ฉันไม่ใช่วาฮาบีย์ !
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
แท้จริงแล้วอัลลอฮฺจะไม่ทรงยึดเอาความรู้ไปจากมนุษย์โดยการดึงมันไปทีเดียว แต่พระองค์จะทรงยึดเอาความรู้โดยการให้บรรดาผู้รู้เสียชีวิต จนกระทั่งเมื่อไม่เหลือผู้รู้เลย ผู้คนจึงยึดเอาผู้ไม่รู้เป็นผู้นำ เมื่อพวกเขาถูกถาม ก็จะตอบโดยไร้ความรู้ แล้วพวกเขาก็หลงทาง และทำให้ผู้อื่นหลงทางด้วย
อิสลามเป็นศาสนาที่ให้คุณค่าต่อความรู้ และยกสถานะของผู้มีความรู้ให้เหนือผู้คนจำนวนมาก อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งนักวิชาการในทุกยุคสมัยเพื่อดำรงบทบาทในการรักษาศาสนา อธิบายหลักธรรม และตอบโต้การบิดเบือนอัลกุรอานและอัซซุนนะฮ์ อย่างไรก็ตาม ตลอดประวัติศาสตร์อิสลาม กลับมีแนวโน้มที่ผู้มีความรู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีหรือกล่าวหาด้วยเหตุแห่งการปกป้องแนวทางที่ถูกต้อง
ความเป็นมาและตัวอย่างจากประวัติศาสตร์อิสลาม การใส่ร้ายต่อผู้รู้มิใช่ปรากฏการณ์ใหม่ หากแต่เริ่มตั้งแต่สมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ก่อนหน้าการได้รับวะฮีย์ ท่านได้รับฉายาว่า “อัล-อามีน” (ผู้ซื่อสัตย์) แต่เมื่อท่านเริ่มเผยแผ่สาส์นแห่งเตาฮีด กลุ่มกุเรชกลับกล่าวหาท่านว่าเป็นนักมายากล คนเสียสติ และหมอผี
ทั้งนี้เพื่อบั่นทอนอิทธิพลและกีดกันผู้คนไม่ให้รับคำเชิญชวนของท่าน ในยุคถัดมา บรรดาผู้รู้ซึ่งดำรงอยู่ในแนวทางของบรรพชน (อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ) ก็ต้องเผชิญการกล่าวหาลักษณะเดียวกัน เช่น อิมามอะห์หมัด อิบนุ หัมบัล (รอฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ซึ่งถูกลงโทษและจำคุกเนื่องจากปฏิเสธแนวคิดว่า “อัลกุรอานถูกรังสรรค์ขึ้น” ในยุคของกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺ ที่ครอบงำฝ่ายการเมือง
ตัวอย่างร่วมสมัย: เชคมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เชคมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ (1115–1206 ฮ.ศ.) เป็นหนึ่งในผู้รู้ที่ลุกขึ้นเรียกร้องให้กลับคืนสู่แนวทางของอัลกุรอานและซุนนะฮฺ ปราศจากการตั้งภาคีและพิธีกรรมที่ขัดต่อเตาฮีด อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้คัดค้านได้ใส่ร้ายท่านว่าเป็นผู้ตั้งลัทธิใหม่ และเรียกลูกศิษย์ของท่านว่า “วาฮาบีย์” เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าท่านกำลังแยกตนจากหลักการอิสลามกระแสหลัก
ทั้งนี้ ชื่อ “วาฮาบีย์” มิได้เป็นชื่อที่เชคมุฮัมมัดตั้งขึ้น ทว่าถูกตั้งโดยกลุ่มอัรรอฟิเฎาะฮ์และซูฟีย์บางกลุ่มที่ไม่พอใจคำเรียกร้องของท่าน
หลักความเชื่อมั่นในหลักอะกีดะฮฺของท่านเชคมูฮัมหมัด บิน อับดิลวะฮาบ ตรงกับหลักความเชื่ออิมามทั้งสี่ และท่านไม่ได้สร้างแนวคิดใหม่แต่อย่างใด แต่เรารื้อฟื้นสิ่งที่ถูกลืมเลือนจากซุนนะฮฺ”
ท่านเชคมูฮัมหมัด บิน อับดิลวะฮาบ ท่านได้ทำการตอบโต้ กลุ่มสุดโต่งและการบิดเบือนหลักฐาน เข่นกลุ่มคอวาริจญ์และรอฟิเฎาะฮ์ถือเป็นตัวอย่างชัดเจนของการนำหลักฐานศาสนาไปใช้ผิดบริบท เช่น การใช้โองการเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธศรัทธามาตัดสินบรรดามุสลิมที่เห็นต่างว่าเป็นกาเฟร หรือการถือว่าเฉพาะผู้ที่เชื่อในอิหม่ามทั้งสิบสองเท่านั้นจึงจะเป็นมุสลิมได้ ซึ่งขัดกับแนวทางของอะฮฺลุสสุนนะฮฺ ที่ไม่ตัดสินการออกจากอิสลามเว้นแต่จะมีหลักฐานชัดเจน และเป็นไปตามเงื่อนไขของอุลามาอ์
