
การอ่านฟาติฮะฮฺในละหมาด
อ.อับดุลวาเฮด สุคนธา...แปลเรียบเรียง
การอ่านสูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์ เป็นหนึ่งในรุก่น (เสาหลัก) ของละหมาดสำหรับ อิหม่าม และ ผู้ทำละหมาดคนเดียว และต้องอ่านใน ทุก ๆ ร็อกอะฮ์
คำว่า “รุก่น” (رُكْن) หมายถึง : ส่วนสำคัญของอิบาดะฮ์ที่ขาดไม่ได้หากละเว้นโดยเจตนา หรือลืม ก็ทำให้ละหมาดไม่สมบูรณ์ ต้องทำการแก้ไข (เช่นกลับมาอ่านใหม่และซูญูดสะฮฺวี)
การอ่านฟาติฮะฮฺถือจำเป็นจะต้องอ่านในการละหมาดแต่ละรอกะอัต ไม่ว่าจะเป็นมะอฺมูมหรืออิหม่าม เพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า:
لا صَلاة لِمَنْ لَمْ يَقْرَأْ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ
“ไม่มีการละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านอัลฟาติฮะฮฺ”
(รายงานโดยอัลบุคอรียฺ )
แต่สำหรับผู้ที่ละหมาดตามอิหม่าม (มะอฺมูม) ในละหมาดที่มีการอ่านกุรอานเสียงดัง (ศุบฮฺ, มัฆริบ, อีชา ฯลฯ - ผู้แปล)
ผู้รู้มีความเห็นต่างสองทัศนะด้วยกัน
ทัศนะที่หนึ่ง:
จำเป็นจะต้องอ่านซูเราะห์ฟาติฮะฮฺ ด้วยกับหลักฐานตามความหมายทั่วไปของฮะดีษของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า:
لا صَلاة لِمَنْ لَمْ يَقْرَأْ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ
“ไม่มีการละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านอัลฟาติฮะฮฺ”
และเมื่อท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้สอนผู้ที่ละหมาดไม่ถูกต้องโดยได้สั่งใช้ให้เขาอ่านอัลฟาติฮะฮฺด้วย
มีรายงานที่ศอเฮียะฮฺว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้อ่านในทุกรอกะอัต โดยที่ท่านอัลฮะฟิซ อิบนฺฮะญัร ได้กล่าวในหนังสือฟัตฮุลบารียฺ:
“มีหลักฐานสั่งใช้ให้มะอฺมูมอ่านอัลฟาติฮะฮฺในละหมาดที่มีการอ่านออกเสียง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ซึ่งมีรายงานจากอัลบุคอรียฺในบทของการอ่าน อัตติรมีซียฺ อิบนฺฮิบบาน และท่านอื่นๆ จากมักฮูล จากมะฮฺมูด อิบนฺรอเบียะอฺ”
จากอูบาดะฮฺ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้อ่านอย่างลำบากในละหมาดฟัจญฺร และเมื่อท่านละหมาดเสร็จท่านได้กล่าวว่า
لَعَلَّكُمْ تَقْرَءُونَ خَلْفَ إِمَامِكُمْ ؟ قُلْنَا : نَعَمْ . قَالَ : فَلَا تَفْعَلُوا إِلا بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ , فَإِنَّهُ لا صَلاةَ لِمَنْ لَمْ يَقْرَأْ بِهَ
“ท่านได้อ่านตามหลังอิหม่ามใช่หรือไม่?”
