มัสยิดสองกิบลัต กิบละตัยน์
เรียบเรียงโดย.... อ.อับดุลวาเฮด สุคนธา
เรื่องราวของการเปลี่ยนทิศละหมาด (กิบละฮ์):
หลังจากการฮิจเราะฮ์จากมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ในช่วงแรกๆของอิสลาม ท่านนบีและศอฮาบะฮฺได้ทำการละหมาดหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิศในกรุงเยรูซาเล็มและเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในเดือนชะอ์บานในปีที่สองหลังจากฮิจเราะฮ์ คือ การเปลี่ยนทิศละหมาดจากบัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) ไปยังมัสยิดิลฮะรอม (กะอฺบะฮ์)
ในตอนแรก พระองค์อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้มุสลิมทั้งหลายหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิสในการละหมาด พวกเขาจึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้อพยพจากมักกะฮ์ไปยังมะดีนะฮ์ พวกเขาก็ยังคงละหมาดโดยหันไปทางบัยตุลมักดิสอยู่อีก 16 หรือ 17 เดือน จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ประทานโองการให้ เปลี่ยนทิศกิบละฮ์
ความรักของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ต่อกะอ์บะฮ์:
ด้วยความรักอย่างลึกซึ้งของท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ที่มีต่อกะอ์บะฮ์ ในช่วงที่อยู่ที่มักกะฮ์ ท่านมักจะละหมาดโดยจัดให้ มัสยิดอัลฮะรอมอยู่ระหว่างตัวท่านกับบัยตุลมักดิส เพื่อที่ว่าท่านจะได้หันหน้าไปทั้งสองทิศพร้อมกันแต่เมื่อท่านอพยพมาที่มะดีนะฮ์ การทำเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ท่านมักเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่เสมอ เพื่อรอคอยและวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ให้ทรงเปลี่ยนทิศกิบละฮ์ไปยังกะอ์บะฮ์ เพราะหัวใจของท่านผูกพันกับท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ผู้เป็นผู้สร้างบ้านหลังนี้(กะอ์บะฮ์) และเพราะท่านมีความรักอย่างแรงกล้าต่อสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นบ้านหลังแรกที่อัลลอฮ์ทรงสร้างไว้สำหรับมนุษย์บนแผ่นดิน และเป็น สถานที่ที่มนุษย์ทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์
และแล้วอัลลอฮ์ก็ทรงตอบรับคำวิงวอนของท่านนบี ﷺ และ ทรงเปลี่ยนทิศกิบละฮ์ของบรรดามุสลิมจากบัยตุลมักดิสไปยังมัสยิดิลฮะรอมตามที่ท่านนบีปรารถนา
ช่วงเวลาการเปลี่ยนทิศกิบละฮ์:
ในปีที่สองหลังจากฮิจเราะฮ์ และใน เดือนชะอ์บาน ตามความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่ อัลลอฮ์ได้ประทานโองการว่า
﴿ قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ فَلَنُوَلِّيَنَّكَ قِبْلَةً تَرْضَاهَا فَوَلِّ وَجْهَكَ شَطْرَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ وَحَيْثُ مَا كُنْتُمْ فَوَلُّوا وُجُوهَكُمْ شَطْرَهُ ﴾
“แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ
ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น”
[อัลบะเกาะเราะฮ์ 144]
รายงานจาก อัล-บะรออ์ อิบนุ อาซิบ (ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ) ว่า:
أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ أَوَّلَ مَا قَدِمَ المَدِينَةَ نَزَلَ عَلَى أَجْدَادِهِ- أَوْ قَالَ أَخْوَالِهِ مِنَ الأَنْصَارِ- وَأَنَّهُ «صَلَّى قِبَلَ بَيْتِ المَقْدِسِ سِتَّةَ عَشَرَ شَهْرًا، أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ يُعْجِبُهُ أَنْ تَكُونَ قِبْلَتُهُ قِبَلَ البَيْتِ، وَأَنَّهُ صَلَّى أَوَّلَ صَلاةٍ صَلَّاهَا صَلاةَ العَصْرِ، وَصَلَّى مَعَهُ قَوْمٌ»، فَخَرَجَ رَجُلٌ مِمَّنْ صَلَّى مَعَهُ، فَمَرَّ عَلَى أَهْلِ مَسْجِدٍ وَهُمْ رَاكِعُونَ، فَقَالَ: أَشْهَدُ بِاللَّهِ لَقَدْ صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قِبَلَ مَكَّةَ، فَدَارُوا كَمَا هُمْ قِبَلَ البَيْتِ، وَكَانَتِ اليَهُودُ قَدْ أَعْجَبَهُمْ إِذْ كَانَ يُصَلِّي قِبَلَ بَيْتِ المَقْدِسِ، وَأَهْلُ الكِتَابِ، فَلَمَّا وَلَّى وَجْهَهُ قِبَلَ البَيْتِ، أَنْكَرُوا ذَلِكَ
เมื่อท่านนบี ﷺ เดินทางมาถึงนครมะดีนะฮ์ใหม่ ๆ ท่านได้พักอยู่กับ บรรดาญาติทางมารดาของท่านจากชาวอันศอร (หรือท่านกล่าวว่า “บรรดาลุงทางมารดา”) และท่านนบี ﷺ ได้ละหมาด หันหน้าไปทางบัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) เป็นเวลา 16 เดือนหรือ 17 เดือน
และท่านนบี ﷺ ก็ ชอบใจ ที่จะให้ทิศละหมาดของท่านหันไปทาง กะอ์บะฮ์ (มัสยิดิลฮะรอม) ละหมาดแรกที่ท่านนบี ﷺ ละหมาดโดยหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์ คือ ละหมาดอัศร์ (ละหมาดเย็น) และมีบางคนร่วมละหมาดกับท่านในครั้งนั้น
หลังจากนั้นชายคนหนึ่งซึ่งได้ละหมาดร่วมกับท่านนบี ﷺ ก็ออกไป และได้เดินผ่านกลุ่มผู้คนที่กำลังละหมาดอยู่ในมัสยิดอีกแห่งหนึ่งในขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในท่ารุกูอ์
ชายคนนั้นกล่าวว่า:“ข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดร่วมกับรอซูลุลลอฮ์ ﷺ โดยหันหน้าไปทางมักกะฮ์แล้ว!” ดังนั้น ทุกคนในมัสยิดนั้นก็ได้หันตัวของตนในขณะละหมาดไปทางกะอ์บะฮ์ในทันที
และบรรดาชาวยิว รวมทั้งพวกอะฮ์ลุลกิตาบ (ชาวคัมภีร์) ต่างก็ รู้สึกพอใจ เมื่อตอนที่ท่านนบี ﷺ ละหมาดโดยหันหน้าไปทางบัยตุลมักดิส แต่เมื่อท่านได้ หันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์ พวกเขาก็ แสดงความไม่พอใจและปฏิเสธสิ่งนั้น
(บันทึกโดยอัล-บุคอรีและมุสลิม)
รายงานจาก อิบนุ อุมัร (ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุมา) ว่า:
بَيْنَمَا النَّاسُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ بِقُبَاءٍ إِذْ جَاءَهُمْ آتٍ فَقَالَ: إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدِ اُنْزِلَ عَلَيْهِ اللَّيْلَةَ ، وَقَدْ أُمِرَ أَنْ يَسْتَقْبِلَ الْكَعْبَةَ فَاسْتَقْبِلُوهَا ، وَكَانَتْ وُجُوهُهُمْ إِلَى الشَّامِ ، فَاسْتَدَارُوا إِلَى الْكَعْبَةِ
ขณะที่ผู้คนกำลังละหมาดศุบฮ์ อยู่ที่มัสยิด กุบาอ์ ได้มีชายคนหนึ่งมาหาพวกเขาแล้วกล่าวว่า:
“แท้จริงรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้มีวะฮ์ยูถูกประทานลงมาแก่ท่านเมื่อคืนนี้ และท่านได้รับคำสั่งให้หันหน้าไปทาง กะอ์บะฮ์ ดังนั้นพวกท่านจงหันหน้าไปทางนั้นเถิด”
ขณะนั้นพวกเขา หันหน้าไปทางชาม(ประเทศซีเรีย/บัยตุลมักดิส)อยู่ เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หันกลับขณะอยู่ในละหมาดไปทางกะอ์บะฮ์ “
