คุฏบะฮฺ (ฮัจญ์อำลา)วันอะร่อฟะฮฺ ของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ
อ.อับดุลวาเฮด สุคนธา เรียบเรียง
ในปีที่สิบหลังจากการอพยพ (ฮิจเราะฮฺ) ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ได้ออกเดินทางจากเมืองมะดีนะฮฺพร้อมด้วยเหล่าศอฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติของท่าน มุ่งหน้าไปยังนครมักกะฮฺ เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์อันเป็นฟัรฎู (ภาคบังคับ) และมีผู้คนจำนวนมากออกเดินทางร่วมกับท่าน
ทุกคนต่างปรารถนาที่จะยึดถือท่านรอซูล ﷺ เป็นแบบอย่าง และปฏิบัติตามการกระทำของท่าน อัลลอฮฺทรงให้ความโปรดปรานแก่ท่านนบีอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ทรงให้ท่านนบีได้พิชิตนครมักกะฮฺ และผู้คนก็หลั่งไหลเข้าสู่ศาสนาของอัลลอฮฺเป็นกลุ่ม ๆ
เหตุการณ์ครั้งสำคัญ ในการทำฮัจญ์ของท่านนบีนั้นคือโอวาทและคำสั่งเสียในคุตบะฮฺ(ฮัจญ์อำลา)ที่รวมไว้ซึ่งรากฐานและหลักการทั่วไปสำหรับการสร้างรัฐอิสลาม เป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตของมุสลิม เป็นกฎบัตรที่ชาวมุสลิมทั้งมวลควรภาคภูมิใจ เพราะคุตบะนี้เต็มไปด้วยบทเรียนมากมาย มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมาจากถ้อยคำของมัน หากชาวมุสลิมพิจารณาและปฏิบัติตามเนื้อหาในคุตบะนี้แล้วไซร้ แน่นอนว่าจะเป็นสาเหตุให้พวกเขามีความสุขทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ
ฉันจะพยายามอธิบายบทเรียนและประโยชน์บางประการจากคุตบะนี้
หะดีษที่รายงานโดยอิหม่ามมุสลิมในเศาะฮีห์ของท่าน จากญาบิร บิน อับดิลลาฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ :
ท่านนบี ﷺ เดินทางเลยจากมุซดาลิฟะฮฺโดยไม่หยุดพักที่นั่น แต่ได้มุ่งหน้าไปยังทุ่งอะรอฟะฮฺโดยตรง จนกระทั่งท่านเข้าใกล้ และพบว่าเต็นท์พักได้ถูกกางไว้ที่ “นะมิเราะฮฺ” ท่านจึงหยุดพักที่นั่น และพำนักอยู่ที่นั้นจนกระทั่งเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเอียงคล้อย และพ้นจุดสูงสุดกลางท้องฟ้า จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก
ท่านนบี ﷺ สั่งให้นำอูฐของท่านที่ชื่อว่า “อัล-ก็อศ์วาอ์” มา โดยได้มีการผูกอานไว้บนหลังอูฐ เพื่อให้ท่านขึ้นขี่ เมื่อท่านขี่อูฐแล้ว ท่านก็เดินทางมายัง พื้นที่ลุ่มของหุบเขา ซึ่งก็คือ หุบเขาอุรอนะฮฺ (وادي عُرَنَةَ) ซึ่งเป็นหนึ่งในหุบเขาของนครมักกะฮฺ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอะรอฟะฮฺ และตัดผ่านแผ่นดินของ “อัล-มุฆัมมัซฺ” โดยผ่านชายขอบของอะรอฟะฮฺด้านตะวันตก ณ บริเวณมัสญิดนะมิเราะฮฺ
จากนั้นก็ไปรวมกับหุบเขานุอฺมาน และผ่านด้านใต้ของนครมักกะฮฺบริเวณเขตแดนของเขตหะรอม และ ณ สถานที่แห่งนี้เอง ที่ท่านนบี ﷺ ได้หยุดพัก และกล่าวธรรมเทศนาแก่ผู้คน พร้อมทั้งคำตักเตือนและให้โอวาทแก่พวกเขาว่า