พวกเขาตอบว่า “ใช่”
ท่านกล่าวว่า “อย่าได้ทำสิ่งนั้น นอกจากการอ่านฟาติฮะฮฺ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่ได้อ่านมัน(ฟาติฮะฮฺ)"
รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ กล่าวว่า: ท่านรอซูลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า:
من صلَّى صلاةً لم يقرأْ فيها بفاتحةِ الكِتابِ، فهي خِداجٌ
“ใครก็ตามที่ทำการละหมาด โดยไม่ได้อ่านสูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺในการละหมาดนั้น แท้จริงการละหมาดนั้นไม่สมบูรณ์”
(บันทึกโดยอัลบุคอรีและมุสลิม)
อิม่ามอัซเชากานีย์ คำว่า “خِداجٌ” หมายถึง ไม่สมบูรณ์ หรือ โมฆะ ในที่นี้นักวิชาการอธิบายว่า การละหมาดจะใช้ไม่ได้ (สำหรับผู้ที่สามารถอ่านได้แต่ไม่อ่าน) เว้นแต่ต้องอ่านสูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺในแต่ละร็อกอะฮฺ.
รายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ กล่าวว่า: ท่านรอซูลุลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวว่า:
مَن صَلَّى صَلاةً لَمْ يَقْرَأْ فيها بأُمِّ القُرْآنِ فَهي خِداجٌ ثَلاثًا غَيْرُ تَمامٍ. فقِيلَ لأَبِي هُرَيْرَةَ: إنَّا نَكُونُ وراءَ الإمامِ؟ فقالَ: اقْرَأْ بها في نَفْسِكَ
“ผู้ใดละหมาดโดยไม่ได้อ่านอุมมุลกุรอาน (สูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ) การละหมาดนั้นก็ไม่สมบูรณ์”
ท่านได้กล่าวประโยคนี้ถึง สามครั้ง และกล่าวว่า: “การละหมาดนั้นไม่สมบูรณ์”
มีผู้ถามท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ ว่า:“ถ้าเราอยู่ด้านหลังอิหม่าม (ละหมาดตามอิหม่าม) ล่ะ?”
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺตอบว่า:“จงอ่าน (อัลฟาติหะฮฺ) ในตัวของเจ้าเอง"
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
รายงายจากซียาด บิน อัยยูบกล่าวเสริมในตัวบท
لا تُجزِئُ صَلاةٌ لا يَقرأُ فيها الرَّجُلُ بِفاتِحَةِ الكِتابِ
“ละหมาดใช้ไม่ได้สำหรับบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้อ่าน(สูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ)”
(ศอเฮียะ อัดดารอกุดนีย์)
สำหรับเชคอัลอัลบานี ท่านมีทัศนะว่า “การอ่าน (อัลฟาติฮะฮ์หรืออัลกุรอาน) ตามหลังอิหม่าม” นั้น ถูกยกเลิกแล้ว และท่านได้อ้างหลักฐานจากรายงานของ อบูดาวูด, อัตติรมิซีย์, อะห์หมัด และอิบนุหิบบาน จากรายงานของท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) ว่า:
أنَّ رسولَ اللَّهِ صلَّى اللَّهُ عليهِ وسلَّمَ انصَرفَ من صَلاةٍ جَهرَ فيها بالقراءةِ فَقالَ هل قرأ مَعيَ أحدٌ منكُم آنفًا ؟ فَقالَ رجلٌ نعَم يا رسولَ اللَّهِ قالَ إنِّي أقولُ ما لي أنازَعُ القُرآنَ قالَ فانتَهى النَّاسُ عنِ القراءةِ معَ رسولِ اللَّهِ صلَّى اللَّهُ عليهِ وسلَّمَ فيما جَهرَ فيهِ النَّبيُّ صلَّى اللَّهُ عليهِ وسلَّمَ بالقراءةِ منَ الصَّلواتِ حينَ سمِعوا ذلِك من رسولِ اللَّهِ صلَّى اللَّهُ عليهِ وسلَّمَ
แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้เสร็จสิ้นจากการละหมาดหนึ่ง ซึ่งเป็นละหมาดที่ท่านอ่าน (อัลกุรอาน) ออกเสียง (เช่น มัฆริบ อิชาอ์ ฟัจญ์รฺ)
แล้วท่านกล่าวว่า: “มีใครในหมู่พวกท่านอ่าน (อัลกุรอาน) ร่วมกับฉันเมื่อครู่หรือไม่?”