(รายงานโดยมุสลิม)
ลักษณะของการหัน
ท่านหาฟิซ อิบนุ ฮะญัร กล่าวว่า: “ลักษณะของการเปลี่ยนทิศละหมาด (จากบัยตุลมักดิสไปยังกะอ์บะฮ์) นั้น ได้มีการอธิบายไว้ในหะดีษของ ษุวัยละฮ์ บินต์ อัสลัม ที่รายงานโดย อิบนุ อบี หาติม ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวถึงบางส่วนก่อนหน้านี้แล้ว โดยเธอกล่าวไว้ในหะดีษนั้นว่า:
‘เมื่อได้มีการเปลี่ยนทิศละหมาดแล้ว บรรดาสตรีจึงย้ายไปอยู่ในที่ของบุรุษ และบรรดาบุรุษก็ย้ายไปอยู่ในที่ของสตรี แล้วเราก็ละหมาดอีกสองสุญูดที่เหลือ โดยหันหน้าไปทาง บัยตุลลอฮ์ (มัสยิดิลฮะรอม)’
จากนั้นท่านอิบนุ ฮะญัรได้กล่าวเสริมว่า:
“ภาพเหตุการณ์นั้นคือ อิหม่ามได้ย้ายจากตำแหน่งเดิมของตนที่อยู่ด้านหน้าของมัสยิดไปยังด้านหลังของมัสยิด เพราะเมื่อผู้ละหมาดหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์ ก็ย่อมหันหลังให้กับบัยตุลมักดิส
หากอิหม่ามเพียงแต่หันกลับในตำแหน่งเดิม โดยไม่ย้ายที่ ก็จะไม่มีพื้นที่ด้านหลังเพียงพอสำหรับแถวของผู้ละหมาด ดังนั้นเมื่ออิหม่ามย้ายตำแหน่ง บรรดาผู้ชายก็ย้ายตามไปอยู่ด้านหลังของอิหม่าม และบรรดาผู้หญิงก็ย้ายตามไปอยู่ด้านหลังของผู้ชาย
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าได้มีการเคลื่อนไหวจำนวนมากเกิดขึ้นขณะอยู่ในการละหมาด จึงมีความเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วง ก่อนที่จะมีการห้ามเคลื่อนไหวระหว่างละหมาด เช่นเดียวกับที่เคยมีช่วงเวลาก่อนที่จะมีการห้ามพูดระหว่างละหมาด
อีกทั้งก็มีความเป็นไปได้ว่า การเคลื่อนไหวมากในครั้งนั้น ได้รับการยกเว้น (อนุโลม) เพราะมีเหตุผลสำคัญทางศาสนา หรือไม่แน่ว่า การเคลื่อนไหวของพวกเขาในขณะนั้น ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แต่เป็นการขยับทีละน้อย ๆ (อ้างจาก ฟัตหุลบารี)และได้ใน ตัฟซีรอิบนุกะษีร
อิบนุหะญัร กล่าวว่า : “รายงานฮะดีษมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับละหมาดที่มีการเปลี่ยนทิศกิบละฮ์ และเช่นกันเกี่ยวกับมัสยิดที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ท่านมุฮัมมัด บิน สะอฺด์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัฏเฏาะบะเกาะอต ว่า
“มีผู้กล่าวว่า ท่านนบี ﷺ ได้ละหมาดสองร็อกอะฮ์จากละหมาดดุฮฺริในมัสยิดของท่านพร้อมกับบรรดามุสลิม จากนั้นท่านได้รับคำสั่งให้หันหน้าไปยังมัสยิดอัลหะรอม ท่านจึงหันไปทางนั้น และบรรดามุสลิมก็หันตามท่านไปด้วย”
อีกสายรายงานหนึ่งกล่าวว่า
“ท่านนบี ﷺ ได้ไปเยี่ยมอุมม์ บิชรฺ บิน บัรออฺ บิน มะอฺรูร ในเผ่าบนีสะละมะฮฺ นางได้จัดอาหารให้แก่ท่าน และเมื่อถึงเวลาละหมาดดุฮฺริ ท่านนบี ﷺ ก็ละหมาดกับบรรดาศ่อฮาบะฮ์สองร็อกอะฮ์ แล้วท่านได้รับคำสั่งให้หันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์ ท่านจึงหันไปยังทิศของ ‘อัลมิซาบ’ (ช่องระบายน้ำบนหลังคากะอ์บะฮ์) จึงทำให้มัสยิดนั้นถูกเรียกว่า มัสยิดกิบละตัยน์ (มัสยิดสองกิบละฮ์)”
อิบนุสะอฺด์ กล่าวว่า “อัลวากิดีย์กล่าวว่า รายงานนี้เป็นรายงานที่น่าเชื่อถือที่สุดในมุมมองของเรา”
(รายงานนี้อยู่ใน ฟัตหุลบารี 2/116 และยกมาจาก อัฏเฏาะบะเกาะอต อัลกุบรอ 1/241)