إنَّ دِمَاءَكُمْ وَأَمْوَالَكُمْ حَرَامٌ علَيْكُم، كَحُرْمَةِ يَومِكُمْ هذا، في شَهْرِكُمْ هذا، في بَلَدِكُمْ هذا، أَلَا كُلُّ شَيءٍ مِن أَمْرِ الجَاهِلِيَّةِ تَحْتَ قَدَمَيَّ مَوْضُوعٌ، وَدِمَاءُ الجَاهِلِيَّةِ مَوْضُوعَةٌ، وإنَّ أَوَّلَ دَمٍ أَضَعُ مِن دِمَائِنَا دَمُ ابْنِ رَبِيعَةَ بنِ الحَارِثِ، كانَ مُسْتَرْضِعًا في بَنِي سَعْدٍ، فَقَتَلَتْهُ هُذَيْلٌ، وَرِبَا الجَاهِلِيَّةِ مَوْضُوعٌ، وَأَوَّلُ رِبًا أَضَعُ رِبَانَا؛ رِبَا عَبَّاسِ بنِ عبدِ المُطَّلِبِ، فإنَّه مَوْضُوعٌ كُلُّهُ، فَاتَّقُوا اللَّهَ في النِّسَاءِ؛ فإنَّكُمْ أَخَذْتُمُوهُنَّ بأَمَانِ اللهِ، وَاسْتَحْلَلْتُمْ فُرُوجَهُنَّ بكَلِمَةِ اللهِ، وَلَكُمْ عليهنَّ أَنْ لا يُوطِئْنَ فُرُشَكُمْ أَحَدًا تَكْرَهُونَهُ، فإنْ فَعَلْنَ ذلكَ فَاضْرِبُوهُنَّ ضَرْبًا غيرَ مُبَرِّحٍ، وَلَهُنَّ علَيْكُم رِزْقُهُنَّ وَكِسْوَتُهُنَّ بالمَعروفِ، وَقَدْ تَرَكْتُ فِيكُمْ ما لَنْ تَضِلُّوا بَعْدَهُ إنِ اعْتَصَمْتُمْ به؛ كِتَابُ اللهِ، وَأَنْتُمْ تُسْأَلُونَ عَنِّي، فَما أَنْتُمْ قَائِلُونَ؟ قالوا: نَشْهَدُ أنَّكَ قدْ بَلَّغْتَ وَأَدَّيْتَ وَنَصَحْتَ، فَقالَ بإصْبَعِهِ السَّبَّابَةِ، يَرْفَعُهَا إلى السَّمَاءِ وَيَنْكُتُهَا إلى النَّاسِ: اللَّهُمَّ اشْهَدْ، اللَّهُمَّ اشْهَدْ، ثَلَاثَ مَرَّاتٍ.
แท้จริง เลือดของพวกท่าน ทรัพย์สินของพวกท่าน เป็นสิ่งต้องห้ามแก่กัน เหมือนกับความศักดิ์สิทธิ์ของวันนี้ของพวกท่าน (คือวันอะร่อฟะฮฺ) ในเดือนนี้ของพวกท่าน (คือเดือนซุลฮิจญะฮฺ) ในเมืองนี้ของพวกท่าน (คือเมืองมักกะฮฺ)
จงรู้ไว้เถิด ! สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับยุคญาฮิลียะฮฺ (ก่อนอิสลาม) นั้น อยู่ใต้เท้าของฉัน (คือฉันได้ลบล้างมันแล้ว)
และเลือดที่ถูกฆ่าล้างแค้นในยุคญาฮิลียะฮฺก็ถูกลบล้างเช่นกัน และเลือดแรกที่ฉันจะลบล้างคือเลือดของอิบนุ ร่อบีอะฮฺ บิน อัลหาริษ ซึ่งเขาเป็นเด็กที่กำลังถูกเลี้ยงดูในเผ่าบนีสะอฺด์ แล้วเขาถูกเผ่าฮุซัยลฆ่า
และดอกเบี้ยในยุคญาฮิลียะฮฺก็ถูกลบล้าง และดอกเบี้ยแรกที่ฉันจะลบล้างคือดอกเบี้ยของเรา คือดอกเบี้ยของอับบาส บิน อับดุลมุฏฏอลิบ แท้จริงมันถูกลบล้างทั้งหมด
จงยำเกรงอัลลอฮฺในเรื่องของสตรีเถิด แท้จริงพวกท่านได้รับพวกนางด้วยความไว้วางใจจากอัลลอฮฺ(คือจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ) และพวกท่านได้ทำให้พวกนางเป็นที่อนุมัติแก่พวกท่านด้วยพระดำรัสของอัลลอฮฺ(คือการแต่งงานอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา) และพวกนางมีสิทธิ์เหนือพวกท่าน คือพวกนางต้องไม่ให้ผู้ที่พวกท่านไม่ชอบมาเหยียบย่ำเตียงของพวกท่าน และหากพวกนางกระทำเช่นนั้น ก็จงตีพวกนางอย่างไม่รุนแรง(คือการไม่ใช่ความรุนแรงหรือสร้างความยากลำบาก) และพวกท่านต้องให้อาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกนางอย่างดี
และแท้จริง ฉันได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านสิ่งหนึ่ง หากพวกท่านยึดมั่นมันไว้ พวกท่านจะไม่หลงผิดหลังจากฉัน คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ
และพวกท่านจะถูกถามเกี่ยวกับฉัน แล้วพวกท่านจะพูดว่าอย่างไร?”
