มารู้จักชีอะฮฺ 2
ช่วงที่หนึ่งของการก่อตัวของหลักความเชื่อชีฮะฮฺ
เรียบเรียง โดย อิสมาอีล กอเซ็ม
อิบนุ ซาบาฮฺถือเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดความคลั่งไคล้ต่อตัวท่านอะลี รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เขาได้อ้างถึงหลักความเชื่อเรื่องการกลับมาของอิหม่าม (الرجعة) หลักความเชื่อเกี่ยวกับการกลับคืนเป็นแนวคิดทางศาสนาในหลักความเชื่อชีอะฮ์ โดยเฉพาะในแนวทางชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง (ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง) ที่เชื่อว่าบุคคลบางคนโดยเฉพาะบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม จะกลับคืนมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่มะห์ดี (มุฮัมมัด อัล-มะห์ดี) ซึ่งเป็นอิมามที่ถูกรอคอย จะปรากฏตัวในช่วงสุดท้ายของโลกในวันสิ้นโลก หลักความเชื่อที่เกี่ยวกับการกลับมา
1. การกลับคืนของบุคคลสำคัญ - ชีอะฮ์เชื่อว่าหลังจากการกลับมาของมะห์ดี บุคคลสำคัญจากประวัติศาสตร์อิสลาม เช่น อิมามอาลีและอิมามฮูเซน (ผู้พลีชีพ) และผู้มีความดีบางคน จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเพื่อช่วยสร้างความยุติธรรมและความชอบธรรมในโลก - บุคคลที่สำคัญที่สุดที่คาดว่าจะกลับมา คือ อิมามอาลีและ อิมามฮูเซน และเหล่าผู้พลีชีพจากการต่อสู้ในสงครามการ์บาลาฮฺ
2. จุดประสงค์ของการกลับคืน** การกลับคืนของบุคคลเหล่านี้ถือเป็นการแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะความอยุติธรรมที่พวกเขาได้รับ เช่น การเสียชีวิตของอิมามฮูเซนในสงครามการ์บาลา การกลับคืนของพวกเขาถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของมะห์ดีในการนำความยุติธรรมกลับมาและขจัดความอธรรมในโลก
หลักความเชื่อเรื่อง อัรร็อญอะฮ์" (الرجعة)ของชีอะฮ์: - ไม่ใช่เฉพาะอิมามหรือคนดีเท่านั้น ที่จะฟื้นกลับมา บรรดาศัตรูของอะฮฺลุลบัยต์ (เช่น ผู้สังหารอิมามฮูเซน, ผู้ก่อศึกกับอะลี ฯลฯ) ก็จะถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพกลับมาเช่นกัน
จุดประสงค์: เพื่อให้บรรดาอิมามและผู้ศรัทธา **ได้เห็นชัยชนะและการปกครองบนโลก เพื่อให้บรรดาศัตรู ได้รับการลงโทษที่สาสมต่อหน้าผู้คน ก่อนวันกิยามะฮ์ กล่าวอีกแบบคือ: "คนดี" กลับมาเพื่อ รับเกียรติ** "คนเลว" กลับมาเพื่อ รับโทษ
ศัตรูอะฮฺลุลบัยต์ที่ชีอะฮ์เชื่อว่าจะถูกฟื้นมาลงโทษ เช่น "อบูบักร, อุมัร, อุษมาน, อาอิชะฮ์"รอฎิยัลลออูฮันฮุม (ในหนังสือบางเล่มของชีอะฮ์กล่าวชัดเจน)
แนวความเชื่อเรื่อง "อัรร็อญอะฮ์" (การฟื้นคืนชีพเฉพาะกลุ่ม ก่อนกิยามะฮ์) ตามแนวทางชีอะฮ์อิมามสิบสองนี้
