ความแตกต่างระหว่างกลุ่มภราดรภาพมุสลิมกับกลุ่มสะลาฟีย์
เรียบเรียง โดย อิสมาอีล กอเซ็ม
การเปรียบเทียบแนวทางของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมกับกลุ่มสะลาฟีย์: ในมิติของการเผยแผ่และจุดยืนทางศาสนาแนวทางของกลุ่มสะลาฟีย์ กลุ่มสะลาฟีย์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของหลักความเชื่อเป็นประการแรก เพราะหลักความเชื่อคือรากฐานของศาสนา โดยเฉพาะการยึดมั่นในหลักเตาฮีด (เอกภาพของอัลลอฮ์) อันเป็นรากฐานสำคัญของศาสนาอิสลาม
แนวทางของกลุ่มนี้มุ่งเน้นการเผยแผ่ศาสนาโดยให้ความเข้าใจของผู้คนในเรื่องอากีดะฮ์ การชี้แจงเรื่องบิดอะฮ์ ไม่นิ่งเฉยกับบิดอะฮ์ที่เกิดขึ้นในสังคม (สิ่งอุตริกรรมในศาสนา) และการชี้แจงภัยอันตราย ของการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ในทุกรูปแบบต่างๆ แนวทางดังกล่าวตั้งอยู่บนหลักฐานจาก อัลกุรอานและ สุนนะฮ์โดยเอาความเข้าใจของบรรพชนผู้ทรงธรรม (อะสะ-สะลัฟ อัศ-ศอลิหฺ)
กลุ่มสะลาฟีย์ยังให้ความสำคัญกับการยึดมั่นตามคำอธิบายของนักวิชาการผู้ดำรงแนวทางสะลัฟ และเห็นว่าการทำความเข้าใจในหลักความเชื่อที่ถูกต้องจำเป็นต้องมาก่อน กิจกรรมทางการเมืองหรือสังคม ในด้านจุดยืนต่อผู้ปกครอง กลุ่มสะลาฟีย์ มีแนวทางที่ชัดเจนในการห้ามประชาชนลุกฮือล้มล้างผู้ปกครอง แม้จะมีความอธรรม ตราบใดที่ผู้ปกครองยังคงอยู่ในอิสลาม
เนื่องจาก คำพูดของท่านเราะสูลุลลอฮ ﷺ ที่ว่า: "จงฟังและเชื่อฟัง แม้ว่าเขาจะเป็นทาสผิวดำที่ปกครองพวกท่าน..."
ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าการลุกฮือล้มอำนาจ จะนำไปสู่ความวุ่นวาย ฟิตนะฮ์ และผลเสียต่อประชาคมมุสลิมโดยรวม ตัวอย่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น เหตุการณ์ในอดีต การลุกอื้อต่อต้าน ท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน รอฎิยัลลอฮู อันฮู เนื่องจากมีผู้คนปลุกระดม นำข้อผิดพลาดของผู้นำมาสร้างความชอบธรรมในการขับไล่ผู้นำ เพียงเพื่อต้องการนำตัวเองเข้าสู่อำนาจ
ผลปวงจากล้มผู้นำ นำไปสู่ความแตกแยก และเกิดแนวคิดกลุ่มที่ออกจากอะลุซซุนนะห์ในเวลาต่อมา ก็คือกลุ่มคอวาริจญ์ และกลุ่มชีฮะห์ และอีกมากมายจากกลุ่มที่หลงผิด
และเหตุการณ์ร่วมสมัยในยุคของเรา การโค่นล้มผู้นำอย่างซัดดัม ฮุสเซน ที่เป็นผู้นำที่อธรรมต่อประชาชน กรณีของซัดดัมแม้จะเป็นผู้นำที่ไม่ดี แต่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย คือได้ผู้นำที่เลวร้ายกว่า และทำให้อิรัคไม่มีความสงบ และมีสงครามกลางเมืองอันยาวนาน ซึ่งเลวร้ายกว่ายุคของซัดดัมอุสเซน