ชายคนหนึ่งตอบว่า: “ครับ ท่านรอซูลุลลอฮ์”
ท่านนบีจึงกล่าวว่า: “ฉันสงสัยว่าทำไมฉันจึงถูกแย่ง (อ่าน) อัลกุรอาน?”
จากนั้นผู้คนจึงเลิกอ่าน (อัลกุรอาน) ร่วมกับท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ในละหมาดที่ท่านอ่านออกเสียง หลังจากที่พวกเขาได้ยินถ้อยคำนี้จากท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ
หากถือว่ารายงานนั้นจากอบูฮุร็อยเราะฮ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องจริง ก็มีความหมายว่า เป็นการห้าม “อ่านออกเสียง” ตามหลังอิหม่าม หรือ ห้ามอ่านสูเราะฮ์อื่นหลังจากอัลฟาติฮะฮ์ หรือสิ่งที่คล้ายคลึงกับนั้น แต่นี้ ไม่ใช่ การห้ามอ่านสูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์โดยสิ้นเชิง
ส่วนการห้ามอ่านอัลฟาติฮะฮ์ หะดีษนี้ “ถูกยกเลิก ดังที่ชัยคฺอัลอัลบานี (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้ระบุในหนังสือ วิธีการละหมาด หน้า 97 — นั้น ได้ปรากฏแล้วว่า ไม่ถูกต้อง และ รากฐานที่ใช้เป็นหลักฐานในเรื่องนี้ก็ไม่มั่นคง
ชัยคฺอิบนุอุษัยมีน กล่าวว่า :
“สำหรับหะดีษของอบูฮุร็อยเราะฮ์ที่อยู่ในสุนัน ซึ่งมีถ้อยคำว่า ‘แล้วผู้คนก็เลิกอ่าน (อัลกุรอาน) ในละหมาดที่ท่านนบี ﷺ อ่านออกเสียง’ ความหมายของ ‘การอ่าน’ ที่พวกเขาเลิกนั้น หมายถึง การอ่านสูเราะฮ์อื่นที่ไม่ใช่สูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์
เพราะไม่เป็นไปได้ที่พวกเขาจะเลิกอ่านสูเราะฮ์ที่ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า
‘อย่าทำเช่นนั้น เว้นแต่อ่านอุมมุลกิตาบ (อัลฟาติฮะฮ์) เพราะไม่มีละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านด้วยมัน’”
ดังนั้น ความเห็นที่ถูกต้องคือ คำพูดของผู้ที่อ้างว่าการอ่านตามอิหม่ามในละหมาดที่อิหม่ามอ่านออกเสียง “ถูกยกเลิก” นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะ ไม่อาจอ้างการยกเลิกได้ในเมื่อสามารถประสานหะดีษทั้งสองบทได้
และเป็นที่ทราบกันว่า เมื่อสามารถประสานได้โดยการจำกัดความ ก็ไม่ควรหันไปใช้การอ้าง “ยกเลิก เลย
(อ้างจาก “มัจมูอ์ ฟะตาวา วะร่อซาอิล อิบนุอุษัยมีน” เล่มที่ 13 หน้า 131)
อิหม่ามนะวะวีย์กล่าวว่า :
“มัซฮับของเราคือ ซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺเป็นสิ่งจำเป็นเฉพาะเจาะจง (สำหรับละหมาด) การละหมาดของผู้ที่สามารถอ่านได้จะไม่ถูกต้อง เว้นแต่ต้องอ่านอัลฟาติหะฮฺ และในประเด็นนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ (ญุมฮูร) ได้กล่าวเช่นเดียวกัน ตั้งแต่บรรดาศอฮาบะฮฺและตาบิอีนเรื่อยมาจนถึงภายหลัง”