นักวิชาการอะฮฺลุซซุนนะฮฺ (เช่น อิบนุตัยมียะฮ์, อิบนุลก็อยยิม, เชคอัลอัลบานีย์ ฯลฯ) รอฮิมาอุมุลลอฮฺ ต่างถือว่าเป็น และเป็นสิ่งที่ ขัดต่อหลักการวันกิยามะฮ์ ที่ศาสนาอิสลามบริสุทธิ์สอนไว้ และหลักการที่งมงายไร้เหตุผล ไม่ว่าด้วยบทบัญญัติและสติปัญญา
3. บริบททางประวัติศาสตร์: - หลักการนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงต้นของอิสลาม โดยเฉพาะการเสียชีวิตของอิมามฮูเซน และเชื่อว่าการเสียชีวิตของเขามิได้สูญเปล่า แต่อย่างใด การกลับคืนของเขาถือเป็นการทำให้คำตัดสินของอัลลอฮฺ ได้รับการพิสูจน์และเห็นผล - หลักความเชื่อใน อัล-เราะญะอ์ยังถือเป็นคำตอบต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นหลังจากการจากไปของท่านนบีมุฮัมมัด โดยเฉพาะความขัดแย้งในการปกครองและการปฏิบัติต่อครอบครัวของท่านนบี ซึ่งคือ อาห์ลุลบัยต์ (ครอบครัวของท่านนบี)
4. ชีฮะฮฺได้อ้างความเชื่อนี้โดยพาดพิงไปยังอัลกุรอ่าน ตำราของบรรดาอิหม่ามของพวกเขา แนวคิดนี้พบในตำราและคำพูดของอิมามต่าง ๆ ในชีอะฮ์ รวมถึงมีการอ้างอิงในหะดีษ (คำพูดของท่านนบี)
ในอัลกุรอานที่ถูกอ้างอิงเพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่:
وَقَوۡلِهِمۡ إِنَّا قَتَلۡنَا ٱلۡمَسِيحَ عِيسَى ٱبۡنَ مَرۡيَمَ رَسُولَ ٱللَّهِ وَمَا قَتَلُوهُ وَمَا صَلَبُوهُ وَلَٰكِن شُبِّهَ لَهُمۡۚ وَإِنَّ ٱلَّذِينَ ٱخۡتَلَفُواْ فِيهِ لَفِي شَكّٖ مِّنۡهُۚ مَا لَهُم بِهِۦ مِنۡ عِلۡمٍ إِلَّا ٱتِّبَاعَ ٱلظَّنِّۚ وَمَا قَتَلُوهُ يَقِينَۢا 157
“และการที่พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้ฆ่า อัล-มะซีหฺ อีซา บุตรของมัรยัม รอซูลของอัลลอฮฺ และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซาและหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขาถูกให้เหมือนแก่พวกเขา
และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขา นั้น แน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัย เกี่ยวกับเขา พวกเขาหามีความรู้ใด ๆ ต่อเขาไม่ นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ฆ่าเขาด้วยความแน่ใจ (อีซา)"
และซูเราะห์อัลบากอเราะห์ อายะห์ ที่ 259
أَوۡ كَٱلَّذِي مَرَّ عَلَىٰ قَرۡيَةٖ وَهِيَ خَاوِيَةٌ عَلَىٰ عُرُوشِهَا قَالَ أَنَّىٰ يُحۡيِۦ هَٰذِهِ ٱللَّهُ بَعۡدَ مَوۡتِهَاۖ فَأَمَاتَهُ ٱللَّهُ مِاْئَةَ عَامٖ ثُمَّ بَعَثَهُۥۖ قَالَ كَمۡ لَبِثۡتَۖ قَالَ لَبِثۡتُ يَوۡمًا أَوۡ بَعۡضَ يَوۡمٖۖ قَالَ بَل لَّبِثۡتَ مِاْئَةَ عَامٖ فَٱنظُرۡ إِلَىٰ طَعَامِكَ وَشَرَابِكَ لَمۡ يَتَسَنَّهۡۖ وَٱنظُرۡ إِلَىٰ حِمَارِكَ وَلِنَجۡعَلَكَ ءَايَةٗ لِّلنَّاسِۖ وَٱنظُرۡ إِلَى ٱلۡعِظَامِ كَيۡفَ نُنشِزُهَا ثُمَّ نَكۡسُوهَا لَحۡمٗاۚ فَلَمَّا تَبَيَّنَ لَهُۥ قَالَ أَعۡلَمُ أَنَّ ٱللَّهَ عَلَىٰ كُلِّ شَيۡءٖ قَدِيرٞ