เช่นเดียวกันการโค่นล้ม มุอัมมัร กัดดาฟี (ลิเบีย),และ บัชชัร อัลอะซัด (ซีเรีย) และ ฮุสนี มูบาร็อก (อียิปต์) ซึ่งล้วนส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นเผชิญภาวะสงครามกลางเมือง ความแตกแยกทางศาสนา และความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในระดับสูง เกิดการนองเลือดและสูญเสียอย่างมากมาย
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย แสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มผู้นำหรือรัฐบาลโดยไม่อิงกับหลักการและแนวทางที่ถูกต้องในศาสนา มักนำไปสู่ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นในด้านชีวิต ทรัพย์สิน ตลอดจนการแตกแยกและความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างในสังคม จนส่งผลให้เกิดความวุ่นวายทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะเมื่อการเคลื่อนไหวเหล่านั้นขาดความรู้ในหลักศาสนา และใช้แนวคิดแบบปฏิวัติ (الثورية) มากกว่าการปฏิรูปตามแนวทางของนักวิชาการ
ภราดรภาพมุสลิม (อัล-อิควานุลมุสลีมีน) มุ่งเน้นที่การ สร้างรัฐอิสลาม และ ปฏิรูปสังคม โดยผ่านการอบรม การจัดตั้งองค์กร และการเมือง ใช้แนวทางการเคลื่อนไหว และ การจัดองค์กรเพื่อเผยแพร่แนวคิด สนับสนุน การเมืองและการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งหรือรัฐสภา ให้ความสำคัญกับ ความเป็นองค์รวมของอิสลาม(การเมือง เศรษฐกิจ สังคม)
จุดยืนต่อการเมือง
สะลาฟีย์ :- โดยทั่วไป ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยเฉพาะสายสะลาฟีย์วิชาการหรือเชครอเบียะห์อีลมัดคะลีย์ เน้นเรื่อง การเชื่อฟังผู้นำ และห้ามลุกขึ้นต่อต้าน
ภราดรภาพมุสลิม :- มองว่า การเมืองคือส่วนหนึ่งของศาสนา และต้องปฏิรูปการปกครองเพื่อนำไปสู่รัฐอิสลาม เข้าร่วมการเมืองอย่างจริงจัง และมีบทบาทในการเลือกตั้ง และสามารถใช้กลไกประชาธิปไตยขึ้นสู่อำนาจได้
การจัดตั้งองค์กร
สะลาฟีย์ : ไม่สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มแบบลับ ๆ หรือมีโครงสร้างองค์กร คัดค้านการจัดตั้งกลุ่มที่มีการให้สัตยาบันหรือภักดีต่อผู้นำกลุ่มนอกเหนือจากรัฐ
ภราดรภาพมุสลิม :- มีองค์กรในระดับโลกมีผู้นำสูงสุด และโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน มีระบบ การปฏิญาณตนและให้สัตยาบันในการเชื่อฟังผู้นำสูงสุดของกลุ่มอิควาน
จุดยืนของสะลัฟฟีย์ต่ออิควาน :
การวิพากษ์ในด้านอากีดะฮ์และแนวทางการดาอ์วะฮ์
1. การวิพากษ์ในด้านอากีดะฮ์ (หลักความเชื่อ) นักวิชาการสะลัฟีย์จำนวนมากเห็นว่า กลุ่มอิควานไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังอากีดะฮ์ที่ถูกต้องตามแนวสะลัฟ และมักเพิกเฉยต่อการเตือนถึงอันตรายที่เกี่ยวกับบิดอะฮ์และชิริกที่แพร่หลายในสังคม
