คุตบะห์วันอีด อีดิลฟิฏร์ 1446/1
จงยำเกรงอัลลอฮ์ให้มากเถิด
โดย อ.อับดุลวาเฮด สุคนธา
ขอขอบคุณต่อเอกองค์อัลลอฮ์ ที่ให้เราทุกคนได้เสร็จสิ้นภารกิจอันยิ่งใหญ่ในเดือนรอมฎอน นั่นคือ การได้ถือศีลอดในตอนกลางวัน และการได้ละหมาดในตอนกลางคืน และให้เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตแสวงหาความใกล้ชิดกับอัลลอฮ
การถือศีลอด ลุกขึ้นละหมาดในยามค่ำคืน อ่านอัลกุรอ่าน ซิกรุ้ลลอฮ และได้แสวงหาความใกล้ชิดกับอัลลอฮ.อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อหวังจะได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงมีความยำเกรงต่ออัลลอฮ อย่างแท้จริง หากว่าการได้มีโอกาสใช้ชีวิตตลอดกว่า 30 วันในเดือนรอมฎอนนี้ ไม่ได้สร้างความตักวา ยำเกรงต่ออัลลอฮ ให้กับเรา เราไม่ได้ทบทวนหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองเลย แล้วเราจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรกับเวลาต่อจากนี้ กับชัยฎอนที่กำลังถูกปล่อยออกมา และความชั่วต่างๆมากมายที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน จะมีโอกาสไหนดียิ่งไปกว่าเดือนรอมฏอนได้อีก เดือนที่ประตูสวรรค์ถูกเปิด ประตูนรกถูกปิด ชัยฎอนถูกพันธนาการล่ามโซ่ และเป็นเดือนที่เรานั้นมีโอกาสจะได้รับการอภัยโทษมากที่สุด
นบี ﷺ ได้ตำหนิบรรดาผู้ที่เขามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในเดือนรอมฎอน แต่ทว่าเมื่อรอมฎอนจากเขาไป เขากลับไม่ได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์
" وَرَغِمَ أَنْفُ رَجُلٍ دَخَلَ عَلَيْهِ رَمَضَانُ، ثُمَّ انْسَلَخَ قَبْلَ أَنْ يُغْفَرَ لَهُ "
“และชายคนหนึ่งช่างน่าอัปยศ รอมฎอนได้เข้ามาหาเขา แล้วมันได้ผ่านพ้นไปก่อนที่เขาจะได้รับการอภัยโทษ“
[ บันทึกโดยอัตติรมิซียฺ ชัยคฺอัลบานียฺให้สถานะฮะซันศ่อฮีหฺ ]
อัลลอฮ์ ตรัสไว้ว่า
وَٱتَّقُوا۟ يَوْمًۭا تُرْجَعُونَ فِيهِ إِلَى ٱللَّهِ ثُمَّ تُوَفَّىٰ كُلُّ نَفْسٍۢ مَّا كَسَبَتْ وَهُمْ لَا يُظْلَمُونَ
“และพวกเจ้าจงยำเกรงวันหนึ่ง ซึ่งพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮฺในวันนั้น
แล้วแต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนโดยครบถ้วน ตามที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้ และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม”
(อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 281)
ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่รอมฎอนจากเขาไปในสภาพที่เขาได้รับการอภัยโทษ และได้เป็นที่รัก ณ ที่อัลลอฮ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้า น่าตำหนิสำหรับผู้ที่เขาไม่ได้รับสิ่งใดเลยจากเดือนรอมฎอน
รายงายจากท่าน อัมรู บิน มุรเราะฮ์ อัล-ญุฮานีย์ เล่าว่า
جاء رجلٌ إلى النَّبيِّ ، فقال : يا رسولَ اللهِ أرأيتَ إن شهدتُ أن لا إله إلا اللهُ ، و أنك رسولُ اللهِ ، و صلَّيتُ الصلواتِ الخمسِ ، و أدَّيتُ الزكاةَ ، و صمتُ رمضانَ ، وقُمتُه ، فممَّن أنا ؟ قال : من الصِّدِّيقين و الشُّهداءِ
ชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้วพูดว่า "โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ถ้าฉันยืนยันว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวคืออัลลอฮ์ และท่านคือศาสนทูตของพระองค์ และฉันทำการ ละหมาดวันละห้าเวลา, จ่ายซะกาต, ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และทำการตื่นขึ้น (ละหมาดในยามค่ำคืน) ฉันจะเป็นคนแบบไหน?"