หรือเช่นผู้ที่ได้ผ่านเมืองหนึ่ง (บัยตุลมักดิส) โดยที่มันพังทับลงบนหลังคาของมัน
เขาได้กล่าวว่า อัลลอฮฺจะทรงให้เมืองนี้มีชีวิตขึ้นได้อย่างไร หลังจากที่มันได้ตายพินาศไปแล้ว
และอัลลอฮฺก็ทรงให้เขาตายเป็นเวลาร้อยปี ภายหลังพระองค์ได้ทรงให้เขาฟื้นคืนชีพ
พระองค์ทรงกล่าวว่า เจ้าพักอยู่นานเท่าใด?
เขากล่าวว่า ข้าพระองค์พักอยู่วันหนึ่งหรือบางส่วนของวันเท่านั้น
พระองค์ทรงกล่าวว่า มิได้ เจ้าพักอยู่นานถึงร้อยปี เจ้าจงมองดูอาหารของเจ้า และเครื่องดื่มของเจ้า มันยังไม่บูดเลย และจงมองดูลาของเจ้าซิ และเพื่อเราจะให้เจ้าเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับมนุษย์ และจงมองบรรดากระดูก เหล่านั้น ดูว่าเรากำลังยกมันไว้ ณ ที่ของมัน และประกอบมันขึ้น แล้วให้มีเนื้อหุ้มห่อมันไว้อย่างไร?
ครั้นเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ประจักษ์แก่เขา เขาก็กล่าวว่า ข้าพระองค์รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
หลักเชื่อของชาวอะลุซซุนนะห์วัลญามาฮะนั้นไม่ยอมรับในหลักการ การกลับคืนของบรรดาอิหม่ามที่ชีอะฮฺอ้างถึง -ในขณะที่ชีอะฮ์เชื่อในการกลับคืนของบุคคลสำคัญ (โดยเฉพาะอิมาม), ชาวอะลุซซุนนะห์ไม่ได้ยอมรับหลักการของ *อัล-เราะญะอ์*
แม้ว่าชาวอะลุซซุนนะห์จะมีความเชื่อท่านอิซา (เยซู) จะกลับมาในตอนสิ้นโลก แต่การกลับคืนของบุคคลอย่างอิมามอาลีหรืออิมามฮูเซนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของอะลุซซุนนะห์
อิทธิพลต่อการปฏิบัติของชีอะฮ์ - หลักความเชื่อใน *อัล-เราะญะอ์* มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติและความเชื่อในชีวิตของชีอะฮ์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาของการไว้อาลัย เช่น ในเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระลึกถึงการพลีชีพของอิมามฮูเซน และความหวังว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับความยุติธรรม - หลักการนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์กับอิมามและการยึดถือในตัวตนของพวกเขามีความสำคัญทั้งในด้านจิตวิญญาณและความคิดทางการเมืองของชีอะฮ์
สรุปได้ว่า عقيدة الرجعة (หลักความเชื่อเกี่ยวกับการกลับคืน) เป็นความเชื่อที่สำคัญในของชีอะฮ์ โดยเฉพาะชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง ซึ่งเชื่อว่าบุคคลสำคัญจากประวัติศาสตร์อิสลามจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