อิบนุ มุนซิรได้ถ่ายทอดว่า ความเห็นนี้มาจาก อุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ, อุษมาน บิน อัลอาศ, อิบนุอับบาส, อบูฮุร็อยเราะฮฺ, อบีสะอีด อัลคุดรี, คอวาต บิน ญุบัยร, อัซ-ซุฮ์รี, อิบนุอูน, อัลเอาซาอี, มาลิก, อิบนุ มุบาร็อก, อะหฺมัด, อิสหาก, อบูษูร และบรรดาสหายของเรายังได้ถ่ายทอดว่า อัษ-เซารี และดาวูด ก็มีทัศนะเช่นเดียวกัน”
(อ้างอิง: อัลมัจญ์มูอ์ 3/327 และ อัตตัมฮีด ของอิบนุ อับดิลบัรร์ 20/192)
ทัศนะที่สอง :
การอ่านของอิหม่ามถือว่าเป็นตัวแทนของการอ่านของมะอฺมูม หลักฐานก็คืออายะฮฺ (ความหมายบางส่วน):
وَإِذَا قُرِئَ الْقُرْآنُ فَاسْتَمِعُوا لَهُ وَأَنْصِتُوا لَعَلَّكُمْ تُرْحَمُونَ
“และเมื่ออัลกุรอานถูกอ่านขึ้น ก็จงสดับฟังอัลกุรอานนั้นเถิด และจงนิ่งเงียบ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับการเมตตา”
(อัลอะอฺรอฟ :204)
อิบนฺฮะญัร ได้กล่าวว่า: “สำหรับผู้ที่กล่าวว่า(มะอฺมูม) ไม่จำเป็นต้องอ่านฟาติฮะฮฺในละหมาดที่อ่านออกเสียงนั้น ได้แก่ อิหม่ามมาลิกียฺ เชค อิบนุตัยมียะฮฺ
อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวว่า:ซึ่งเป็นทัศนะของบรรดาซะละฟส่วนมาก — คือว่า หากผู้ละหมาด ได้ยินการอ่านของอิหม่าม ก็ให้เขา เงียบและตั้งใจฟัง โดยไม่ต้องอ่านเอง เพราะการฟังการอ่านของอิหม่ามนั้น ดีกว่าการที่เขาอ่านเอง แต่หากเขาไม่ได้ยินการอ่านของอิหม่าม ก็ให้เขา อ่านด้วยตนเอง เพราะการอ่านของเขา ดีกว่าการนิ่งเฉย ดังนั้น การฟังการอ่านของอิหม่ามจึงประเสริฐกว่าการอ่าน (ของตนเอง)และการอ่าน (ของตนเอง) ก็ประเสริฐกว่าการนิ่งเงียบ”
( อัลฟะตาวา อัลกุบรอ (2/286)
ได้กล่าวถึงฮะดีษ “เมื่อเขาได้อ่านก็จงตั้งใจฟัง” เป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นฮะดีษศอเฮียะฮฺรายงานโดยอิหม่ามมุสลิม
จากท่านอบูมูซา อัลอัชอารียฺ แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้กล่าวคุฏบะฮฺแก่พวกเรา และได้อธิบายแบบอย่าง (ซุนนะฮ์) ของเราให้เราทราบ และได้สอนวิธีการละหมาดของเราให้แก่เรา แล้วท่านกล่าวว่า:‘เมื่อพวกท่านละหมาด ก็จงจัดแถวของพวกท่านให้ตรง แล้วให้คนหนึ่งในหมู่พวกท่านเป็นอิหม่าม เมื่อเขากล่าวตักบีร ก็จงกล่าวตักบีรตาม และเมื่อเขาอ่าน (อัลกุรอาน) ก็จงเงียบตั้งใจฟัง’