ท่านนบีตอบว่า "ท่านจะเป็นคนจากพวก ผู้ที่มีความซื่อสัตย์และผู้พลีชีพ”
ผู้รายงานหะดีษ: อัล-อัลบานี | แหล่งที่มา: ซะฮีห์ อัล-ตัรฆีบ"
อัลลอฮ ได้ตรัสไว้ว่า
وَمَن يُطِعِ ٱللَّهَ وَٱلرَّسُولَ فَأُو۟لَـٰٓئِكَ مَعَ ٱلَّذِينَ أَنْعَمَ ٱللَّهُ عَلَيْهِم مِّنَ ٱلنَّبِيِّـۧنَ وَٱلصِّدِّيقِينَ وَٱلشُّهَدَآءِ وَٱلصَّـٰلِحِينَ وَحَسُنَ أُو۟لَـٰٓئِكَ رَفِيقًۭا
"และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลแล้ว ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา
อันได้แก่บรรดานะบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฎี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นสหายที่ดี”
[อันนิซาฮฺ : 69]
ในวันนี้ เราต่างต้องการที่จะอยู่ร่วมกับคนที่ดีที่จะช่วยเหลือเราได้ในโลกนี้ แต่อย่าลืมว่าในวันกิยามะฮนั้น สิ่งที่จะอยู่กับเรา คือคุณงามความดีและสิ่งที่เราได้กระทำเอาไว้ และคนที่จะได้รับความสำเร็จในวันนั้น คือ คนที่ขัดเกลาตนเอง และคนที่จิตใจของเขาอยู่กับอัลลอฮ ตลอดเวลา
ดังที่อัลลอฮ ได้ตรัสไว้ใน ซูเราะห์ อัลอะอลา: 1417-ว่า
قَدۡ أَفۡلَحَ مَن تَزَكَّىٰ
“แน่นอนผู้ที่ขัดเกลาตนเอง ย่อมบรรลุความสำเร็จ”
وَذَكَرَ ٱسۡمَ رَبِّهِۦ فَصَلَّىٰ
“และเขารำลึกถึงพระนามแห่งพระเจ้าของเขา แล้วเขาทำละหมาด”
بَلۡ تُؤۡثِرُونَ ٱلۡحَيَوٰةَ ٱلدُّنۡيَا
“หามิได้ แต่พวกเจ้าเลือกเอาการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่างหาก”
وَٱلۡأٓخِرَةُ خَيۡرٞ وَأَبۡقَىٰٓ
“ทั้ง ๆ ที่ปรโลกนั้นดีกว่าและจีรังกว่า”
ท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏ็อบ ได้ถามอุบัยย์ ถึงความหมายของตักวาว่า อะไรคือความยำเกรงที่เราต้องมีต่ออัลลอฮ์
อุบัยย์ ถามอุมัรกลับไปว่า “หากท่านต้องเดินผ่านทางที่เต็มไปด้วยหนามท่านจะทำเช่นไร”
อุมัรตอบว่า “ฉันก็จะตื่นตัวและระแวดระวัง”
อุบัยย์จึงตอบว่า “เช่นนั้นแหละคือตักวา (ความยำเกรง)”
เฉกเช่นเดียวกันกับการใช้ชีวิตในดุนยานี้ ที่เราต้องมีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ให้มาก ต้องมีความระแวดระวังจากทุกสิ่งที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตและในทุกๆการกระทำของเรา จงใช้ความตักวานำพาตัวเราเดินไปในดุนยานี้ให้รอดปลอดภัยจนกว่าเราจะได้เข้าสรวงสวรรค์ของพระองค์
ชีวิตของผู้ศรัทธาบนโลกดุนยานี้ ไม่มีคำว่าสบาย หากคนใดคิดว่าเขาต้องการชีวิตที่แสนสบายบนโลกดุนยานี้แล้ว แปลว่าหัวใจของเขานั้นยังไม่เกิดศรัทธา เพราะสำหรับผู้ศรัทธา เขาจะสุขสบายได้ก็ต่อเมื่อเท้าของเขาได้ก้าวเข้าไปในสวรรค์ของอัลลอฮ์