และอิบนูซาบาฮฺ ป็นบุคคลแรกที่เผยแพร่แนวคิดว่า แท้จริงแล้วอัลลอฮฺได้แต่งตั้งท่านอะลีให้เป็นเคาะลีฟะฮฺหลังจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยตรง ทว่าอบูบักร, อุมัร และอุษมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุม ได้
อิบนุ ซาบาฮฺ ซึ่งมีพื้นเพมาจากชาวยิวแห่งเมืองซ็อนอาอฺในเยเมน หลังจากเข้ารับอิสลามด้วยความไม่จริงใจ ได้เริ่มต้นปลุกปั่นความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิมช่วงปลายยุคเคาะลีฟะฮฺอุษมาน โดยเน้นการปลุกเร้าอารมณ์ผู้คนในดินแดนที่ห่างไกลศูนย์กลางความรู้ศาสนา เช่น ชาม อิยิปต์ และอิรัก เขาใช้วิธีการชักชวนผู้คนที่มีพื้นฐานศาสนาอ่อนแอ หรือมีจิตใจแอบแฝงการไม่ศรัทธาอย่างแท้จริง เพื่อสร้างเครือข่ายแนวคิดบิดเบือนเกี่ยวกับตำแหน่งผู้นำในอิสลาม
แนวคิดของอิบนุซาบาฮฺ กลายเป็นแกนกลางที่ก่อให้เกิดกลุ่มรอฟิเฎาะฮฺ (الرافضة) หรือกลุ่มที่ภายหลังรู้จักกันในนามชีอะฮฺบางสาขา โดยเฉพาะแนวทางที่เน้นการยกสถานะของอะลีถึงขั้นเทียบเท่าหรือสูงกว่าศาสนทูต และตำหนิ โจมตีบรรดาคอลีฟะฮฺที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมมุสลิมในยุคนั้น
แนวคิดดังกล่าวแม้จะถูกปฏิเสธโดยท่านอะลี รอฎิยัลลอฮุอันฮุเอง — ดังที่มีรายงานว่า ท่านได้ลงโทษกลุ่มที่กล่าวเกินจริงถึงขั้นทำให้ท่านเป็นพระเจ้า — แต่ร่องรอยของมันได้สืบทอดต่อมาจนหล่อหลอมเป็นรากฐานบางประการในหมู่กลุ่มรอฟิเฎาะฮฺในยุคต่อมา
ช่วงที่สอง
การแสดงออกถึงหลักความเชื่ออันนี้เริ่มชัดเจนขึ้นหลังจากที่ท่านอุษมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ถูกสังหาร ในขณะที่เหล่าศอหาบะฮฺกำลังหมกมุ่นอยู่กับการขจัดความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิม แต่แนวคิดที่อิบนุ ซาบาฮฺนำมาเผยแพร่นั้น ยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มคนเฉพาะ ที่เขาได้ทำให้พวกเขาหลงผิดไป
จากแนวทางที่ถูกต้อง
ถึงกระนั้น หลักฐานที่แสดงถึงความอ่อนแอของกลุ่มนี้ สามารถเห็นได้จากคำพูดของอิบนุ ซาบาฮฺเอง ซึ่งมีการบันทึกไว้ในหนังสือ "ตารีค อัฏ-เฏาะบะรีย์" (تاريخ الطبري) ว่าเขาได้กล่าวกับผู้ติดตามของตนว่า:
"โอ้กลุ่มชนเอ๋ย! แท้จริงแล้ว เกียรติของพวกท่านขึ้นอยู่กับการปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คน ดังนั้นจงสร้างพวกเข้ามา (หมายถึง จงเพิ่มจำนวนของพวกท่านให้มากขึ้นโดยการดึงดูดผู้คนเข้ามาในกลุ่มของพวกท่าน)"
ข้อความนี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มของอิบนุ ซาบาฮฺขาดฐานมวลชนที่มั่นคง และจำเป็นต้องอาศัยการปลุกปั่นและการขยายตัวด้วยกลอุบายเพื่อดำรงอยู่