การซื้อขายอาวุธ ของซาอุดิอาระเบีย
  จำนวนคนเข้าชม  104

การซื้อขายอาวุธ ของซาอุดิอาระเบีย

 

เรียบเรียงโดย  อิสมาอีล   กอเซ็ม 

 

         ประเด็นที่สำคัญและซับซ้อนในด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมุสลิมกับชาติมหาอำนาจที่มีจุดยืนขัดแย้งกับผลประโยชน์หรือหลักการของประชาชนมุสลิม เช่น กรณีของซาอุดีอาระเบียกับสหรัฐอเมริกา พื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ กับอเมริกา 

 

          ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ มานานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะด้าน พลังงานและความมั่นคงสหรัฐฯ ได้อาศัยน้ำมันจากซาอุฯ เป็นแหล่งพลังงานสำคัญ และในทางกลับกัน ซาอุฯ ก็ได้รับอาวุธและการสนับสนุนด้านความมั่นคงจากอเมริกา - ความสัมพันธ์นี้เป็น ประโยชน์ร่วม ทางเศรษฐกิจ การทหาร และภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในบริบทของตะวันออกกลาง 

 

 

ปัญหาที่นำมาสู่คำวิจารณ์

 

         แม้ซาอุฯ เป็นประเทศผู้นำในโลกมุสลิม แต่การรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอเมริกา ซึ่ง สนับสนุนอิสราเอล    ทั้งด้านการทูต การทหาร และงบประมาณ ทำให้ซาอุฯ ถูกวิจารณ์ว่า เพิกเฉยต่อความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสไตน์ - นักวิจารณ์บางฝ่ายมองว่าเป็นการ ละเมิดหลักการอิสลาม ที่ควรยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและการช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่ถูกกดขี่

 

 

เหตุผลทางการเมือง

 

        ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางมักต้อง รักษาสมดุลระหว่างหลักการกับผลประโยชน์ของรัฐ    เช่น ความมั่นคงจากภัยคุกคามของอิหร่าน กลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ หรือเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ  บางกรณี รัฐบาลเลือกที่จะดำเนินการทางการทูตหรือความร่วมมือในลักษณะ ผลประโยชน์สูงสุดของชาติ แม้จะต้องแลกกับความไม่พอใจของประชาชนในบางเรื่อง 

 

 

 มุมมองอิสลามและเสียงจากประชาชน 

 

          จากมุมมองของอิสลาม การสนับสนุนหรือร่วมมือกับผู้ที่ **ทำร้ายมุสลิม** ถือเป็นเรื่องต้องพิจารณาอย่างหนัก และนักวิชาการบางท่านเช่น ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ์ ได้วางหลักเกี่ยวกับ **วะลาอ์ (ความจงรักภักดี) และบะรออ์ (การปฏิเสธ)** ไว้อย่างชัดเจน - 

         เสียงของประชาชนมุสลิมจำนวนมากจึงเรียกร้องให้ประเทศผู้นำในโลกมุสลิม ทบทวนความสัมพันธ์เหล่านี้ และดำเนินการที่ชัดเจนมากขึ้นในการสนับสนุนปาเลสไตน์  

 

 

สรุป: 

 

        กรณีของซาอุฯ กับอเมริกาเป็นตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่าง หลักการทางศาสนากับ นโยบายของรัฐในโลกแห่งความเป็นจริง** การตัดสินจึงต้องพิจารณาทั้งบริบททางการเมือง ความมั่นคง และผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีเสียงวิจารณ์โดยเฉพาะในบริบทของอุมมะฮ์มุสลิมที่ต้องการความเป็นหนึ่งเดียวและยืนหยัดเพื่อผู้ถูกกดขี่ 

 

         สิ่งที่กล่าวมานั้นมีน้ำหนักมากในเชิง ภูมิรัฐศาสตร์ (الجغرافيا السياسية) และ หลักการปกครองระดับรัฐ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า การเมืองระหว่างประเทศ ไม่ได้ดำเนินไปด้วยอารมณ์หรือศรัทธาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึง ความมั่นคง ความอยู่รอด และดุลอำนาจ ด้วย