พวกเขากล่าวว่า: “เราขอเป็นพยานว่าแท้จริงท่านได้ถ่ายทอด (สาส์นอิสลาม) แล้ว ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว และได้ตักเตือนแล้ว”
ท่านนบีจึงชี้ด้วยนิ้วชี้ของท่านขึ้นไปยังฟากฟ้า และชี้ลงไปยังผู้คน พร้อมกับกล่าวว่า:
“โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงเป็นพยาน
โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงเป็นพยาน
โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงเป็นพยาน” (กล่าวสามครั้ง)”
(หะดีษ บันทึก อิหม่ามมุสลิมในเศาะฮีห์)
นี่คือถ้อยคำสั้น ๆ แต่มีความหมายยิ่งใหญ่ ซึ่งท่านนบี ﷺ ได้กล่าวไว้ในวาระอันสำคัญนี้ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน คำกล่าวเหล่านี้ได้แสดงถึงแนวทางอันยิ่งใหญ่ของอิสลามอย่างชัดเจนภาพอันยิ่งใหญ่ของเหตุการณ์นี้ ซึ่งไม่เคยเกิดการรวมตัวเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์อิสลาม ในวันอันประเสริฐของพิธีฮัจญ์ ได้มีถ้อยคำจากท่านนบี ﷺ ที่ตอกย้ำหลักการสำคัญดังต่อไปนี้ :
บทเรียนสำคัญจากคุตบะหัจญะตุลวะดาอฺ
1. การให้ความสำคัญกับชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติของมุสลิม
– เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด และแม้จะเป็นเรื่องที่มุสลิมส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้ว ทว่าท่านนบีก็ย้ำเตือนอย่างจริงจัง เพื่อปิดกั้นข้ออ้างต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิของผู้คน
– ชาวมุสลิมต้องพยายามทุกทางเพื่อรักษาสิทธิและศักดิ์ศรีของกันและกัน ไม่ละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน
2. การห้ามประเพณีและแนวทางของญาฮิลียะฮฺ
– ท่านนบี ﷺ ย้ำให้หลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับยุคญาฮิลียะฮฺ (ก่อนอิสลาม)การกดขี่ข่มเหง ฝั่งลูกผู้หญิงทั้งเป็น การกินเหล้า เล่นการพนัน แบ่งชนชั้นวรรณะ เพราะอัลลอฮฺได้ประทานอิสลามมาแทนที่แล้วด้วยหลักความเชื่อ จริยธรรม และบทบัญญัติที่สมบูรณ์
– โดยเฉพาะการล้างแค้น ตอบโต้ด้วยการนองเลือด และการจุดชนวนความแตกแยก ล้วนแล้วขัดกับเป้าหมายของศาสนาอิสลามและเน้นการสร้างความเมตตาและความสามัคคีในสังคม
3. การยกเลิกระบบดอกเบี้ย (ริบา)
– ซึ่งเป็นสิ่งที่แพร่หลายในยุคญาฮิลียะฮฺ และเต็มไปด้วยความอยุติธรรม การเอาเปรียบผู้ยากไร้
– อิสลามแทนที่ด้วยหลักการให้กู้ยืมที่ดี ความเมตตา และการผ่อนปรนแก่ผู้มีหนี้สิน เป็นระบบการเงินที่เปี่ยมด้วยศีลธรรม
4. การเน้นย้ำในความยุติธรรม
– ท่านนบี ﷺ เริ่มต้นการปฏิรูปจากตัวท่านเอง โดยยกเลิกดอกเบี้ยของลุงท่าน และไม่ทวงแค้นแทนลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ถูกฆ่า
– เป็นตัวอย่างของผู้นำที่เป็นแบบอย่างในคำสอนและการปฏิบัติ
5. การตอกย้ำสิทธิของผู้หญิง
– ท่านนบี ﷺ กล่าวย้ำสิทธิของผู้หญิงโดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของสิทธิสตรีในอิสลามที่ต้องได้รับการดูแลและเคารพ
6. การระบุสิทธิและหน้าที่ระหว่างสามีภรรยา
– เพราะครอบครัวคือรากฐานของสังคมมุสลิมที่มั่นคง จึงมีคำชี้แจงที่ชัดเจนเพื่อดำรงเกียรติของชีวิตสมรสและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย
7. การยึดมั่นในคัมภีร์อัลลอฮฺ (อัลกุรอาน)