إذا صلَّيْتُم فأقِيموا صفوفَكم، ثمَّ لْيَؤُمَّكم أحدُكم، فإذا كبَّرَ فكبِّروا، وإذا قرَأ فأنصِتوا
“เมื่อพวกท่านละหมาด ก็จงจัดแถวของพวกท่านให้ตรง แล้วให้คนหนึ่งในหมู่พวกท่านเป็นอิหม่าม
เมื่อเขากล่าวตักบีร ก็จงกล่าวตักบีรตาม และเมื่อเขาอ่าน (อัลกุรอาน) ก็จงเงียบตั้งใจฟัง’”
(บันทึกโดย อัลบุคอรีในบางรายงาน, มุสลิม, และอบูดาวูด)
ประการที่หนึ่ง
หากการอ่าน (อัลฟาติฮะฮ์หรืออัลกุรอาน) ในละหมาดที่อิหม่ามอ่านออกเสีย เป็นสิ่งที่ วาญิบ (จำเป็น) หรือ มุสตะฮับ (เป็นสิ่งที่ควรทำ) สำหรับมะอ์มูม (ผู้ตามละหมาด) จริง ๆ ก็จะต้องมีทางเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองทางนี้เท่านั้น คือมะอ์มูมจะต้องอ่าน พร้อมกับอิหม่าม แต่การอ่านพร้อมกับอิหม่ามนั้น ถูกห้ามไว้ทั้งในอัลกุรอานและสุนนะฮ์,หรือไม่ก็อิหม่ามจะต้อง หยุดเงียบเพื่อให้มะอ์มูมอ่าน แต่สิ่งนี้ ไม่เป็นวาญิบตามมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการ และแม้แต่ในมุมของส่วนใหญ่ก็เห็นว่า ไม่เป็นสิ่งที่ควรทำ (ไม่มุสตะฮับ) เช่นกัน
ประการที่สอง
ไม่ปรากฏรายงานว่า บรรดาศอหาบะฮ์ (เศาะหาบะฮ์) ได้อ่าน (อัลฟาติฮะฮ์หรืออัลกุรอาน) ตามหลังท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ในช่วงที่ท่านหยุดเงียบ (ระหว่างตักบีเราะตุลอิห์รอมกับการอ่าน และระหว่างอัลฟาติฮะฮ์กับสูเราะฮ์ถัดไป) เลย
และหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ชะรีอะฮ์บัญญัติไว้จริง แน่นอนว่าบรรดาศอหาบะฮ์จะต้องเป็นผู้ที่รู้และปฏิบัติมากที่สุด และแรงจูงใจที่จะถ่ายทอดเรื่องนี้ก็จะต้องมีมากมาย แต่เมื่อไม่มีรายงานถึงเรื่องนั้นเลย ก็เป็นหลักฐานว่า สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดให้ทำ
«مَنْ كانَ له إمامٌ فقراءةُ الإمامِ لهُ قراءةٌ»
“ผู้ใดที่มีอิหม่าม (นำละหมาดอ่านออกเสียง) การอ่านของอิหม่ามก็ถือเป็นการอ่านแทนเขาแล้ว”
อิบนุ อัลเญาซีย์ กล่าวว่า : “หะดีษนี้มีสายรายงานหลายทาง จากท่านญาบิร, ท่านอาลี, ท่านอิบนุอุมัร, ท่านอิบนุอับบาส และท่านอิมรอน อิบนุ ฮุศ็อยน์ แต่ไม่มีสายรายงานใดที่ยืนยันความถูกต้องได้เลย” จบคำพูด
[หนังสือ อัล-อิลัล อัลมุตะนาฮียะฮ์ เล่มที่ 1 หน้า 428]
อัลหาฟิซ อิบนุ กะษีร กล่าวว่า : “หะดีษนี้ถูกเล่ารายงานมาหลายสายทาง แต่ไม่มีสายทางใดที่ถูกต้องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม” จบคำพูด
[หนังสือ ตัฟซีร อัลกุรอาน อัลอะซีม เล่มที่ 1 หน้า 1]
ข้อสรุปของนักฮะดีษ:
หะดีษ “من كان له إمام فقراءة الإمام له قراءة”
- มีรายงานจากเศาะหาบะฮ์หลายท่าน
- แต่ทุกสายรายงานมีข้อบกพร่อง
- นักฮะดีษผู้ใหญ่ เช่น อิบนุ อัลเญาซีย์ และอิบนุ กะษีร ยืนยันว่า ไม่มีสายใดที่เศาะฮีห์
อิหม่ามอัลบุคอรี กล่าวว่า : “นี่เป็นข่าว (หะดีษ) ที่ไม่ถูกรับรองความถูกต้องในหมู่บรรดานักวิชาการ ทั้งจากชาวฮิญาซ ชาวอิรัก และนักวิชาการท่านอื่น ๆ เนื่องจากมีการรายงานแบบ มุรซัล (ขาดผู้รายงานซอฮาบี) และ มุนกะฏิอ์ (ขาดตอนในสายรายงาน)” จบคำพูด
คำอธิบายเพิ่มเติม :
مُرْسَل (มุรซัล): หะดีษที่ตาบิอีรายงานตรงจากท่านนบี ﷺ โดยไม่มีการระบุชื่อเศาะหาบี ถือว่าเป็นข้อบกพร่องของสายรายงาน
مُنقَطِع (มุนกะฏิอ์): หะดีษที่ขาดตอนในสายรายงาน ไม่ครบตามลำดับ นี่เป็นหนึ่งในคำวิจารณ์ที่สำคัญที่สุด เพราะมาจากอิหม่ามบุคอรี ผู้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางสายรายงานระดับสูง ซึ่งตอกย้ำว่า
หะดีษ “من كان له إمام فقراءة الإمام له قراءة” เป็นหะดีษ ที่ไม่มั่นคง ไม่ถูกรับรอง ในหมู่นักฮะดีษจากภูมิภาคหลักของโลกอิสลามยุคแรก.
บรรดาผู้ที่ยึดทัศนะที่สองได้ตอบว่า
หะดีษ “من كان له إمام، فقراءة الإمام له قراءة” ไม่ได้ถูก จำกัดความ (مخصَّصًا) โดยหะดีษของท่านอุบาดะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ และหะดีษอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ดังที่พวกท่านกล่าวมา
แต่ในทางกลับกัน หะดีษนี้เองก็เป็นหนึ่งใน “ตัวจำกัด” (مخصصات) ของหะดีษของท่านอุบาดะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุเช่นกัน
ดังนั้น ความหมายโดยสรุปจึงเป็นว่า:
“ไม่มีละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านสูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์ ยกเว้นในกรณีที่เขาเป็นมะมูม (ผู้ตามละหมาด) ซึ่งในกรณีนั้นการอ่านของอิหม่ามก็เพียงพอสำหรับเขา”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ละหมาดที่อ่านออกเสียง มะมูมไม่จำเป็นต้องอ่านอัลฟาติฮะฮ์ เพราะการอ่านของอิหม่ามถือเป็นการอ่านแทน
เชค ศ.ดร.สุลัยมาน บิน อิบรอฮีม อัล-ลาฮิม
หลักฐานที่บ่งชี้ถึงข้อ จำกัดความหมาย (การเจาะจง) ของหะดีษนี้ คือ หะดีษของท่านอุบาดะฮ์ (เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ) ที่ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า:“อย่าได้อ่านเว้นแต่กับ อุมมุลกุรอาน (คือ สูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์)”