“จงยำเกรงต่ออัลลอฮอย่างแท้จริง”
“จงเชื่อฟังอัลลอฮ อย่าได้ดื้อดึง จงรำลึกถึงอัลลอฮ อย่าได้ลืมพระองค์ และจงขอบคุณอัลลอฮ อย่าได้เป็นผู้ปฏิเสธ”
อัลลอฮ์ ตรัสไว้ในอัลกุรอ่านซูเราะห์ [นิซาฮ์ : 36] ว่า
وَٱعْبُدُوا۟ ٱللَّهَ وَلَا تُشْرِكُوا۟ بِهِۦ شَيْـًۭٔا
“และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์”
และใครที่มีภาคีต่ออัลลอฮ์ พระองค์จะห้ามเขาไม่ให้เข้าสรวงสวรรค์ของพระองค์ และพระองค์จะเตรียมไฟนรกไว้ให้กับเขาในวันกิยามะฮฺ
“ขอให้พวกเรายืนหยัดอยู่ในศาสนาของอัลลอฮ และขอให้เราตั้งมั่นอยู่ในซุนนะห์ของร่อซูล ﷺ”
นบี ﷺ กล่าวว่า
"ใครก็ตามที่ปฏิบัติกิจการใดกิจการหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้สั่งใช้ ดังนั้นกิจการนั้นจะถูกปฏิเสธ"
(บันทึกโดยมุสลิม)
ท่านร่อซูล ﷺ ได้กล่าวในวันฮัจญ์อำลา ว่า
اتَّقوا اللَّهَ ربَّكم وصلُّوا خمسَكم وصوموا شَهرَكم وأدُّوا زَكاةَ أموالِكم وأطيعوا ذا أمرِكم تدخلوا جنَّةَ ربِّكُم
“จงเคารพภักดีพระเจ้าของพวกท่าน จงละหมาด 5 เวลาของพวกท่าน จงถือศีลอดในเดือนของพวกท่าน (รอมฏอน)
จงชำระซะกาตทรัพย์สินของพวกท่าน และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำของพวกท่าน
แล้วพวกท่านจะได้เข้าสวรรค์ของพระเจ้าของพวกท่าน”
(บันทึกโดย อะหฺมัด อัตติรมีซีย์ อัลฮากิม และอิบนุฮิบบาน)
หากเรานั้นมีความยำเกรงต่ออัลลอฮ ก็จงรักษาเสาหลักของศาสนา นั่นคือ การละหมาด เพราะสิ่งแรกที่มนุษย์จะถูกสอบถามในวันกิยามะฮฺ นั้นก็คือ การละหมาด
ท่านร่อซูล ﷺ ได้กล่าวว่า
«إِنَّ الْعَهْدَ الَّذِي بَيْنَنَا وَبَيْنَهُمُ الصَّلَاةُ، فَمَنْ تَرَكَهَا فَقَدْ كَفَرَ
"แท้จริงพันธสัญญาระหว่างเรากับพวกเขาคือ การละหมาด ดังนั้นใครก็ตามที่ละทิ้งมัน แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธา"
(บันทึกโดย ติรมีซีย์ อิบนุมาญะ อะหมัด)
ในวันที่เราจากโลกนี้ไป เราไม่มีอะไรติดตัวไปได้เลยนอกจากความดีที่เราได้กระทำไว้ ดังนั้น จงทำความดีไว้ให้มากๆ จงละหมาด จงถือศีลอด อ่านกุรอ่าน และทำซอดอเกาะฮ
«الصِّيَامُ وَالْقُرْآنُ يَشْفَعَانِ لِلْعَبْدِ يَوْمَ الْقِيَامَةِ، يَقُولُ الصِّيَامُ : أَيْ رَبِّ مَنَعْتُهُ الطَّعَامَ وَالشَّهَوَاتِ بِالنَّهَارِ، فَشَفِّعْنِي فِيهِ، وَيَقُولُ الْقُرْآنُ : مَنَعْتُهُ النَّوْمَ بِاللَّيْلِ فَشَفِّعْنِي فِيهِ»، قَالَ : «فَيُشَفَّعَانِ