– ท่านนบี ﷺ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการยึดมั่นและปฏิบัติตามอัลกุรอานอย่างแน่นแฟ้น ในตัวบทหะดีษท่านนบีมิได้กล่าวถึง ซุนนะฮ์โดยตรง เพราะว่าอัลกุรอานนั้นครอบคลุมถึงการปฏิบัติตามซุนนะฮ์แล้ว
ซึ่งมีหลักฐานจากพระดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า:
﴿ وَأَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَاحْذَرُوا ۚ فَإِنْ تَوَلَّيْتُمْ فَاعْلَمُوا أَنَّمَا عَلَىٰ رَسُولِنَا الْبَلَاغُ الْمُبِينُ ﴾
“และจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูล และจงระวังเถิด ! และหากพวกเจ้าหันหลัง (ไม่เชื่อฟัง)
ก็จงรู้เถิดว่า แท้จริง หน้าที่ของร่อซูลของเรา ก็เพียงแค่การประกาศแจ้งอย่างชัดแจ้งเท่านั้น”
[อัลมาอิดะฮฺ 92)
ดังนั้น การปฏิบัติตามอัลกุรอานย่อมนำไปสู่การปฏิบัติตามซุนนะฮ์ด้วยโดยจำเป็น เพราะอัลกุรอานได้บัญญัติให้เชื่อฟังร่อซูลอย่างชัดเจน
8. การประกาศความสมบูรณ์ของศาสนา
– ท่านนบี ﷺ ได้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาอย่างครบถ้วนแล้ว และได้ให้สักขีพยานแก่ประชาชาติ ดังนั้นหน้าที่ของเราคือการรักษาศาสนานี้ไว้ด้วยความเข้าใจและการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามแบบฉบับของท่านนบีและบรรดาสาวกของท่าน
– การเป็นพยานว่าท่านนบี ﷺ ได้เผยแผ่ศาสนาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์นั้น ต้องมาพร้อมกับการยอมรับสุนนะฮฺของท่าน เพราะสุนนะฮฺคือคำอธิบายและการปฏิบัติของบทบัญญัติของอัลกุรอาน
แท้จริงท่านญิบรีล อะลัยฮิสลาม ได้ลงมาหาท่านรอซูล ﷺ ด้วยวะฮีย์อันบริสุทธิ์ ขณะที่ท่านรอซูล ﷺ กำลังวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ณ ทุ่งอะรอฟะฮฺ โดยได้มีอายะฮ์นี้ถูกประทานลงมา:
﴿ ٱلۡيَوۡمَ أَكۡمَلۡتُ لَكُمۡ دِينَكُمۡ وَأَتۡمَمۡتُ عَلَيۡكُمۡ نِعۡمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلۡإِسۡلَـٰمَ دِينٗا ﴾
“วันนี้เราได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว
และเราได้ให้ความโปรดปรานของเราสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว และเราได้ยอมรับอิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้าแล้ว”
[อัลมาอิดะฮฺ 3]
ซึ่งเป็นอายะฮ์อันยิ่งใหญ่ ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่า อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ศาสนาอิสลามสมบูรณ์แล้ว โดย...
♦ ไม่มีใครในหมู่มนุษย์มีสิทธิ์จะเพิ่มเติมหรือลบล้างสิ่งใดในศาสนานี้ได้
♦ ไม่มีสิ่งใดเป็นที่อนุมัติ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์อนุมัติ
♦ และไม่มีสิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม นอกจากสิ่งที่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ห้ามไว้
♦ ผู้ใดที่หวังในความสำเร็จและชัยชนะแท้จริง จงยึดมั่นใน คัมภีร์ของอัลลอฮฺ (อัลกุรอาน) และ ซุนนะฮฺของท่านนบี ﷺ รวมถึง มติของบรรดาเศาะหาบะฮฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ทั้งปวง
อายะฮ์นี้ยิ่งใหญ่ถึงขั้นที่ชาวยิวเคยกล่าวว่า “หากอายะฮ์นี้ถูกประทานแก่พวกเรา เราจะถือว่าวันที่มันถูกประทานลงมาเป็น ‘วันอีด’ (วันเฉลิมฉลอง)”
( ตามรายงานที่มีจากท่านอุมัร อิบนุลค็อฏฏ็อบ )
ดังนั้น ไม่มีความสุขหรือความสำเร็จใดในดุนยาและอาคิเราะฮฺ และไม่มีความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ เว้นแต่ด้วยการปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ อย่างเคร่งครัด