเลสไตน์ และถึงแม้หลายคนอาจเห็นด้วยกับแนวต้านการยึดครอง แต่ก็อาจมีข้อสงวนในแนวทางหรือวิธีการของกลุ่มนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ได้โดยไม่ต้องตัดสินศรัทธา
การกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็น "มุนาฟิก" เพียงเพราะเขาไม่ช่วยเหลือฮามาส เป็นคำพูดที่ ขาดหลักฐานทางศาสนาและเป็นอันตรายต่อเอกภาพของประชาชาติ ทั้งยังขัดกับแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ ที่ห้ามกล่าวตักฟีรหรือตัดสินความศรัทธาของมุสลิมอย่างลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน
มุมมองจากนักวิชาการสะลัฟีย์: การแก้ปัญหาปาเลสไตน์อย่างมีหลักการ
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวว่า : คำพูดของเชคอับดุลอะซีซ อิบนุ บาซ รอฮิมาอุลลอฮฺ
"الواجب على المسلمين جميعا نصرة إخوانهم في فلسطين بكل ما يستطيعون، من الدعاء، والدعم المالي، والسياسي، والإعلامي، والعسكري إذا تيسر ذلك."
“จำเป็นต่อชาวมุสลิมทุกคนในการให้การช่วยเหลือพี่น้องของพวกเขาในปาเลสไตน์ด้วยทุกวิถีทางที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิงวอนดุอาอ์ การสนับสนุนทางการเงิน ทางการเมือง ทางสื่อ และแม้กระทั่งทางการทหาร หากสามารถทำได้”
Majmūʿ Fatāwā wa Maqālāt Mutanawwiʿah เล่มที่ 1 หน้า 199
เชครอบีอฺ อัลมัดคอลีย์ กล่าวเน้นว่า:
"قضية فلسطين قضية أمة، ولا تحل بالعواطف والانفعالات، بل تحتاج إلى علم وتخطيط ووحدة صف المسلمين."
“ปัญหาปาเลสไตน์เป็นปัญหาของประชาชาติ และจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยอารมณ์หรือความรู้สึก แต่ต้องอาศัยความรู้ การวางแผน และเอกภาพของแถวแนวมุสลิม”
(อัด-ดะเราะซาต อัล-มันฮะญียะฮ์ หน้า 48)
เนื้อหานี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แนวทางสะลัฟีย์ไม่เคยมองข้ามปัญหาปาเลสไตน์ และเรียกร้องให้ประชาชาติอิสลามเข้ามามีบทบาทด้วย สติปัญญา ความรอบคอบ และความรับผิดชอบเชิงระบบ ไม่ใช่ด้วยคำกล่าวโทษหรืออารมณ์เพียงอย่างเดียว
ในบริบทของปัญหาปาเลสไตน์ ท่าทีของประเทศมุสลิมต่าง ๆ ได้รับความสนใจและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่ประชาคมโลก โดยเฉพาะในหมู่ชาวมุสลิมเอง มักมีการเปรียบเทียบบทบาทของประเทศต่าง ๆ ต่อการสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์ เช่น กรณีของซาอุดีอาระเบียและตุรกี ซึ่งมีจุดยืนและแนวทางดำเนินการที่แตกต่างกัน
ซาอุดีอาระเบียมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะว่าไม่มีบทบาทชัดเจนในการช่วยเหลือปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวาทกรรมอันเข้มข้นของผู้นำตุรกีที่ได้รับการชื่นชมจากชาวมุสลิมจำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในเชิงข้อเท็จจริงพบว่า ซาอุดีอาระเบียยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตหรือการค้ากับรัฐอิสราเอล และยังคงดำเนินบทบาทสนับสนุนปาเลสไตน์ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) การประชุมขององค์การสหประชาชาติ และเวทีระดับภูมิภาคต่าง ๆ
ในทางกลับกัน ตุรกีแม้จะแสดงจุดยืนทางวาทกรรมอย่างเข้มแข็งและได้รับการยอมรับจากกลุ่มมวลชนมุสลิมในหลายประเทศ แต่ในเชิงโครงสร้างรัฐและการดำเนินนโยบาย ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับอิสราเอลไว้ในระดับที่แน่นแฟ้น โดยเฉพาะในด้านพลังงาน การขนส่ง และการลงทุน ซึ่งสวนทางกับวาทกรรมที่กล่าวถึงความยืนหยัดเคียงข้างปาเลสไตน์อย่างชัดเจน
ดังนั้น การประเมินบทบาทของประเทศใดประเทศหนึ่งต่อปาเลสไตน์จึงควรพิจารณาจากข้อเท็จจริงเชิงนโยบายภาครัฐ ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์หรือวาทกรรมในที่สาธารณะเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและรอบด้าน
บทบาทของซาอุดิอาราเบียที่มีต่อปัญหาปาเลสไตน์
ในปี 2025 ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียยังคงมีบทบาทสำคัญและต่อเนื่องในการสนับสนุนปัญหาปาเลสไตน์ทั้งในด้านการเมือง มนุษยธรรม และการทูต โดยมีจุดยืนที่ชัดเจนในการสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์ในการจัดตั้งรัฐอิสระของตนเองบนพรมแดนปี 1967 โดยมีกรุงเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง
จุดยืนทางการเมืองที่มั่นคง
♦ ซาอุดีอาระเบียยืนยันว่า จะไม่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากยังไม่มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระและมีความยุติธรรม
الجزيرة نت
ความร่วมมือระหว่างประเทศ
♦ ซาอุดีอาระเบียได้ร่วมมือกับฝรั่งเศสในการเตรียมจัดการประชุมสันติภาพระดับนานาชาติที่นิวยอร์กในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อผลักดันการแก้ปัญหาด้วยแนวทาง "สองรัฐ" .
Al Arabiya
การสนับสนุนด้านมนุษยธรรม
♦ ซาอุดีอาระเบียได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังฉนวนกาซา
Wafa News Agency
การทูตและการประณามการละเมิด
♦ ซาอุดีอาระเบียได้ประณามการกระทำของอิสราเอลที่ละเมิดสิทธิของชาวปาเลสไตน์ และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการเพื่อยุติการละเมิดดังกล่าว
โดยสรุป ซาอุดีอาระเบียในปี 2025 ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนปัญหาปาเลสไตน์ผ่านการดำเนินนโยบายที่มั่นคงและการมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความยุติธรรมในภูมิภาคตะวันออกกลาง