ท่านรอซูล ﷺ ได้กล่าวว่า
“การถือศีลอดและอัลกุรอานนั้นจะมาให้ความช่วยเหลือแก่บ่าวในวันกิยามะฮฺ
การถือศีลอดจะพูดว่า ‘โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า ข้าได้สกัดกั้นเขาจากอาหารและการสนองความใคร่ในยามกลางวัน ดังนั้นได้โปรดให้ข้าช่วยเหลือเขาด้วยเถิด’
อัลกุรอานก็จะพูดว่า ‘โอ้ผู้อภิบาลแห่งข้า ข้าได้สกัดกั้นเขาจากการหลับนอนในยามค่ำคืน ดังนั้นได้โปรดให้ข้าช่วยเหลือเขาด้วยเถิด’
แล้วทั้งสองก็ได้รับอนุญาตเพื่อให้ความช่วยเหลือ”
(บันทึก โดย อะหฺมัด ดู เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ ของ อัล-อัลบานีย์ เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
ท่านอิบนุ มัสอู๊ด กล่าวว่า “คนไม่ละหมาดคือ คนไม่มีศาสนา”
ท่านนบี ﷺ ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องละหมาด ไว้ว่า
مَنْ حافظ عليها ؛ كانتْ له نورًا وبُرهانًا ونَجاةً يومَ القيامةِ ، ومَنْ لم يُحافِظْ عليها ؛ لم تَكُنْ له نورًا ولا بُرهانًا ولا نَجاةً ، وكان يومَ القيامةِ مع قارونَ وفِرعونَ وهامانَ وأُبَيِّ بنِ خَلَفٍ
“ใครที่ปฏิบัติละหมาดอย่างครบถ้วน ละหมาดจะเป็นรัศมีให้แก่เขา เป็นพยานให้แก่เขา และให้เขาปลอดภัยจากไฟนรกในวันกิยามะฮฺ
ถ้าใครไม่ละหมาด ละหมาดก็จะไม่เป็นรัศมีให้แก่เขา ไม่เป็นพยานให้ ไม่ปกป้องเขาให้พ้นจากไฟนรก และเขาจะอยู่ในนรกกับ กอรูน ฟิรเอาน์ ฮามาน และอุบัยลูกคอลัฟ”
และท่านนบี ﷺ ได้กล่าวสั่งเสียเอาไว้ว่า
“จง (ดำรง) ละหมาด จง (ดำรง) ละหมาด และจงยำเกรงอัลลอฮฺ ในสิ่งที่พวกท่านครองครอง
เพราะทุกสิ่งนั้นจะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ”
มีรายงานจากท่านฏอลละฮฺ อิบนิ อุบัยดิลลาฮฺ แจ้งว่า “มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวนัจญ์ดฺ ได้มายังท่านร่อซูล ﷺ ในสภาพที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง มาถามถึงอิสลาม
ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า “อิสลาม คือ การทำละหมาดในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งห้าเวลา”
ชายผู้นั้นถามท่านร่อซูลอีกว่า “และมีอย่างอื่นนอกจากละหมาดห้าเวลาอีกหรือไม่?”
ท่านร่อซูล ﷺ ตอบว่า “ไม่... ไม่มีละหมาดฟัรฎูอีกแล้ว นอกจากท่านจะละหมาดซุนนะฮฺ”
และท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า “นอกจากถือศีลอดเดือนรอมฎอน”
ชายผู้นั้นกล่าวแก่ท่านร่อซูลว่า “นอกจากถือศีลอดเดือนรอมฎอนแล้ว มีศีลอดฟัรฎูอื่นอีกหรือไม่?”