 

1. การเมืองคือการรักษาสมดุลของอำนาจและเศรษฐกิจ

 

       ใช่ครับ นี่คือหลักพื้นฐานของรัฐชาติยุคใหม่ ซาอุฯ ไม่สามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้โดยปราศจากการ วางหมากในกระดานระหว่างประเทศ

        ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเช่นสหรัฐฯ ทำให้ซาอุฯ ได้ ร่มคุ้มกันทางการทูต การทหาร และเทคโนโลยี ในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เช่น อิหร่าน เยเมน ซีเรีย

 

2. ความมั่นคงของซาอุฯ คือความมั่นคงของโลกมุสลิม

 

        ซาอุฯ เป็นที่ตั้งของ สองมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ (ฮะรอมในมักกะฮ์ และนะบะวีย์ในมะดีนะฮ์) ทำให้มีสถานะเชิง ศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของมุสลิมทั่วโลก

        การที่ซาอุฯ ยังคงมีเสถียรภาพ หมายถึงการ รักษาสัญลักษณ์แห่งเอกภาพของอุมมะฮ์ และการคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

         หากซาอุฯ อ่อนแอหรือเกิดสงคราม ความเสียหายจะ สะเทือนถึงประเทศมุสลิมทั่วทั้งภูมิภาค ทั้งในด้านศาสนา เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่น

 

3. กลยุทธ์ของซาอุฯ: ความสัมพันธ์ที่มีขอบเขต

 

        ซาอุฯ อาจมีสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แต่ในหลายกรณีก็พยายามแสดงท่าที เป็นกลางหรือยับยั้งความร่วมมือบางด้าน เช่น การไม่ร่วมลงนามในข้อตกลงบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล

          ในช่วงหลัง ซาอุฯ ยังเริ่มเปิดความสัมพันธ์กับจีน รัสเซีย และกลุ่ม BRICS ซึ่งถือเป็นความพยายามใน การถ่วงดุลอำนาจของตะวันตก

 

 

         หลายคนเข้าใจผิดว่าการที่ซาอุซื้ออาวุธจากอเมริกา เหมือนเป็นการจ่ายส่วยแก่อเมริกา ประเด็นนี้สะท้อนความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อยในหมู่ประชาชนทั่วไป คือการมองว่าการที่ซาอุดีอาระเบียซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เท่ากับ “จ่ายส่วย” หรือ “ถูกกดขี่” ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มีมิติที่ลึกซึ้งกว่ามาก โดยเฉพาะในด้านยุทธศาสตร์ ความมั่นคง และดุลอำนาจในภูมิภาค

 

1. ซาอุฯ ซื้ออาวุธเพื่อรักษาความมั่นคง ไม่ใช่เพราะกลัวอเมริกา

 

          ซาอุดีอาระเบียมีศัตรูสำคัญในภูมิภาค เช่น อิหร่าน ที่มีบทบาททางการทหารและการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในเยเมน เลบานอน ซีเรีย และอิรัก เพื่อรับมือกับภัยคุกคามโดยตรงจากอิหร่านและเครือข่าย ซาอุฯ จำเป็นต้องมีระบบอาวุธที่ทันสมัย ทั้งด้านการป้องกันทางอากาศ โดรน ระบบเรดาร์ และอาวุธจู่โจมที่แม่นยำ

         สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถขายอาวุธเหล่านี้ในปริมาณมากและพร้อมให้การฝึกและสนับสนุนทางเทคนิค ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานจริง

 

2. ไม่ใช่ “ส่วย” แต่คือข้อตกลงทางการค้าและยุทธศาสตร์

 