อิบนุกะษีร กล่าวว่า : นักตัฟซีรหลายท่านกล่าวว่า การเปลี่ยนกิบละฮ์นั้นเกิดขึ้นในขณะที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ละหมาดไปแล้วสองร็อกอะฮ์จากละหมาดดุฮฺริ ซึ่งอยู่ในมัสยิดของเผ่าบนีสะละมะฮ์ ดังนั้นมัสยิดนี้จึงถูกเรียกว่า ‘มัสญิดุลกิบละต็อยน์’ (มัสยิดสองกิบละฮ์)”
และในหะดีษของนูวัยละฮ์ บินตุ มุสลิม กล่าวว่า
“เมื่อมีข่าวการเปลี่ยนกิบละฮ์มาถึงพวกเขาในระหว่างละหมาดดุฮฺริ ผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่ในแถวละหมาดก็สลับตำแหน่งกัน ผู้ชายไปอยู่ที่ตำแหน่งของผู้หญิง และผู้หญิงไปอยู่ที่ตำแหน่งของผู้ชาย”
(รายงานโดยเชคอบูอุมัร อิบนุ อับดิลบัรฺ อันนะมะรี)
ส่วนชาวกุบาอฺนั้น ข่าวดังกล่าวยังไม่ถึงพวกเขาจนกระทั่งถึงเวลาละหมาดศุบฮฺของวันถัดมา ดังที่มีรายงานในเศาะฮีหฺ อัลบุคอรี และมุสลิม จากอิบนุอุมัร (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา)ว่า ในขณะที่ผู้คนอยู่ในละหมาดศุบฮฺที่กุบาอฺ มีผู้มาบอกข่าวว่า:
“แท้จริงแล้วรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้รับการประทานอัลกุรอานเมื่อคืนนี้ และท่านได้รับคำสั่งให้หันหน้าไปยังอัลกะอ์บะฮ์ ดังนั้นจงหันไปทางนั้นเถิด ขณะนั้นพวกเขากำลังหันหน้าไปทางชาม (ซีเรีย) แล้วพวกเขาก็หันกลับไปทางกะอ์บะฮ์ทันที”
(ตัฟซีร อิบนุกะษีร 1/237)
ฮุกุ่มการเยี่ยมมัสยิดกิบละตัยน์
การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆในเมืองมะดีนะฮ์ที่ไม่มีหลักฐานปรากฎให้ไปเยี่ยมชมด้วยเจตนาที่จะทำอิบาดะฮ์หรือแสวงหาผลบุญไม่ใช่สิ่งที่ศาสนากำหนดให้ทำ เช่น มัสยิดค็อลดัก มัสยิดกิบละตัยน์ หรือขึ้นไปบนภูเขาหุฮุด
ท่านชัยคฺ อับดุลอะซีซ อิบนุ บาซ กล่าวว่า : “ส่วนมัสยิดสงครามคอลดักและมัสยิดกิบละตัยน์ รวมถึงสถานที่อื่น ๆ ที่มีนักเขียนบางคนกล่าวไว้ในหนังสือว่าควรไปเยี่ยมชมนั้น แท้จริง ไม่มีหลักฐานใด ๆ รองรับ และไม่มีรากฐานจากศาสนา สิ่งที่ถูกต้องสำหรับผู้ศรัทธาเสมอคือ การปฏิบัติตาม และไม่สร้างสิ่งใหม่ในศาสนา
(ที่มา: มะจฺมูอ์ ฟะตาวา อิบนุ บาซ เล่มที่ 6 หน้า 321)
แต่สามารถไปเยี่ยมชมและศึกษาร่องรอยประวัติศาสตร์อิสลามได้โดยทั่วไป ไม่ใช่ไปทำอิบาดะฮฺและเชื่อว่าตรงนี้มีความประเสริฐมากมาย เหมือนกับมัสยิดกุบาอฺหรือมัสยิดนบี
เหตุการณ์นี้มีบทเรียนและข้อคิด
1. ลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริง
คือการยอมจำนนต่อคำสั่งของอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์โดยไม่ลังเล ดังที่อัลลอฮ์ตรัสว่า
﴿ وَمَا كَانَ لِمُؤْمِنٍ وَلَا مُؤْمِنَةٍ إِذَا قَضَى اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَمْرًا أَنْ يَكُونَ لَهُمُ الْخِيَرَةُ مِنْ أَمْرِهِمْ وَمَنْ يَعْصِ اللَّهَ وَرَسُولَهُ فَقَدْ ضَلَّ ضَلَالًا مُبِينًا ﴾
“ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิง เมื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ได้กำหนดกิจการใดแล้ว
สำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา
และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง”
(อัลอะห์ซาบ 36)