ท่านร่อซูล ﷺ ตอบว่า “ไม่มีถือศีลอดฟัรฎูอีกแล้ว นอกจากถือศีลอดซุนนะฮฺ”
และท่านร่อซูล ﷺ ก็กล่าวแก่ชายคนนั้นอีกว่า “และการชำระซะกาต”
ชายผู้นั้นถามว่า “นอกจากซะกาตที่เป็นฟัรฎูแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
ท่านร่อซูล ﷺ ตอบว่า “ไม่มี...นอกจากการบริจาคทานหรือการทำ ซอดาเกาะฮฺโดยสมัครใจ”
และท่านฎอลละฮฺ อิบนิ อุบัยดิลลาฮฺ กล่าวว่า แล้วชายผู้นั้นก็ผินหลังกลับพร้อมกับกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ฉันจะไม่ปฏิบัติสิ่งที่เป็นซุนนะฮฺและไม่ให้ลดหย่อนจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงกำหนดให้เป็นฟัรฎูแต่ประการใด”
ท่านร่อซูล ﷺ จึงกล่าวว่า “เขาจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากเขาพูดจริง”
*คำว่า “ความสำเร็จ” ในที่นี้หมายถึง “สวนสวรรค์”
บันทึกโดย อิมามทั้งหก(หมายถึง อิมามอัลบุคอรีย์ มุสลิม อัตติรมิซีย์ อบูดาวู๊ด อันนะซาอีย์ และอิบนิมาญะฮฺ)
ในวันอีดนี้ เราทุกคนแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์กันมาเป็นแรมเดือน บ้างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง แต่ ณ ที่อัลลอฮ นั้น คุณค่าของตัวเราไม่ได้อยู่ที่ภาพลักษณ์ภายนอก หรืออาภรณ์ที่สวมใส่ แต่คุณค่าของเราและเกียรติของเรา ณ ที่อัลลอฮ นั้น มาจากความยำเกรงของหัวใจและการปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์สั่งใช้ เมื่อใดที่หัวใจของเรามีอีหม่านและความยำเกรงอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเราจะมองเรื่องต่างๆในดุนยาเป็นเรื่องเล็กน้อย และจะตระหนักได้ว่าการแสวงหาความพึงพอใจจากมนุษย์นั้นไม่สามารถเทียบได้กับการได้รับความพึงพอใจ ณ ที่อัลลอฮ
ตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่มีศรัทธาแกร่งกล้าและมั่นคงต่ออัลลอคือ ท่านหญิงอาซียะห์ บินตุ มุซาฮิม ภรรยาของฟาโรห์แห่งอียิปต์ ที่นางยอมละทิ้งความสุขบนดุนยาทุกๆอย่าง และยอมรับการถูกทรมานจากฟาโรห์ผู้อธรรม เพียงเพื่อรักษาศรัทธามั่นของเธอที่มีต่ออัลลอฮ โดยที่นางได้ขอดุอาอต่ออัลลอฮ ว่า
رَبِّ ابْنِ لِي عِندَكَ بَيْتًا فِي الْجَنَّةِ وَنَجِّنِي مِن فِرْعَوْنَ وَعَمَلِهِ وَنَجِّنِي مِنَ الْقَوْمِ الظَّالِمِينَ
“ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ ขอพระองค์โปรดทรงสร้างบ้านหลังหนึ่งให้แก่ข้าฯ ณ ที่พระองค์ในสวนสวรรค์
และทรงโปรดช่วยข้าฯ ให้พ้นจากฟิรเอาน์และการกระทำของเขา และทรงโปรดช่วยข้าฯ ให้พ้นจากหมู่ชนผู้อธรรม”
(อัตตะหรีม 11)
ท่านร่อซูล ﷺ ยังได้กล่าวเปรียบเทียบถึงสภาพของผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนหลักการศาสนาในช่วงใกล้ถึงกาลอวสานว่าเสมือนผู้ที่กำถ่านไฟไว้ในมือ
«فَإِنَّ مِنْ وَرَائِكُمْ أَيَّامَ الصَّبْرِ، الصَّبْرُ فِيهِ مِثْلُ قَبْضٍ عَلَى الْجَمْرِ، لِلْعَامِلِ فِيهِمْ مِثْلُ أَجْرِ خَمْسِينَ رَجُلًا يَعْمَلُونَ مِثْلَ عَمَلِهِ» وَزَادَنِي غَيْرُهُ قَالَ : يَا رَسُولَ اللَّهِ أَجْرُ خَمْسِينَ مِنْهُمْ؟، قَالَ: «أَجْرُ خَمْسِينَ مِنْكُمْ
“แท้จริงหลังยุคของพวกท่านจะมีวันแห่งความอดทน ความอดทนในวันนั้นเสมือนกับการกำถ่านไฟ สำหรับผู้ที่กระทำความดีเขาจะได้รับภาคผลบุญเท่ากับห้าสิบคนที่ได้กระทำเหมือนกับเขา”
คนอื่นได้ถามเพิ่มเติมว่า “โอ้ท่านร่อซูล ﷺ ภาคผลบุญเท่ากับห้าสิบคนจากหมู่พวกเขาเองหรือ?”