ดังนั้น ความหมายของหะดีษ:
“من كان له إمام فقراءة الإمام له قراءة”
(ผู้ใดที่มีอิหม่าม การอ่านของอิหม่ามก็ถือเป็นการอ่านแทนเขาแล้ว)
จึงควรถูกเข้าใจว่า หมายถึง เฉพาะในส่วนอื่นที่นอกเหนือจากอัลฟาติฮะฮ์ เท่านั้น
สรุป:
มะมูม (ผู้ตามละหมาด) ต้องอ่าน “อัลฟาติฮะฮ์” ด้วยตนเอง ส่วนการอ่านสูเราะฮ์อื่น ๆ หลังจากอัลฟาติฮะฮ์นั้น อิหม่ามอ่านแทนมะมูมได้ นี่เป็นทัศนะที่นักวิชาการหลายท่านใช้ในการทำความเข้าใจและ ปรับความหมายของหะดีษนี้ให้สอดคล้องกับหลักฐานอื่นที่เศาะฮีห์กว่า
วิธีการอ่านฟาติฮะฮฺ
สำหรับผู้ที่กล่าวว่าจำเป็นต้องอ่านฟาติฮะฮฺ ลักษณะการอ่านนั้น ควรอ่านหลังจากอิหม่ามอ่านฟาติฮะฮฺสิ้นสุดแล้ว และก่อนที่อิหม่ามจะเริ่มอ่านซูเราะฮฺอื่น หรือเป็นช่วงที่อิหม่ามเว้นระยะเอาไว้ อิบนฺฮะญัรกล่าวว่า : เมื่ออิหม่ามอ่าน เขาควรที่จะฟัง และให้อ่านเมื่ออิหม่ามเงียบเสียงลง”
ชัยคฺอิบนุบาซ กล่าวว่า : “หากอิหม่ามไม่ได้หยุดเงียบ (หลังจากอ่านอัลฟาติฮะฮ์) มะอ์มูมจึงจำเป็นต้องอ่านอัลฟาติฮะฮ์ แม้ในขณะที่อิหม่ามกำลังอ่านอยู่ก็ตาม — และนั่นคือทัศนะที่ถูกต้องที่สุดในสองทัศนะของบรรดานักวิชาการ”
(อ้างจาก ฟะตาวา ชัยคฺ อิบนุบาซ เล่ม 11 หน้า 221)
ส่วนชัยคฺอิบนุอุษัยมีน กล่าวว่า : “หากมีคนถามว่า: เมื่ออิหม่ามไม่หยุดเงียบเลย แล้วมะอ์มูมจะอ่านอัลฟาติฮะฮ์ตอนไหน?
เรากล่าวว่า: ให้เขาอ่านอัลฟาติฮะฮ์ ขณะที่อิหม่ามกำลังอ่านอยู่ เพราะบรรดาศอหาบะฮ์เคยอ่านตามท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ แล้วท่านกล่าวว่า ‘อย่าทำเช่นนั้น เว้นแต่อ่านอุมมุลกิตาบ (อัลฟาติฮะฮ์) เพราะไม่มีละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านด้วยมัน’”
(ฟะตาวา อัรกาน อัลอิสลาม, หน้า 322)
และสำหรับโองการของอัลลอฮ์ ที่ว่า:
(وَإِذَا قُرِئَ الْقُرْآنُ فَاسْتَمِعُوا لَهُ وَأَنْصِتُوا)
“เมื่อมีการอ่านอัลกุรอาน ก็จงฟังมันและเงียบตั้งใจฟังเถิด”
นั้นเป็น โองการที่มีความหมายทั่วไป (عام) แต่ ถูกจำกัดความ (مخصوص) ว่า ยกเว้นในส่วนของการอ่านอัลฟาติฮะฮ์
กล่าวคือ มะอ์มูมจำเป็นต้องตั้งใจฟังการอ่านอัลกุรอานของอิหม่ามในละหมาด ยกเว้นเฉพาะตอนที่มะอ์มูมอ่านอัลฟาติฮะฮ์ของตนเองเท่านั้น
หลักฐานคือหะดีษของท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ที่กล่าวว่า: “อย่าทำเช่นนั้น เว้นแต่อ่านด้วยฟาติฮะตุลกิตาบ เพราะไม่มีละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านด้วยมัน”