         การซื้อขายอาวุธเป็น ข้อตกลงระหว่างรัฐ ที่มีทั้งผลประโยชน์และเงื่อนไข โดยซาอุฯ เป็น “ลูกค้ารายใหญ่” รายหนึ่งของอุตสาหกรรมทหารอเมริกัน มีการต่อรอง มีสัญญา มีการเลือกใช้เทคโนโลยี และในหลายกรณี ซาอุฯ ยัง ลงทุนในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในประเทศ (เช่น السعودية للصناعات العسكرية - SAMI) ซึ่งชี้ว่าไม่ได้พึ่งพิงอเมริกาโดยสิ้นเชิง

 

3. อเมริกาเองก็มีผลประโยชน์

 

         สหรัฐฯ ต้องการให้พันธมิตรในตะวันออกกลางมีศักยภาพในการ “จัดการตนเอง” กับภัยคุกคามในภูมิภาค โดยที่ ไม่ต้องส่งกองกำลังตนเองเข้าไปมากเกินไป

         ซาอุฯ จึงกลายเป็น “กำแพงป้องกันแรก” ของผลประโยชน์ตะวันตกในอ่าวอาหรับ — อเมริกาได้ประโยชน์ ซาอุฯ ก็ได้อาวุธทันสมัย

 

4. ซาอุฯ เองก็หลากหลายช่องทาง ไม่ได้พึ่งอเมริกาเท่านั้น

 

        ในช่วงหลัง ซาอุฯ เริ่มหันไปเจรจากับ จีน ฝรั่งเศส และรัสเซีย ในการจัดหาอาวุธบางประเภท นี่คือการ ถ่วงดุลอำนาจและกระจายความเสี่ยง ไม่ให้ผูกขาดกับชาติมหาอำนาจประเทศเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ซาอุฯ มีอธิปไตยในการตัดสินใจ

 

 

สรุป

 

         การซื้ออาวุธของซาอุฯ จากอเมริกา ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ หรือกลัวอเมริกา แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ตอบสนองต่อ ภัยคุกคามในภูมิภาค ความต้องการป้องกันประเทศ และการรักษาดุลอำนาจ โดยซาอุฯ ยังคงมีบทบาทเป็นผู้นำที่มีอำนาจตัดสินใจและวางยุทธศาสตร์อย่างมีเหตุผล ไม่ได้เป็นรัฐที่ไร้อำนาจหรือถูกควบคุม

       และในทางตรงกับข้ามซาอุได้เปรียบดุลการค้า ในการทำการค้ากับอเมริกา  ดังการรายงานเรื่องนี้  

         ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับ ซาอุดีอาระเบียนั้น โดยทั่วไปแล้ว สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายขาดดุลการค้า กับซาอุดีอาระเบีย กล่าวคือ ซาอุดีอาระเบียได้เปรียบดุลการค้า ตัวเลขโดยประมาณ (ก่อนปี 2024) (อ้างอิงจาก U.S. Census Bureau และแหล่งข้อมูลระหว่างประเทศ)

 

สินค้านำเข้าของสหรัฐฯ จากซาอุฯ : มูลค่าประมาณ 10-15 พันล้านดอลลาร์/ปี (บางปีอาจสูงกว่านั้น)

สินค้าหลัก : น้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี

 

สินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังซาอุฯ : มูลค่าประมาณ 8-12 พันล้านดอลลาร์/ปี

สินค้าหลัก : อาวุธยุทโธปกรณ์,เครื่องบิน (Boeing),เครื่องจักรกล อะไหล่ยานยนต์,ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี

 

สรุปดุลการค้า : สหรัฐฯ มักขาดดุลการค้ากับซาอุฯ โดยเฉพาะในช่วงราคาน้ำมันสูง

ตัวอย่างเช่น : ปีหนึ่ง สหรัฐฯ ส่งออกไปซาอุฯ $11 พันล้าน แต่นำเข้าจากซาอุฯ $14 พันล้าน = ขาดดุล  ราว $3 พันล้าน