การใส่ร้ายผู้รู้เกิดจากความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์และผลประโยชน์ แนวทางของอิสลามที่แท้จริงคือการยึดหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺตามความเข้าใจของบรรดาศอหาบะฮฺและบรรพชนผู้ทรงธรรม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการกล่าวหาโดยไร้หลักฐาน นักวิชาการที่ยึดมั่นในแนวทางอิสลามและกล้าหาญในการยืนหยัดต่อความผิดพลาดสมควรได้รับการสนับสนุน ไม่ใช่การใส่ร้ายหรือประณาม
เชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ (رحمه الله) ไม่ได้เป็นผู้ยืนยันว่าพระเจ้ามีรูปร่าง (มุญัสซิม) และไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่าเขามีความเชื่อในลักษณะเช่นนั้น ท่านเดินตามแนวทางของ อะฮฺลุซซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ ในเรื่องพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ โดยยึดตามแนวทางของ สะลัฟ (บรรพชนอันดีงาม) ซึ่งคือ:
จุดยืนของเขาเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัลลอฮฺ
♦ เขายืนยันคุณลักษณะต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในอัลกุรอานและซุนนะฮ์ เช่น พระพักตร์ (وجه), พระหัตถ์ (يدين), การทรงอยู่เหนือบัลลังก์ (استواء), การหัวเราะ (ضحك), การเสด็จลงมา (نزول) ฯลฯ
♦ เขาปฏิเสธการตีความด้วยเหตุผลแบบชาววิภาษศาสตร์ (มุตะกัลลิมีน) หรือการบิดเบือนความหมาย
♦ เขาตำหนิทั้งกลุ่ม ผู้ปฏิเสธคุณลักษณะ (เช่น ญะฮ์มียะฮ์) และกลุ่ม ผู้เปรียบเปรยพระเจ้ากับสิ่งถูกสร้าง (มุญัสซิมะฮ์)
มีข้อความในหนังสือของเขาที่สนับสนุนเรื่องว่าพระเจ้ามีรูปร่างหรือไม่ ?
ในหนังสือของเขา เช่น กิตาบอัตเตาฮีด, กัชฟุชชุบฮาต, หรือจดหมายต่าง ๆ ของเขา ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าเขาเชื่อว่าพระเจ้ามีรูปร่าง ตรงกันข้าม เขาเองยังเตือนให้ระวังการเปรียบเปรยพระเจ้ากับสิ่งถูกสร้าง หรือการกำหนดลักษณะของพระองค์
ใครเป็นผู้กล่าวหาเขาว่าเป็นมุญัสซิม ?
โดยมากจะเป็น : กลุ่มตรงข้ามของเขา เช่น บางส่วนของกลุ่มอาชาอิเราะห์ และซูฟีย์ เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางเขาในเรื่องคุณลักษณะของพระเจ้า
บางคนที่เข้าใจผิด คิดว่าการยืนยันคุณลักษณะของพระเจ้าในแบบสะลัฟคือการเปรียบเทียบหรือการให้รูปร่าง ทั้งที่ในความเป็นจริง สะลัฟยืนยันโดยไม่เปรียบเปรย
สรุป
เชคมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ไม่ใช่มุญัสซิม ท่านมีแนวทาง สะลัฟีย์ ในเรื่องความเชื่อ คือการยืนยันสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงพระองค์เอง และปฏิเสธสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิเสธ โดยไม่ตีความ ไม่ปฏิเสธ ไม่กำหนดลักษณะ และไม่เปรียบเปรย เหมือนแนวทางของอิหม่ามอะฮฺมัด บิน ฮัมบัล และอิมามคนอื่น ๆ แห่งยุคสะลัฟ