ท่านรอซูล ﷺ และบรรดาศ่อฮาบะฮ์ของท่านได้แสดงให้เห็นถึงการเชื่อฟังและการยอมจำนนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อพวกเขาได้รับข่าวเรื่องการเปลี่ยนกิบละฮ์ในระหว่างการละหมาด พวกเขาก็หันไปยังทิศใหม่ทันทีจากทิศเหนือไปทิศใต้ โดยไม่หยุดละหมาดและไม่รอให้จบตามแบบเดิม นี่คือแบบอย่างของการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์อย่างสมบูรณ์โดยไม่ลังเล
2. ความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นระหว่างสองทิศกิบละฮ์และสองมัสยิด:
มัสยิดอัล-อักศอคือ ทิศกิบละฮ์แรก ของมุสลิม และเป็น มัสยิดที่มีเกียรติอันดับสาม รองจากมัสยิดิลฮะรอมและมัสยิดนะบะวีย์
3. ความรักของท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ต่อบ้านอัลหะรอม (กะอ์บะฮ์):
เรื่องราวการเปลี่ยนทิศกิบละฮ์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึง ความรักอันแรงกล้าของท่านนบี ﷺ ต่อกะอ์บะฮ์ เมื่อท่านถูกขับออกจากนครมักกะฮ์ในวันฮิจเราะฮ์ ท่านได้มองไปยังเมืองนั้นแล้วกล่าวว่า:
وَاللَّهِ، إِنَّكِ لَخَيْرُ أَرْضِ اللَّهِ، وَأَحَبُّ أَرْضِ اللَّهِ إلى الله، ولولا أَنِّي أُخْرِجْتُ مِنْكِ مَا خَرَجْتُ
“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ แท้จริงเจ้า (มักกะฮ์) คือแผ่นดินที่ดีที่สุดของอัลลอฮ์ และเป็นแผ่นดินที่อัลลอฮ์ทรงรักที่สุด
หากไม่ใช่ว่าข้าได้ถูกขับออกจากเจ้าแล้ว ข้าย่อมไม่ออกมาอย่างแน่นอน”
(รายงานโดยอะหฺมัด, อัตติรมิซีย์, อิบนุมาญะฮ์ และอิบนุหิบบาน อัตติรมิซีย์กล่าวว่าเป็นหะดีษหะซันเศาะฮีหฺ)
และอัลลอฮ์ได้ทรงทำให้ความรักต่อบ้านหลังนี้ (กะอ์บะฮ์) อยู่ในหัวใจของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ได้วิงวอนว่า:
( فَاجْعَلْ أَفْئِدَةً مِنَ النَّاسِ تَهْوِي إِلَيْهِمْ 0)
“ขอพระองค์ทรงให้จิตใจจากปวงมนุษย์ มุ่งไปยังพวกเขา”
(อิบรอฮีม 37)
และพระองค์ตรัสอีกว่า:
( وَإِذْ جَعَلْنَا الْبَيْتَ مَثَابَةً لِلنَّاسِ وَأَمْنًا )
“และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์และเป็นที่ปลอดภัย”
(อัลบะเกาะเราะฮ์ 125)
4. ทิศกิบละฮ์ของมวลมนุษย์ได้กลายเป็นหนึ่งเดียว:
นับแต่นั้นมา มนุษย์ทั้งมวลต่างมีทิศกิบละฮ์เดียวกันคือกะอ์บะฮ์ การที่มุสลิมเคยหันหน้าไปยังบัยตุลมักดิสในตอนแรก เป็นสัญลักษณ์ของ สายสัมพันธ์ระหว่างบรรดานบีทั้งหลาย และเมื่อเปลี่ยนมาหันหน้าสู่กะอ์บะฮ์ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่า นี่คือทิศละหมาดสุดท้ายของมนุษยชาติ และ ไม่มีการอิบาดะฮ์ของผู้ใดที่จะถูกรับ เว้นแต่เขาจะปฏิบัติตามท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
5. เกียรติของประชาชาติแห่งมุฮัมมัด ﷺ:
อัลลอฮ์ได้ทรงให้ประชาชาตินี้เป็น ประชาชาติที่ประเสริฐที่สุด ทรงเลือกให้มีทิศกิบละฮ์ที่สูงส่งที่สุดและทรงให้พวกเขาเป็น ประชาชาติที่อยู่ในระดับกลางระหว่างประชาชาติทั้งหลาย เพื่อเป็น พยานต่อมนุษย์ ในวันกิยามะฮ์
ดังที่อัลลอฮ์ตรัสไว้ในโองการที่กล่าวถึงเรื่องกิบละฮ์ว่า:
﴿ وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا ﴾
“และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง
เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และรอซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า”
(อัลบะเกาะเราะฮ์ 143)