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวว่า: “ผู้ใดที่ให้ความสำคัญกับการรวบรวมผู้คนมากกว่าการสอนอากีดะฮ์ที่ถูกต้อง เขาจะจบลงด้วยการประนีประนอมกับบิดอะฮ์และความหลงผิด”
แม้คำกล่าวนี้เป็นของอิบนุตัยมียะฮ์ในยุคก่อนอิควาน แต่สะลาฟีย์มักนำมาอ้างถึงเพื่อชี้ให้เห็นแนวโน้มของอิควาน
โดยแนวทางของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม (อัล-อิควาน) มักให้ความสำคัญกับการสร้างเอกภาพในหมู่ประชาชนและการสมานฉันท์กับกลุ่มต่าง ๆ ภายในสังคม แม้ว่าบางครั้งจะนำไปสู่การร่วมมือหรือไม่ปฏิเสธการปฏิบัติที่ถือเป็นบิดอะฮ์ (สิ่งที่ถูกอุตริขึ้นในศาสนา) ก็ตาม
ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายในการขยายแนวร่วมและดึงมวลชนเข้าสู่ขบวนการของตน โดยมิได้ให้ความสำคัญลำดับต้น กับการชี้แจงหรือแก้ไขความคลาดเคลื่อนในหลักความเชื่อ (อากีดะฮ์) อย่างเพียงพอ
2. การวิพากษ์ในด้านแนวทางการดะอ์วะฮ์ กลุ่มสาลาฟีย์เห็นว่า แนวทางของอิควานเป็นแนวทางที่ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากเกินไป โดยละเลยการอบรมตนเองและการชี้แจงหลักการศาสนาในระดับพื้นฐาน
เชคอับดุลอะซีซ อิบนุ บาซ รอฮิมาอุลลอฮฺ เคยกล่าวไว้ว่า: “กลุ่มอิควานมีข้อผิดพลาดมากในด้านอากีดะฮ์... พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับการเตือนภัยต่อบิดอะฮ์และการชิริกเท่าที่ควร และพวกเขายังไม่ระวังในการรับคนจากกลุ่มอื่น ๆ เข้าสู่แนวทางของตนเอง โดยไม่คัดกรองเรื่องหลักความเชื่อ”
เช่นเดียวกับเชคมุฮัมมัด อามาน อัลญามี และเชครอบี อิบนุ ฮาดี อัลมัดคอลี ต่างกล่าวถึงอิควานว่าเป็น กลุ่มทางการเมืองที่อาศัยศาสนาเพื่อเข้าสู่อำนาจไม่ใช่กลุ่มที่มุ่งหวังการฟื้นฟูศาสนาตามแนวทางของสะลัฟ
3. การวิพากษ์ในด้านการลุกฮือล้มผู้นำ จุดยืนหนึ่งที่สลาฟีย์ยึดถืออย่างมั่นคงคือ การห้ามลุกฮือล้มผู้นำ (الخروج على الحاكم) ตราบใดที่ผู้นำยังไม่ตกจากศาสนาอิสลามอย่างชัดแจ้ง
ในขณะที่อิควานกลับมีแนวทางในการสนับสนุนการปฏิวัติ เช่น การมีส่วนร่วมในอาหรับสปริง การลุกฮือล้มฮุสนี มูบาร็อก และการใช้กลไกประชาธิปไตยเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจ และเห็นว่าการจับอาวุซึ่งสะลาฟีย์เห็นว่าก่อให้เกิดฟิตนะฮ์ และความเสียหายมากกว่าผลดี
4. การตัดสินว่า อิควานเป็นกลุ่มบิดอะฮ์หรือไม่ แม้จะมีความเห็นต่างระหว่างนักวิชาการสะลาฟีย์บ้างในรายละเอียด แต่โดยรวมแล้ว หลายท่านถือว่า กลุ่มอิควานเป็นกลุ่มที่มีแนวทางที่ผิดเพี้ยนและบิดฮะหลายๆอย่างในกลุ่มของพวกเขา และจำเป็นจะต้องมีการแจ้งข้อผิดพลาดที่มีในกลุ่มอิควานุลมุลีมีน