ท่านร่อซูล ﷺ ตอบว่า “ภาคผลบุญเท่ากับห้าสิบคนจากหมู่พวกท่าน(เศาะหาบะฮฺ)”
(ส่วนหนึ่งจากหะดีษของอบู ดาวูด)
ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า
«بَدَأَ الإِسْلاَمُ غَرِيبًا وَسَيَعُودُ كَمَا بَدَأَ غَرِيبًا فَطُوبَى لِلْغُرَبَاءِ»
“อิสลามได้เริ่มต้นอย่างคนแปลกหน้า และจะกลับไปอย่างคนแปลกหน้าเสมือนที่เริ่มต้น ดังนั้นความดีงามอันมากมายจะได้รับแก่บรรดาคนแปลกหน้า”
(เศาะฮีหฺ มุสลิม)
มีผู้ถามว่า : "โอ้ ร่อซูลุ้ลลอฮฺครับ ใครกันหรือคือคนแปลกหน้า?"
ท่านร่อซูล ﷺ ได้ตอบว่า
«أُنَاسٌ صَالِحُونَ فِي أُنَاسِ سُوءٍ كَثِيرٍ، مَنْ يَعْصِيهِمْ أَكْثَرُ مِمَّنْ يُطِيعُهُمْ»
“พวกเขาคือกลุ่มคนที่ดีซึ่งใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มคนชั่วจำนวนมาก จำนวนคนที่ปฏิเสธพวกเขามีมากกว่าคนที่เชื่อฟัง”
(มุสนัดอิมามอะหฺมัด)
มีหะดีษที่รายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านร่อซูล ﷺ ได้กล่าวว่า
( بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ فِتَنًا كَقِطَعِ اللَّيْلِ الْمُظْلِمِ يُصْبِحُ الرَّجُلُ مُؤْمِنًا وَيُمْسِي كَافِرًا أَوْ يُمْسِي مُؤْمِنًا وَيُصْبِحُ كَافِرًا يَبِيعُ دِينَهُ بِعَرَضٍ مِنْ الدُّنْيَ)
“พวกท่านทั้งหลายจงพยายามเร่งกระทำสิ่งที่เป็นคุณธรรมความดี ก่อนที่จะมีฟิตนะฮฺ หรือความยากลำบากในชีวิตของพวกท่าน ซึ่งเปรียบเสมือนความมืดที่จะมายังพวกท่าน
แล้วคนหนึ่งจะอยู่ในยามเช้าในสภาพที่มีอีหม่าน แต่เมื่อตกเย็นเขาจะกลายเป็นกาฟิร เป็นผู้เนรคุณหรือปฏิเสธ
และคนหนึ่งที่ตอนกลางคืนเป็นมุอ์มิน แต่เมื่อถึงยามเช้าแล้วเขาจะกลายเป็นกาฟิร คนเหล่านี้จะขายศาสนาของเขาด้วยสิ่งที่ไม่มีคุณค่าในโลกนี้”
(บันทึกโดย อีมามมุสลิม)
ในยุคสมัยสังคมปัจจุบันนี้ มีความชั่ว ความผิดบาปมากมายที่ถูกกระทำกันได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็น สมรสเท่าเทียม กัญชาเสรี วงดนตรีมุสลิม และยังมีมุสลิมมากมายที่ยอมกระทำในสิ่งที่ผิดบาปต่อหลักการศาสนา เพียงเพื่อแลกกับผลตอบแทนเป็นเงินทองเพียงเล็กน้อย ฉะนั้นเราต้องหันกลับมาตรวจสอบตนเองกันได้แล้วว่า เราหรือคนในครอบครัวเรามีใครกำลังขายอีหม่าน ขายศาสนาของอัลลอฮ ให้กับดุนยานี้อยู่หรือไม่
อัลลอฮ ได้ตรัสไว้ว่า
وَلَا تُطِعْ مَنْ أَغْفَلْنَا قَلْبَهُۥ عَن ذِكْرِنَا وَٱتَّبَعَ هَوَىٰهُ وَكَانَ أَمْرُهُۥ فُرُطًۭا
“และเจ้าอย่าเชื่อฟังผู้ที่เราทำให้หัวใจของเขาละเลยจากการรำลึกถึงเรา และปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา และกิจการของเขาพินาศสูญหาย”
[กะฟิร: 28]
จากท่านอบูฮุรัยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า :"
