บทบาทในการรับใช้อิสลามและบรรดามุสลิมของซาอุดิอาระเบีย  
  จำนวนคนเข้าชม  63

บทบาทในการรับใช้อิสลามและบรรดามุสลิมของซาอุดิอาระเบีย  

 

เรียบเรียงโดย  อิสมาอีล  กอเซ็ม  

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก  

การใช้ข้ออ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ: 

 

กรณีศึกษาประวัติศาสตร์อิสลาม

 

         ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยเฉพาะในโลกอิสลาม หนึ่งในกลยุทธ์ที่กลุ่มผู้แสวงหาอำนาจนิยมใช้คือการอ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้มล้างอำนาจเดิม กลยุทธ์นี้ปรากฏในหลากหลายรูปแบบ เช่น การบิดเบือนข้อมูล การปลุกระดมประชาชน และการสร้างกระแสสังคมเพื่อต่อต้านผู้นำ 

 

          แม้ว่าข้อกล่าวหาบางประการอาจมีรากฐานจากข้อบกพร่องที่แท้จริงของผู้นำ แต่การนำไปขยายผลในลักษณะที่บั่นทอนเสถียรภาพของรัฐและเอกภาพของประชาคมมุสลิม กลับกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าจะเป็นความพยายามในการส่งเสริมความยุติธรรมอย่างแท้จริง

 

ประวัติศาสตร์อิสลาม: กรณีของท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)

 

          ยุคของท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน คอลีฟะฮ์องค์ที่สามของอิสลาม ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงกลไกของการใช้ข้ออ้างทางศีลธรรม และความยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มอำนาจ ผู้นำบางกลุ่มในขณะนั้นได้อ้างว่าท่านอุษมานบริหารราชการไม่โปร่งใส แต่งตั้งญาติเป็นผู้ว่าการ และใช้อำนาจในทางที่มิชอบ 

 

          ทั้งที่ในความเป็นจริง บุคคลหลายคนที่ท่านอุษมานแต่งตั้งนั้น เคยได้รับความไว้วางใจจากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และคอลีฟะฮ์ท่านก่อนหน้า เช่น มุอาวิยะฮ์ บิน อบีซุฟยาน ซึ่งเคยได้รับมอบหมายจากท่านอุมัร อิบนุค็อฏฏ็อบ ให้เป็นผู้ว่าการซีเรีย

 

          แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในหลายข้อกล่าวหา แต่การปลุกปั่นได้ถูกขยายผลไปยังเมืองต่างๆ เช่น กูฟะฮ์ อียิปต์ และบัศเราะฮ์ จนนำไปสู่การลอบสังหารท่านอุษมาน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ฟิตนะห์ใหญ่” (الفتنة الكبرى) ซึ่งทำให้กลุ่มมุสลิมเผชิญกับการแบ่งแยกอย่างรุนแรง

 

บทเรียนจากอดีต: อำนาจกับความชอบธรรมที่บิดเบือน

 

          การอ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำในหลายยุคสมัย ผู้ที่แสวงหาอำนาจมักอ้างหลักการเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่ในหลายกรณี เป้าหมายที่แท้จริงคือการขึ้นสู่อำนาจของตนเอง มิใช่ความเป็นธรรมของประชาชน การวิพากษ์ผู้นำในอิสลามสามารถทำได้หากมีหลักฐานชัดเจนและทำอย่างมีอาดับ (มารยาท) และด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ มิใช่เพื่อปลุกระดมให้เกิดความแตกแยก

 

     อัลกุรอานได้เตือนไว้อย่างชัดเจนในซูเราะฮฺ อัลหุญุรอต ว่า:

"โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! หากคนชั่วได้นำข่าวใดมายังพวกเจ้า จงตรวจสอบมันให้ดี..."

(อัลหุญุรอต 49:6)

 

กรณีร่วมสมัย: ซาอุดิอาระเบียในศูนย์กลางของการปลุกปั่น

 

          ในปัจจุบัน ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคือ มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ได้กลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่พยายามสร้างความเกลียดชังในหมู่มุสลิมทั่วโลก โดยใช้ข้ออ้างในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือเศรษฐกิจของซาอุฯ ว่าเป็นการละทิ้งอัตลักษณ์อิสลาม ทั้งที่ในความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นเรื่องของการบริหารจัดการภายในประเทศ และไม่กระทบต่อพันธกิจหลักของซาอุดิอาระเบียในการดูแลศาสนา

 

         แม้ซาอุดิอาระเบียจะมีพัฒนาการและการปรับเปลี่ยนนโยบายหลายด้านให้สอดคล้องกับยุคสมัย แต่ยังคงยืนหยัดในบทบาทการปกป้องและดูแลมัสญิดอัลหะรอมทั้งสอง, รวมถึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ให้บริการแก่แขกของอัลลอฮ์  อย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลผู้แสวงบุญ หรือการอำนวยความสะดวกต่างๆ

 

นอกจากนี้ ซาอุฯ ยังสนับสนุนโลกอิสลามอย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ เช่น:

♣ ทุนการศึกษาแก่นักเรียนมุสลิมทั่วโลก

♣ การแจกจ่ายอัลกุรอานไปยังหลายประเทศ

♣ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่สงครามหรือภัยพิบัติ

♣ การเผยแพร่ความรู้และการทำดะวะฮ์อย่างเป็นระบบ

 

        ด้วยเหตุนี้ ซาอุดิอาระเบียจึงมีความชอบธรรมโดยพฤตินัยและโดยจริยธรรม ในการดูแลหะรอมทั้งสอง และเป็นที่คาดหวังว่ามุสลิมทั่วโลกควรปกป้องบทบาทนี้จากการบ่อนทำลายทางความคิดที่แฝงเจตนาแอบแฝง

 

          ประวัติศาสตร์สอนให้เราเห็นว่า การอ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำ สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจได้อย่างแยบยล โดยเฉพาะเมื่อประชาชนขาดความรู้ ขาดการวิเคราะห์ และมีความรู้สึกผูกพันทางศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานที่ถูกต้อง มุสลิมควรมีความรอบคอบ มีวิจารณญาณในการเสพข้อมูล และปฏิเสธการปลุกปั่นที่มีเจตนาแอบแฝง ไม่ว่าจะมาในคราบของศาสนา ความยุติธรรม หรือคำพูดที่ดูน่าเชื่อถือ

 

         ซาอุดิอาระเบีย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายหรือสังคมในบางส่วน แต่ภารกิจในการดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยังคงได้รับการดำเนินการด้วยความรับผิดชอบสูงสุด และยังคงให้การสนับสนุนประชาคมมุสลิมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงสมควรที่ประชาคมมุสลิมจะระมัดระวังต่อกระแสปลุกปั่นที่มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายเอกภาพของอิสลาม และให้ความร่วมมือในการรักษาเสถียรภาพของศูนย์กลางอิสลามที่สำคัญนี้