สภาวินิจฉัยปัญหาศาสนาซาอุดิอาระเบีย ได้ถูกถามคำถามข้างต้น และได้ให้คำตอบว่า:
ทัศนะที่ถูกต้อง คือ จำเป็นต้องอ่านอัลฟาติฮะฮฺ เมื่อละหมาดคนเดียว รวมถึงผู้ที่เป็นอิหม่าม และมะอฺมูม ทั้งในละหมาดที่เงียบเสียง และอ่านออกเสียง เพราะมีอายะฮฺที่บ่งชี้อย่างชัดเจนเฉพาะเจาะจง โดยอายะฮฺที่ว่า (ความหมายบางส่วน): และเมื่ออัลกุรอานถูกอ่านขึ้น ก็จงสดับฟังอัลกุรอานนั้นเถิด และจงนิ่งเงียบ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับการดูเมตตา
(อัลอะอฺรอฟ:204)
เป็นความหมายโดยทั่วไป และฮะดีษที่ว่า “เมื่อมีกุรอานถูกอ่านขึ้น จงนิ่งสดับฟัง” ให้ความหมายโดยภาพรวม หมายถึงทั้งอัลฟาติฮะฮฺ และซูเราะฮฺอื่นๆ สองข้อความข้างต้นถือเป็นหลักโดยกว้าง และฮะดีษต่อไปนี้คือฮะดีษที่เป็นข้อยกเว้นต่อหลักข้างต้น: “ไม่มีการละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่ได้อ่านอัลฟาติฮะฮฺ” ถึงแม้ว่าเราอาจผ่อนปรนได้ต่อหลักฐานต่างๆ
และฮะดีษ “การอ่านของอิหม่ามถือเป็นการอ่านของผู้ที่ละหมาดตามหลัง” มีสถานะฎออีฟ และไม่ถูกต้องที่จะพูดว่าการกล่าวอะมีนของมะอฺมูมหลังจากการอ่านฟาติฮะฮฺของอิหม่ามนั้น มาทดแทนการอ่านฟาติฮะฮฺของแต่ละคน
“พวกท่านไม่ควรใช้ความเห็นที่แตกต่างกันของบรรดานักวิชาการในประเด็นนี้เป็นเหตุให้เกิดความเกลียดชัง ความแตกแยก และการหันหลังให้กัน แต่ควรเพิ่มความตั้งใจในการศึกษาค้นคว้า และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการให้มากยิ่งขึ้น
หากในหมู่พวกท่านมีบางคนยึดตามนักวิชาการที่เห็นว่า มะมูมจำเป็นต้องอ่านอัลฟาติฮะฮ์ในละหมาดญะฮ์รียะฮ์ (ที่อิหม่ามอ่านออกเสียง)ในขณะที่อีกบางคนยึดตามนักวิชาการที่เห็นว่า มะมูมควรเงียบฟังอิหม่ามและให้การอ่านของอิหม่ามเพียงพอแทนการอ่านของมะมูม ก็ไม่เป็นปัญหา
และ ไม่สมควรที่ฝ่ายหนึ่งจะตำหนิหรือโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่ควรให้เรื่องนี้เป็นเหตุแห่งความบาดหมาง พวกท่านควรเปิดใจกว้างต่อความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่นักวิชาการ และเปิดใจรับฟัง สาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างในทัศนะทางวิชาการ
และจงวอนขอต่ออัลลอฮ์ให้ทรงนำทางสู่สัจธรรมในสิ่งที่มีความเห็นต่างกัน แท้จริงพระองค์ทรงได้ยินและทรงตอบรับการวอนขอ
وَصَلَّى اللهُ عَلَى نَبِيِّنَا مُحَمَّدٍ
ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