บทบาทในการรับใช้อิสลามและบรรดามุสลิมของซาอุดิอาระเบีย
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
การใช้ข้ออ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ:
กรณีศึกษาประวัติศาสตร์อิสลาม
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยเฉพาะในโลกอิสลาม หนึ่งในกลยุทธ์ที่กลุ่มผู้แสวงหาอำนาจนิยมใช้คือการอ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้มล้างอำนาจเดิม กลยุทธ์นี้ปรากฏในหลากหลายรูปแบบ เช่น การบิดเบือนข้อมูล การปลุกระดมประชาชน และการสร้างกระแสสังคมเพื่อต่อต้านผู้นำ
แม้ว่าข้อกล่าวหาบางประการอาจมีรากฐานจากข้อบกพร่องที่แท้จริงของผู้นำ แต่การนำไปขยายผลในลักษณะที่บั่นทอนเสถียรภาพของรัฐและเอกภาพของประชาคมมุสลิม กลับกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าจะเป็นความพยายามในการส่งเสริมความยุติธรรมอย่างแท้จริง
ประวัติศาสตร์อิสลาม: กรณีของท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฎิยัลลอฮุอันฮุ)
ยุคของท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน คอลีฟะฮ์องค์ที่สามของอิสลาม ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงกลไกของการใช้ข้ออ้างทางศีลธรรม และความยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มอำนาจ ผู้นำบางกลุ่มในขณะนั้นได้อ้างว่าท่านอุษมานบริหารราชการไม่โปร่งใส แต่งตั้งญาติเป็นผู้ว่าการ และใช้อำนาจในทางที่มิชอบ
ทั้งที่ในความเป็นจริง บุคคลหลายคนที่ท่านอุษมานแต่งตั้งนั้น เคยได้รับความไว้วางใจจากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และคอลีฟะฮ์ท่านก่อนหน้า เช่น มุอาวิยะฮ์ บิน อบีซุฟยาน ซึ่งเคยได้รับมอบหมายจากท่านอุมัร อิบนุค็อฏฏ็อบ ให้เป็นผู้ว่าการซีเรีย
แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในหลายข้อกล่าวหา แต่การปลุกปั่นได้ถูกขยายผลไปยังเมืองต่างๆ เช่น กูฟะฮ์ อียิปต์ และบัศเราะฮ์ จนนำไปสู่การลอบสังหารท่านอุษมาน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ฟิตนะห์ใหญ่” (الفتنة الكبرى) ซึ่งทำให้กลุ่มมุสลิมเผชิญกับการแบ่งแยกอย่างรุนแรง
บทเรียนจากอดีต: อำนาจกับความชอบธรรมที่บิดเบือน
การอ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำในหลายยุคสมัย ผู้ที่แสวงหาอำนาจมักอ้างหลักการเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่ในหลายกรณี เป้าหมายที่แท้จริงคือการขึ้นสู่อำนาจของตนเอง มิใช่ความเป็นธรรมของประชาชน การวิพากษ์ผู้นำในอิสลามสามารถทำได้หากมีหลักฐานชัดเจนและทำอย่างมีอาดับ (มารยาท) และด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ มิใช่เพื่อปลุกระดมให้เกิดความแตกแยก
อัลกุรอานได้เตือนไว้อย่างชัดเจนในซูเราะฮฺ อัลหุญุรอต ว่า:
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! หากคนชั่วได้นำข่าวใดมายังพวกเจ้า จงตรวจสอบมันให้ดี..."
(อัลหุญุรอต 49:6)
กรณีร่วมสมัย: ซาอุดิอาระเบียในศูนย์กลางของการปลุกปั่น
ในปัจจุบัน ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคือ มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ได้กลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่พยายามสร้างความเกลียดชังในหมู่มุสลิมทั่วโลก โดยใช้ข้ออ้างในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือเศรษฐกิจของซาอุฯ ว่าเป็นการละทิ้งอัตลักษณ์อิสลาม ทั้งที่ในความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นเรื่องของการบริหารจัดการภายในประเทศ และไม่กระทบต่อพันธกิจหลักของซาอุดิอาระเบียในการดูแลศาสนา
แม้ซาอุดิอาระเบียจะมีพัฒนาการและการปรับเปลี่ยนนโยบายหลายด้านให้สอดคล้องกับยุคสมัย แต่ยังคงยืนหยัดในบทบาทการปกป้องและดูแลมัสญิดอัลหะรอมทั้งสอง, รวมถึงยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ให้บริการแก่แขกของอัลลอฮ์ อย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลผู้แสวงบุญ หรือการอำนวยความสะดวกต่างๆ
นอกจากนี้ ซาอุฯ ยังสนับสนุนโลกอิสลามอย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ เช่น:
♣ ทุนการศึกษาแก่นักเรียนมุสลิมทั่วโลก
♣ การแจกจ่ายอัลกุรอานไปยังหลายประเทศ
♣ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่สงครามหรือภัยพิบัติ
♣ การเผยแพร่ความรู้และการทำดะวะฮ์อย่างเป็นระบบ
ด้วยเหตุนี้ ซาอุดิอาระเบียจึงมีความชอบธรรมโดยพฤตินัยและโดยจริยธรรม ในการดูแลหะรอมทั้งสอง และเป็นที่คาดหวังว่ามุสลิมทั่วโลกควรปกป้องบทบาทนี้จากการบ่อนทำลายทางความคิดที่แฝงเจตนาแอบแฝง
ประวัติศาสตร์สอนให้เราเห็นว่า การอ้างความไม่ยุติธรรมของผู้นำ สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจได้อย่างแยบยล โดยเฉพาะเมื่อประชาชนขาดความรู้ ขาดการวิเคราะห์ และมีความรู้สึกผูกพันทางศาสนาอย่างลึกซึ้งแต่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานที่ถูกต้อง มุสลิมควรมีความรอบคอบ มีวิจารณญาณในการเสพข้อมูล และปฏิเสธการปลุกปั่นที่มีเจตนาแอบแฝง ไม่ว่าจะมาในคราบของศาสนา ความยุติธรรม หรือคำพูดที่ดูน่าเชื่อถือ
ซาอุดิอาระเบีย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายหรือสังคมในบางส่วน แต่ภารกิจในการดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยังคงได้รับการดำเนินการด้วยความรับผิดชอบสูงสุด และยังคงให้การสนับสนุนประชาคมมุสลิมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงสมควรที่ประชาคมมุสลิมจะระมัดระวังต่อกระแสปลุกปั่นที่มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายเอกภาพของอิสลาม และให้ความร่วมมือในการรักษาเสถียรภาพของศูนย์กลางอิสลามที่สำคัญนี้