لَمَّا خَلَقَ اللَّهُ الْجَنَّةَ وَالنَّارَ أَرْسَلَ جِبْرِيلَ عَلَيْهِ السَّلَامُ إِلَى الْجَنَّةِ، فَقَالَ: انْظُرْ إِلَيْهَا وَإِلَى مَا أَعْدَدْتُ لِأَهْلِهَا فِيهَا. فَنَظَرَ إِلَيْهَا فَرَجَعَ، فَقَالَ: وَعِزَّتِكَ لَا يَسْمَعُ بِهَا أَحَدٌ إِلَّا دَخَلَهَا. فَأَمَرَ بِهَا فَحُفَّتْ بِالْمَكَارِهِ، فَقَالَ: اذْهَبْ إِلَيْهَا فَانْظُرْ إِلَيْهَا وَإِلَى مَا أَعْدَدْتُ لِأَهْلِهَا فِيهَا. فَنَظَرَ إِلَيْهَا، فَإِذَا هِيَ قَدْ حُفَّتْ بِالْمَكَارِهِ، فَقَالَ: وَعِزَّتِكَ لَقَدْ خَشِيتُ أَنْ لَا يَدْخُلَهَا أَحَدٌ. قَالَ: اذْهَبْ فَانْظُرْ إِلَى النَّارِ وَإِلَى مَا أَعْدَدْتُ لِأَهْلِهَا فِيهَا. فَنَظَرَ إِلَيْهَا فَإِذَا هِيَ يَرْكَبُ بَعْضُهَا بَعْضًا، فَرَجَعَ فَقَالَ: وَعِزَّتِكَ لَا يَدْخُلُهَا أَحَدٌ. فَأَمَرَ بِهَا فَحُفَّتْ بِالشَّهَوَاتِ، فَقَالَ: ارْجِعْ فَانْظُرْ إِلَيْهَا. فَنَظَرَ إِلَيْهَا فَإِذَا هِيَ قَدْ حُفَّتْ بِالشَّهَوَاتِ، فَرَجَعَ وَقَالَ: وَعِزَّتِكَ لَقَدْ خَشِيتُ أَنْ لَا يَنْجُوَ مِنْهَا أَحَدٌ إِلَّا دَخَلَهَا».
หลังจากอัลลอฮ สร้างสวรรค์และนรก พระองค์ได้ส่งมลาอิกะฮ์ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ไปยังสวรรค์
โดยกล่าวว่า “จงดูมันและสิ่งที่เราได้เตรียมไว้สำหรับผู้ที่จะอยู่ในมัน”
ดังนั้น เขาจึงไปและมองดูมันและดูสิ่งที่อัลลอฮ์ได้เตรียมไว้ในนั้น
เขากล่าวว่า “ด้วยเกียรติของพระองค์ จะไม่มีผู้ใดได้ยินเรื่องนี้เว้นแต่เขาจะเข้าไปในนั้น”
จากนั้นพระองค์ทรงสั่งให้มันล้อมรอบด้วยความยากลำบาก
พระองค์ตรัสว่า “จงกลับไปดูมันและพิจารณาสิ่งที่เราได้เตรียมไว้สำหรับผู้ที่จะอยู่ในนั้น”
ดังนั้น เขาจึงกลับไปที่นั่นและพบว่ามันเต็มไปด้วยความยากลำบาก
เขากลับมา และกล่าวว่า “ด้วยเกียรติของพระองค์ ฉันเกรงว่า จะไม่มีผู้ใดเข้าไปในนั้น”
พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจงไปที่นรกและมองดูมัน และดูสิ่งที่เราได้เตรียมไว้สำหรับผู้ที่จะอยู่ในนั้น”
ดังนั้นเมื่อเขามองดูมัน พบว่าส่วนหนึ่งกำลังขี่ทับบนอีกส่วน
จากนั้น เขากลับมาหาพระองค์ และกล่าวว่า: “ด้วยเกียรติของพระองค์ จะไม่มีผู้ใดเข้าไปในนั้น”
จากนั้นพระองค์ทรงสั่งให้มันล้อมรอบด้วยตัณหา แล้วพระองค์ตรัสว่า “จงกลับไปดูมัน”
เขาก็กลับไปดูมันอีกครั้ง และมันก็ถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องความอยาก ตัณหา
แล้วกล่าวว่า “ด้วยเกียรติของพระองค์ ฉันเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดรอดพ้นจากมัน เว้นแต่เขาจะเข้าไปในนั้น"
[หะซัน] [สุนันอบีดาวูด )
อีมามอันนะวะวีย์ บอกว่า “เราจะไปไม่ถึงสวรรค์ ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮ และเมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยให้ตัวเองคล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ เมื่อนั้นแหละ มันจะนำพาเราเข้าสู่นรกของอัลลอฮ์